ยังงั้นก็หมายความว่า F-15 F-16 F-18 ฯลฯ...ก็แพ้ mig-29 พม่าใช่ไหมครับ ถ้าใช้ aim-120 เหมือนกัน....
ผมว่าอย่างงี้พูดว่า aim-120 เป็นรอง R-77 จะไม่เข้าประเด็นกว่าเหรอครับ??...
ถ้าเดี่ยวๆน่าจะสู้ไม่ได้...แต่ทีเด็จ ของกริปเป้นคือการรบแบบเชื่อมต่อกัน
คือบินไปสามลำแต่เปิดเรด้าลำเดียวแล้วเชื่อมข้อมูลให้เพื่อนเข้าตีเป็น
การอำพลางตัวจากการถูกจับคลื่นเรด้า... ข้อสังเกตคือสวีเดนสร้าง
กริปเป็นขึ้นมาเพื่อใช้รับมือกับเครื่องบินฝั่งรัสเซีย แต่การใช้ที่ได้ผลตาม
ยุทธวิธีต้องใช้เครื่องถึงสามลำ
เปรียบเที่ยบกันตรงๆ อาจเป็นอย่างงั้น ในกระดาษจะเขียนสเป็คอย่างไรก็ได้
ความได้เปรียบของ jas39 และ F16-MLU ของเราผมว่าอยู่ที่
ค่าใช่จ่ายต่อรอบบินต่ำกว่า ทำให้ ฝึกฝนได้ดีกว่า การบำรุงรักษาง่ายกว่า
ทำให้มีเครื่องพร้อมรบมากกว่า การที่มีอิริคอาย ทำให้เรามีความได้
เปรียบด้านการตรวจจับมากกว่า การมีดาต้าลิงค์ทำให้เราถูกตรวจจับ
และดำเนินกลยุทธ์ได้ดีกว่า รวมๆแล้วผมว่า ระบบเราดีกว่าครับ เครื่องบินรบ
ภาพรวมถ้าเราจัดมาได้ครบแล้วผมว่า เราได้เปรียบกว่าครับไม่ได้ด้อยเลย และคนของเราก็เหนือกว่าด้วย(วรรคสุดท้ายนี่ ไม่เข้าข้างชาติเราแล้วจะเข้าข้างชาติด๋อยที่ไหน?)
การมีดาต้าลิงค์ทำให้เราถูกตรวจจับ
แก้เป็น ทำให้เราตรวจจับเขาได้ดีกว่า แน่นอน
ดูเหมือนว่าเป็นรองเรื่องอาวุธที่เขาปล่อยได้ก่อน ผมก็ยังสงสัยถามท่านผู้รู้ทุกท่านครับว่า นักบินสามารถพาเครื่องรอดจาก R-77 ที่ MIG ยิงมาในระยะห่างจากเราเป็น 100 กิโล f-5 f-16 jas-39 ของเรามีโอกาสหลบได้กี่ %
อ.รินทร์วิเคราะห์เอาไว้ครับ น่าอ่านทีเดียว
ลองคิดเล่นๆ ดูน่ะครับ
จากข้อมูลเรดาร์ คือ
1. เรดาร์ของ F-16 MLU แบบ APG-68(V)9 สามารถตรวจจับ บ.ขับไล่ (RCS 5 m2) ได้ที่ระยะ 58 nm
2. เรดาร์ของ F-16 ADF และ F-16 OCU แบบ APG-66A และ APG-66(V)1 สามารถตรวจจับ บ.ขับไล่ (RCS 5 m2) ได้ที่ระยะ 32 nm
3. เรดาร์ของ Mig-29B แบบ N019 สามารถตรวจจับ บ.ขับไล่ (RCS 5 m2) ได้ที่ระยะ 47 nm
4. เรดาร์ของ Mig-29SMT แบบ N010ME สามารถตรวจจับ บ.ขับไล่ (RCS 5 m2) ได้ที่ระยะ 67 nm
จากข้อมูล RCS คือ
1. ค่า RCS ของ F-16 MLU/ADF/OCU ประมาณ 1.2 m2
2. ค่า RCS ของ Mig-29B/SMT ประมาณ 5 m2
จากการคำนวณจะพบว่า
1. F-16 MLU จะตรวจพบ Mig-29B/SMT ได้ที่ระยะ 58 nm หรือ 104 km
2. F-16 ADF/OCU จะตรวจพบ Mig-29B/SMT ได้ที่ระยะ 32 nm หรือ 58 km
3. Mig-29B จะตรวจพบ F-16 MLU/ADF/OCU ได้ที่ระยะ 33 nm หรือ 59 km
4. Mig-29SMT จะตรวจพบ F-16 MLU/ADF/OCU ได้ที่ระยะ 47 nm หรือ 84 km
ระยะยิงของ อวป.อากาศ-สู่-อากาศ คือ
1. F-16 MLU/ADF ใช้ AIM-120C-5 ระยะิยิง 58 nm
2. Mig-29B ใช้ R-27R ระยะยิง 43 nm
3. Mig-29SMT ใช้ R-77M2 ระยะยิง 54 nm
สรุปผล
1. F-16 MLU vs Mig-29SMT = F-16 MLU win (ยิงเค้าได้ก่อน แต่ต้องรีบหนีทันที)
2. F-16 MLU vs Mig-29B = F-16 MLU win (ยิงเค้าได้ก่อนนานมาก)
3. F-16 ADF vs Mig-29SMT = F-16 ADF lose (โดนยิงก่อน)
4. F-16 ADF vs Mig-29B = F-16 ADF win (ยิงพร้อมกัน แต่ฝ่ายตรงข้ามใช้ อวป. semi-active ยังมีโอกาสชนะได้มากกว่า)
5. F-16 OCU vs Mig-29SMT = F-16 OCU lose (โดนยิงก่อน หนีได้แต่รอดยากหน่อย)
6. F-16 OCU vs Mig-29B = F-16 OCU lose (โดนยิงก่อน แต่อาจจะรอดได้ถ้าหนีทันทีที่เห็น)
หมายเหตุ
1. F-16 MLU คือ F-16A/B ฝูง 403 หลังจากปรับปรุงแล้ว
2. F-16 ADF คือ F-16A/B ฝูง 102
3. F-16 OCU คือ F-16A/B ฝูง 103 และฝูง 403 ก่อนปรับปรุง
4. Mig-29B คือ Mig-29 ชุดแีรกที่พม่าซื้อ 10 เครื่อง
5. Mig-29SMT คือ Mig-29 ชุดล่าุสุดที่พม่าซื้อ 20 เครื่อง
ปล.
1. เหมือนกรณี Gripen นะครับ การคำนวณนี้ไม่ได้คิดถึงปัจจัยประกอบ (ตัวช่วย) อื่นๆ เลย
2. ไม่ต้องคิดถึง Su-30MKM หรอกครับ อันนั้นปล่อยเป็นหน้าที่ของ Gripen เค้าไปครับ
คำถามนี้มีบ่อย เลยไปนั่งเข้าสูตรคำนวณมาให้ครับ
จากข้อมูลที่มี คือ
1. เรดาร์ของ Su-30MKM แบบ N001M PESA สามารถตรวจจับเป้าหมาย บ.ขับไล่ (RCS 5 m2) ได้ที่ระยะ 125 nm
2. เรดาร์ของ Gripen C/D แบบ PS-05A สามารถตรวจจับเป้าหมาย บ.ขับไล่ (RCS 5 m2) ได้ที่ระยะ 47 nm
3. ค่า RCS ของ Su-30MKM ประมาณ 10 m2
4. ค่า RCS ของ Gripen C/D ประมาณ 0.5 m2
จากการคำนวณจะพบว่า
1. Su-30MKM จะตรวจพบ Gripen C/D ได้ที่ระยะ 70 nm หรือ 127 km
2. Gripen C/D จะตรวจพบ Su-30MKM ได้ที่ระยะ 56 nm หรือ 101 km
ระยะยิงของ อวป.อากาศ-สู่-อากาศ คือ
1. Su-30MKM ใช้ R-77M2 ระยะยิง 54 nm
2. Gripen C/D ใช้ AIM-120C-5 ระยะิยิง 58 nm
แต่ถ้าเป็น Gripen NG ล่ะ
1. เรดาร์ของ Gripen NG แบบ Vixen 1000ES สามารถตรวจจับเป้าหมาย บ.ขับไล่ (RCS 5 m2) ได้ที่ระยะ 92 nm
2. Gripen NG จะตรวจพบ Su-30MKM ได้ที่ระยะ 109 nm หรือ 197 km
3. Gripen NG ใช้ Meteor ระยะยิง 72 nm
http://www.thaiarmedforce.com/forum.html
คงพอตอบได้บ้างนะครับ
กรณี...กริเพนกับซู-30 แบบตัว-ตัว บินสวนกันแบบอัศวินอังกฤษขี่ม้าดวลกันด้วยทวนยาว....
ซูเห็นเราก่อนแป๊บนึง แต่ยิงพร้อมๆ กัน ว่ากันตามลอจิก แหลกทั้งคู่ อยู่ที่ใครมีระบบป้องกันตัวดีกว่ากัน
ตัวต่อตัว ไม่มีตัวช่วยก็เป็นรองอยู่ครับ จึงจำเป็นต้องมี อิรี่อาย มาด้วย ส่วนที่ว่า มาสามลำแล้วเปิดเรดาร์เพียงหนึ่งลำคือเพื่อพลางตัวในส่วนของระบบ พาสซีพ ของเรดาร์ฝ่ายตรงข้าม คือ ถ้าเราเปิดเรดาร์ตรวจจับฝ่ายตรงข้ามได้ ฝ่ายตรงข้ามก็จะทราบที่อยู่เราเหมือนกัน แต่ฝ่ายตรงข้ามก็จะเข้าใจว่ามีเครื่องบินตรวจจับเขาได้เพียงเครื่องเดียวในขณะที่เราทราบข้อมูลทั้งสามเครื่อง แต่ระบบนี้ไม่มีผลกับระบบ แอคทีพ ของเรดาร์ฝ่ายตรงข้าม คือ การเปิดเรดาร์ตรวจับเครื่องบินของฝ่ายตรงข้ามนั้น ถ้าเขาตรวจจับเครื่องบินฝ่ายเราได้ นั่นก็คือถ้าบินไปด้วยกันทั้งสามลำก็โดนตรวจจับได้ทั้งสามลำนั่นแหละครับ ก็ต้องอาศัยค่า RCS ที่ต่ำของ กริเป้น นั่นแหละครับเป็นตัวลดการตรวจจับ และอาศัยเรดาร์ที่ไกลกว่าเรดาร์ในตัว กริเป้น เป็นตัวช่วยค้นหาส่งข้อมูลมาที่เครื่องบินฝ่ายเราโดยที่เราถึงแม้ว่าเครื่องบิน กริเป้น จะยังไม่สามารถค้นหาฝ่ายตรงข้ามได้ด้วยเรดาร์ในตัวเพราะตรวจจับได้ใกล้กว่า แต่ กริเป้น ก็สามารถรู้ตำแหน่งฝ่ายตรงข้ามได้แล้วเช่นกันครับ ทีนี้ก็เหลือประสิทธิภาพของอาวุธล่ะครับ แต่ถ้า เจอกันแบบตัวต่อตัว โดยไม่มีตัวช่วย ก็อาจจะสูญเสียได้ครับ
เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ ผิดถูกประการใดผมขอรับผิดโดยประการทั้งปวงครับ
ท่านเด็กทะเลอธิบายแล้วนะครับ.......... จากที่ได้อ่านมาพบสรุปได้ว่าที
เด็จของน้องแจ๊สนั้นอยู่ที่ อีริกอายที่เป็นเสมือนป๋าเฟอร์กี้ หรือเจ้เวงเกอร์
คอยคุมเกมให้น้องแจ๊ส แล้วอีริกอายมีอะไรไว้ป้องกันตัวจากการที่ต้อง
เป็นเป้าหมายแรกๆที่ต้องโดนกำจัดบ้างครับ
ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยให้ความกระจ่างครับ
ลองคิดค่าน้ำมันต่อชั่วโมงมาให้ดูครับ คิดดูแล้วกันนะครับถ้าเราใช้เครื่องบินใหญ่ ๆ อย่าง F-15 หรือ Su-30 กองทัพจะต้องจ่ายค่าใช้จ่ายในการบินแต่ละปีเป็นเท่าไรกันครับ เอาเงินส่วนต่างพวกนี้ไปซื้ออาวุธหรือปรับปรุงเครื่องบินดีกว่าไหมครับ ???
ส่วนตัวแล้วคิดว่าแอมแรม รุ่น C5 ที่ไทยเรามีนี่คงไม่ด้อยกว่า R77 (รุ่นส่งออก) ที่พม่า (หรือประเทศรอบบ้นเราแถบนี้)กำลังจะมีใช้หรอกครับ ก็เป็นที่รู้กันอยู่ว่าอาวุธรัสเซียรุ่นส่งออกนั้นเขาจะลดคุณภาพลงมากว่าที่รัสเซียใช้เองครับ ซี่งต่างจากของสหรัฐ ที่กำหนดไว้ชัดเจนเลยว่า รุ่นใดจะเอาไว้ใช้เองรุ่นใดเอาไว้ใช้ในประเทศกลุ่มนาโต้ หรือ ประเทศที่มีความสัมพันธ์ในระดับใกล้ชิดมากน้อยเพียงใด
รุ่นที่ไทยใช้นี่เป็นรุ่นเดียวกับที่นาโต้ใช้ครับ มีคุณภาพเชื่อถือได้ในระดับดีทีเดียว ถัดจากรุ่นนี้คือ C9 และรุ่น D (ที่กำลังพัฒนาอยู่) ซึ่งในอนาคต เมื่อมีการพัฒนาเสร็จสิ้นแล้ว เราก้ยังมีโอกาสที่จะซื้อได้เช่นเดียวกับสิงคโปร์ครับ (ถ้าต่อรองดีๆ) นอกเหนือจาก ระบบจรวดเมทีเออร์ ของค่ายยุโรป ที่กำลังติดตั้งใช้งานกับกริเป้น สวีเดนเวลานี้
เรื่องเปรียบเทียบในตัวเครื่องบินเองผม ถือว่าทั้ง กริเป้น มิก 29 SMTและ ซู 30 ถือว่าเป็นเครื่องบิน ยุค 4.5 เหมือนกัน ขีดความสามารถในการรบทางอากาศ ใกล้เคียงกันครับ เมื่อบวกกับระบบจรวดบีวีอาร์ แบบ ยิงแล้วลืมได้ (fire and forgot) ที่ติดตั้งกับเครื่องหรือระบบอาวุธจรวดระยะใกล้เมื่อใช้ร่วมกับหมวกเล็งอาวุธ แล้วถือว่าทั้งสามตัวมีคุณภาพสูสีกันมากครับ ส่วนถ้าจะเทียบกันในเรื่อง เรด้าห์โจมตี ภาคพื้นดิน ระยะบิน หรือการโหลดอาวุธนี่ กริเป้น แน่นอนว่าสู้เขาไม่ได้อยู่แล้วครับ
ที่กริเป้นจะเหนือกว่าทั้งมิกและซูคิอ การรบร่วมกับระบบอิริอายครับ และเมื่อบวกเรดาห์ ของอิริอายกับ จรวดแอมแรมแล้ว ถือว่าน่ากลัวมากครับซี่งการทำงานของแอมแรมและคุณสมบัติอื่นๆที่นอกเหนือจากที่ทราบๆกันอยู่แล้วของจรวดแอมแรมนี้แล้วยังคงเป้นความลับมากๆอยู่ครับซึ่งในอาเซี่ยนนี่มีไม่กี่ประเทศที่สหรัฐ ยอมขายแอมแรมให้ครับ
จรวด active ลูกนึงไม่ได้ถูกนะครับ จะยิงก็ต้องคิดกันให้ดี อาจจะหมดประเทศเลยก็ได้ ไม่มีใครยิงที่ระยะไกลสุดหรอกครับ ยิงก็ดี จะได้เสียจรวดฟรีๆ เลี้ยวที่เดียวก็ไม่โดนแล้ว จริงๆแล้วขึ้นกับหลายองค์ประกอบ ตามที่พี่ๆท่านอื่นบอกไว้ แต่ผมว่าฝีมือของคน สำคัญกว่าครับ ถ้าบ้านใครอยู่แถว โคราชก็คงรู้ว่าเราฝึกนักบินกันหนักขนาดไหน ประเทศรอบบ้านเราน่ากลัวก็สิงคโปร์ละครับ เพราะ ชม การฝึกนักบินมีค่อนข้างมาก ถ้ามี su30หรือ su35 แต่ถูกจอดไว้ นักบินได้บินน้อย หรือว่าบินแต่ฝึกกับเครื่องแค่สอง สามลำไม่เคยบินกับ กับกองกำลังขนาดใหญ่รับรองเลยครับไปไม่เป็นแน่ เผลอๆได้ยิงข้างเดียวกันแน่ ขนาด อเมริกายังยิงข้างเดียวกันบ่อยๆเลย ในการฝึก ถ้าของจริงไม่ฝึกให้เก่งก็คงไม่กล้ายิงแน่ ยิ่งเจอปิดหมดทุกอย่าง IFF,RADARไม่มี GCI แล้วจะทำยังไง การฝึกสมัยนี้ flighter controller สำคัญกว่านักบินอีกนะครับ ลองคิดดูแล้วกันครับว่าใครเดินมาถูกทาง หรือผิดทาง ขึ้นอยู่กับ ความคิดของแต่ละคน
เครื่องบินแต่ละรุ่นแต่ละแบบ มีข้อได้เปรียบเสียเปรียบในตัวอยู่แล้วครับ ยิ่งคนละค่ายนี่ ยิ่งดูออกได้เลย ถ้าจะไปเทียบ jas ใส่กับ su-30 Mk.. ผมว่ามันไม่น่าเอามาเปรียบกัน เพราะแค่ขนาดก็ดูออกแล้วว่าอันใหนน่าได้เปรียบ ถ้าเทียบกับสมรรถนะพื้นฐาน และอวิโอนกส์ ระบบอาวุธ(ยิงโดนหรือไม่โดนนั่นมันอีกเรื่อง) จะไปให้เหตูผลว่า jas เสียเปรียบ su ตั้ง bvr ถึงระยะ dogfight มันก็ไม่ใช่ที่จะด่วนสรุปไปอ่ะครับ
ถ้าผมเป็นนักบิน su และมีท่าทางบิน คอบบร้า สุดเทพ และผมบินไปเจอ jas บินสวนกันในระยะ dogfight ด้วยความเร็ว 1.2 มัค
ผมก็คงไม่บินขึ้นตีลังกาด้วยท่าสุดเท่ที่ความเร็ว 1.2 มัคหรอกครับ
เช่นกันกับ jas บินไปสามลำ เปิดเรดาห์ 1 เครื่อง อีก 2 เครื่องปิด แต่ถ้าเข้าระยะสายตาล่ะ ?
และจรวด ไม่ว่าจะ aim-120 หรือ r-77 เวลายิงออกไปแล้ว มันก็เหมือนเปิดเผยตำแหน่งตัวเองนั่นแหละครับ แล้วยิงไปก็ไม่ใช่ว่าจะโดนทันที จรวดก็ต้องใช้เวลาเดินทางเข้าหาเป้าหมาย ยังพอมีเวลาให้ เรา หรือ ฝ่ายตรงข้าม ทำการหลบ หรือ ยิงสวนกลับมา
ต้องอาศัยปัจจัยหลายด้านมากๆในการเปรียบเทียบแบบนี้อ่ะครับ นี่เป้นความเห็นส่วนตัวครับ ผิดถูกประการใดก็ขอพี่ๆชี้แจงด้วยครับ
คนที่บอกว่า สู้กับ su-30 ไม่ได้นั้นผมว่าไม่จริงอ่ะมั้ง แต่ถึงจะไม่ทันสมัยกว่าของเขา แต่อย่าลืมว่าเรดาห์ของjas39ดีกว่า
การใช้เรดาห์ก็ใช่ว่าจะเปิดค้างตลอดเวลา เพราะเมื่อใดที่คุณเปิดใช้งานมันข้าศึกก็จะจับสัญญาณได้ เห็นคุณทันทีเช่นกัน
ที่สำคัญมากคือกริเพนมีระบบส่งข้อมูลไฮเทคที่สามารถรับข้อมูลเรดาห์จากสถานีซึ่งอยู่ไกลออกไป 500 กิโลโดยไม่ต้องเปิดเรดาห์ให้ใครเห็น
แต่อย่าลืมด้วยว่าเรามี ERIEYE จำนวน2เครื่องที่ค่อยเป็นตัวบอกเป้าหมาย
เปรียบกับการพกไฟฉายกับปืนลมเข้าไปยิงกับคนในห้องมืดเขามีไฟฉาย แต่เรามี spotlight ฉายจากระยะไกลๆแล้วโทรจิตบอกตำแหน่งของศัตรูให้อย่างแม่นยำ ขณะที่ฝ่ายศัตรูมองคนฉาย spotlight หรือฝ่ายเราไม่เห็น จะยิงก็ไม่ได้ ไล่ก็ไม่ถูก รู้ตัวอีกทีก็เจอสอยจากควมืดเรียบร้อยแล้ว
(เราต้องการเครื่องบิมที่มาทำหน้าที่ป้องกันประเทศไม่ใช้ลุกลานคนอื่น ok)
โอกาศสู้กันคงน้อย แต่ ทอ.เราน่าจะได้ f-18e/f สักฝูงก็น่าจะดี ยังไงค่าบำรุงรักาาเราก้น่าจะคุ้มสุด
นายศิรินทร์ คณาวรงค์
อ่านแล้วปวดหัว
ถ้าอยากได้ข้อมูลที่ไม่มั่ว อ่านคอมเมนต์ของคุณ rinsc seaver, terdkiet, เด็กทะเล