หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


คนไทยเก่ง ซ่อมเลเซอร์ รถถังสติงเรย์

โดยคุณ : Webmaster เมื่อวันที่ : 02/04/2010 22:45:06

Pic_74095

ช่วยลดค่าใช้จ่าย และลดการพึ่งพาเทคโนโลยีการซ่อมบำรุงจากต่างประเทศได้ จากการให้คำปรึกษาของนักวิจัยเนคเทค จนทำให้ระบบควบคุมการยิงด้วยเลเซอร์กลับมาใช้งานได้ 99%...


นายก ชพงษ์ มหายศนันทน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เค.ซี.พี.แอสโซซิเอท จำกัด กล่าวว่า เมื่อประมาณปี 2545 บริษัทฯได้เข้าไปรับงานซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์ของกองทัพบก หนึ่งในนั้นคือ รถถังเบา M32/Commander Stingray ที่แม้อุปกรณ์หลัก 3 ใน 4 ส่วนบริษัทฯสามารถใช้ทีมวิศวกรคนไทยซ่อมบำรุง และจัดทำอุปกรณ์ใหม่ขึ้นทดแทนได้

อย่างไรก็ตาม มีอุปกรณ์ 1 ส่วนที่มีความสำคัญต่อระบบทั้งหมดคือ ระบบวัดระยะด้วยแสงเลเซอร์ (Laser Range Finder) ที่เป็นเทคโนโลยีทางการทหารที่ลับมาก มีปัญหาชำรุดบกพร่อง และเสื่อมสภาพของอุปกรณ์ทางด้านแสง และการชำรุดบกพร่องของอุปกรณ์ทางไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์

กก.ผจก .บริษัทเค.ซี.พี.แอสโซซิเอท กล่าวต่อว่า ถ้าอุปกรณ์ชิ้นนี้ไม่ทำงาน ระบบการควบคุมการยิงอื่นๆ ก็จะไม่สามารถตั้งค่า และควบคุมการยิงอัตโนมัติให้ตรงเป้าหมายอย่างแม่นยำได้ บริษัทฯไม่สามารถหาเทคโนโลยีมาซ่อมอุปกรณ์ชิ้นนี้จากต่างประเทศได้ เพราะถือเป็นเทคโนโลยีที่อยู่ระดับชั้นความลับที่ลับมาก บริษัทต่างประเทศที่ผลิตอุปกรณ์ ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดของเทคโนโลยีที่ใช้ ทำให้การซ่อมบำรุงเป็นไปด้วยความยากลำบาก จนทางบริษัทฯได้มีโอกาสไปพบกับ ดร.ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร นักวิจัยเนคเทค ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องเทคโนโลยีทางด้านแสง จนซ่อมบำรุงและแก้ไขได้ด้วยฝีมือของคนไทย

นายกชพงษ์ กล่าวอีกว่า ด้วยเหตุนี้ทำให้ระบบเครื่องควบคุมการยิงที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ทั้งระบบ สามารถทำงานได้ตามขั้นตอนมาตรฐานของรถถังเบา M32/Commander Stingray โดยมีการทดสอบการยิงปืนจากรถถัง ในหลายลักษณะตามยุทธวิธีการรบ โดยได้ผลเป็นที่น่าพอใจ กระสุนปืนเข้าสู่เป้าหมายอย่างแม่นยำ และทหารม้าผู้ปฎิบัติงานภาคสนาม มีความพึงพอใจเป็นอย่างมาก ในประสิทธิภาพของอุปกรณ์เลเซอร์วัดระยะ ที่กลับมาเหมือนเดิมเกือบ 99 %

ด้านดร.ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร ผู้อำนวยการฝ่าย หน่วยปฏิบัติการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีโฟโทนิกส์ เนคเทค กล่าวว่า เนคเทคได้ให้คำแนะนำข้อมูลทางวิชาการ เฉพาะการทำงานของระบบวัดระยะด้วยแสงเลเซอร์ (Laser Range Finder) ว่า มีคุณลักษณะ จุดอ่อน ข้อจำกัด ปัญหา และการซ่อมบำรุงแก้ไขได้อย่างไรบ้าง การให้คำปรึกษาทางด้านวิชาการในครั้งนี้ ตนเองรู้สึกภูมิใจที่คนไทยสามารถพึ่งพาตนเองได้ ไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศอยู่ตลอดเวลา และช่วยลดการสูญเสียเงินตราออกนอกประเทศอีกด้วย

ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/tech/74095





ความคิดเห็นที่ 1


อิๆ ผมว่ากำลังจะ Copy มาลงสักหน่อย โดนตัดหน้าไปเลย

 

แต่ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีนะครับ เพราะจะได้นำความรู้ไปต่อยอด พัฒนาพวกอาวุธที่นำวิถีด้วยเลเซอร์

แต่ตอนนี้ผมรอติดตามข่าวเกี่ยวกับการพัฒนาจรวดเพื่อความมั่นคงอยู่ ไม่รู้ว่าดำเนินการไปได้กี่เปอร์เซ็นแล้ว

โดยคุณ สายลับ007 เมื่อวันที่ 01/04/2010 04:53:21


ความคิดเห็นที่ 2


ดีใจจังเลยครับ

ผมเห็นอุปกรณ์ ของมันเยอะมากเลยอ่ะ

20 กว่าชิ้นแหน่ะ เล็กใหญ่ ปนกันไป

โดยคุณ TUP2913 เมื่อวันที่ 01/04/2010 09:33:36


ความคิดเห็นที่ 3


กล้องวัดระยะทางเลเซอร์นี้ ความเด่นอยู่ที่ปลอดภัยต่อดวงตา ประสิทธิภาพทัดเทียมต่างประเทศ สามารถประยุกต์ใช้ควบคุมการยิงปืนใหญ่ในรถถัง-เรือ

น.อ.สหพงษ์ เครือเพ็ชร   จากศูนย์วิจัยและพัฒนาการทหาร กรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม  เปิดเผยว่า กล้องวัดระยะทางเลเซอร์ ชนิดปลอดภัยต่อตา เป็นผลงานที่ได้รับทุนจากโครงการสมองไหลกลับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.)  มีที่มาจากทุกวันนี้เลเซอร์มีบทบาทอย่างยิ่งต่อวงการทหาร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการยิงปืนใหญ่ที่ต้องใช้เลเซอร์ในการบอกพิกัดข้าศึกด้วยการวัดระยะทาง หรือการนำวิถีจรวดซึ่งต้องใช้แสงเลเซอร์นำทางให้จรวดวิ่งไปยังเป้าหมาย

 กองทัพไทยได้มีการสั่งซื้อกล้องวัดระยะทางเลเซอร์ชนิดมือถือจากหลายบริษัทในต่างประเทศเข้ามาใช้เป็นเวลานานกว่า 15 ปีแล้ว  ทำให้บางครั้งมีปัญหาเรื่องการซ่อมบำรุง เนื่องจากชิ้นส่วนอะไหล่หาได้ยาก  อีกทั้งชิ้นส่วนบางอย่างโรงงานเลิกสายทำการผลิตไปแล้ว  แต่สิ่งสำคัญคือแสงเลเซอร์ที่ใช้มีอันตรายต่อตา หากผู้ใช้ขาดความระมัดระวังในการใช้งานหรือระหว่างการซ่อมบำรุงอาจมีผลทำให้ตาบอดได้ 

 แสงเลเซอร์ในกล้องวัดระยะทางที่ใช้กันอยู่ในกองทัพมีความยาวคลื่น 1,064 นาโนเมตร ซึ่งเป็นช่วงแสงที่ไม่ปลอดภัยต่อตา เพราะแสงที่มีความคลื่นยาวตั้งแต่ 400 -1,400 นาโนเมตรสามารถเดินทางผ่านกระจกตาและเลนส์ตาไปตกยังจอรับภาพได้   ดังนั้นหากเวลาใช้งานมีการเล็งพลาดไปยังผู้ที่อยู่บริเวณใกล้เคียง   หรือเผลอไปกดปุ่มในระหว่างการซ่อมบำรุงก็อาจเป็นอันตรายถึงขั้นตาบอดได้

  ที่ผ่านมาทางกองทัพได้พยายามป้องกันด้วยการจัดหาแว่นตาป้องกันแสงเลเซอร์ มาใช้เพื่อความปลอดภัยของกำลังพลขณะปฏิบัติหน้าที่ แต่แว่นตาป้องกันแสงเลเซอร์เหล่านี้มีราคาค่อนข้างสูงอันละประมาณ หมื่น บาท ดังนั้นจึงมีแนวคิดที่อยากจะพัฒนาต้นแบบกล้องวัดระยะทางเลเซอร์ชนิดมือถือที่ปลอดภัยต่อตา มีคุณสมบัติเหมาะสมต่อการใช้งานของกองทัพไทย ไม่เป็นอันตรายต่อตาและสามารถซ่อมบำรุงได้เองโดยเจ้าหน้าที่กองทัพ

 น.อ.สหพงษ์ กล่าวว่า กล้องวัดระยะทางเลเซอร์ที่พัฒนาขึ้น เป็นชนิดที่ปลอดภัยต่อตา เนื่องจากใช้เลเซอร์ที่ให้แสงความยาวคลื่น 1,540 นาโนเมตร ซึ่งยาวกว่า 1,400 นาโนเมตร เป็นช่วงแสงที่ไม่สามารถผ่านเลนส์ตาไปยังเรตินาได้ แต่จะถูกดูดกลืนอยู่บริเวณรอบๆกระจกตา (cornea) จึงไม่เป็นอันตรายต่อดวงตา 

 ส่วนหลักการทำงานของกล้องใช้การจับเวลาเดินทางไปกลับของแสง หรือ Time of flight   โดยภาคส่งจะผลิตแสงเลเซอร์ชนิดพัลซ์พลังงานสูงส่งไปยังเป้าแล้วเริ่มต้นจับเวลา เมื่อแสงกระทบเป้าจะเกิดการกระกระจายและมีพลังงานบางส่วนสะท้อนกลับมา ภาครับจะทำการรวบรวมพลังงานแสงนี้และเปลี่ยนเป็นสัญญาณดิจิทัลเพื่อหยุดการจับเวลาไป-กลับของแสง จากนั้นภาคนับจะทำหน้าที่เปลี่ยนค่าเวลาไป-กลับของแสงให้เป็นค่าระยะทางโดยการนับสัญญาณนาฬิกาอ้างอิงภายในเวลาที่แสงเดินทางกลับ 

 สำหรับประสิทธิภาพของเครื่องสามารถวัดระยะทางได้ไกล 10 กิโลเมตร มีความผิดพลาด 5 เมตร ซึ่งอยู่ในรัศมีการทำลายของลูกปืนใหญ่หรือจรวดที่มีรัศมีการทำลายมากกว่า 10 เมตร จึงไม่เป็นปัญหา อีกทั้งเลเซอร์ที่ใช้นอกจากจะอยู่ในช่วงคลื่นที่ปลอดภัยแล้ว ยังเป็นเลเซอร์ของแข็งที่ปั๊มพลังงานด้วยเลเซอร์ไดโอดที่ให้ประสิทธิภาพสูงกว่าปั๊มพลังงานด้วยหลอดแฟลชถึง 20 เท่า ทำให้กล้องนี้สามารถวัดระยะได้มากกว่า 10,000 ครั้งต่อการชาร์ตแบตเตอรี่หนึ่งครั้ง จากเดิมที่วัดได้เพียง 600 ครั้งเท่านั้น

 ที่สำคัญเลเซอร์ที่นำมาใช้ยังอยู่ในช่วงคลื่นที่ตามองไม่เห็น จึงทำให้ข้าศึกไม่รู้ว่าเรากำลังทำการวัดระยะทางอยู่

 น.อ.สหพงษ์ กล่าวว่า กล้องวัดระยะทางเลเซอร์ชนิดปลอดภัยต่อตาที่พัฒนาขึ้น ขณะนี้ได้มีการทดสอบในภาคสนามแล้ว พบว่ามีประสิทธิภาพการทำงานดี มีความแม่นยำ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการวัดระยะทางกับระบบควบคุมการยิงของทั้งรถถังหรือเรือให้มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น  ส่วนราคาขายในขณะนี้หากผลิตมากกว่า 100 ตัว จะมีราคาเครื่องละประมาณหกแสนกว่าบาท แต่ถ้าสั่งซื้อจากต่างประเทศจะราคาเกือบล้านบาททีเดียว

 สำหรับการพัฒนาต่อจากนี้ มีแผนที่จะใส่ระบบจีพีเอสและเข็มทิศอิเล็กทรอนิกส์ลงไปใกล้อง เพื่อสามารถบอกตำแหน่งของเป้าหมายและทิศทางที่กล้องหันไป ซึ่งเมื่อยิงเลเซอร์ไปยังเป้าหมาย ระบบจะบอกตำแหน่งเป้าหมายได้ทันทีว่าอยู่ที่แลตติจูดและลองติจูดอะไร ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องมาคำนวณอีกครั้งในแผนที่  นอกจากนี้ยังมีแนวคิดที่จะติดระบบสื่อสารเข้าไปด้วย เพื่อให้ทุกคนในหน่วยรบรับทราบพร้อมกันว่าเป้าหมายอยู่ตำแหน่งใด

 อย่างไรก็ดี นวัตกรรมที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการวิจัยและพัฒนายุทโธปกรณ์ของกองทัพไทยชิ้นนี้ จะมีการนำมาจัดแสดงให้ชมในงานประชุมวิชาการประจำปี 2553 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) หรือ แนค 2010 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่  29-31 มีนาคมนี้ ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/it/innovation/20100326/107158/กล้องวัดระยะทางเลเซอร์-ฝีมือทหารไทย.html


โดยคุณ sam เมื่อวันที่ 01/04/2010 09:49:24


ความคิดเห็นที่ 4


สุดยอดจริงๆครับ...

คนไทยเก่งที่สุด...

โดยคุณ Otemus เมื่อวันที่ 01/04/2010 12:27:49


ความคิดเห็นที่ 5


ขอถามผู้รู้ครับ

ระบบควบคุมการยิง T69-2 ของไทย ใช้เลเซอร์ควบคุมการยิงหรือไม่และในปัจจุบันของ ทบ.มีสภาพใช้งานได้กี่คัน และการซ่อมบำรุงมีความคืบหน้าอย่างไรบ้างครับ

เช่นเดียวกัน T69-2 ของหน่วยนาวิกย์ ทร.สภาพการใช้งานเป็นอย่างไรบ้างครับ

ใครรู้ช่วยบอกทีคร้าบบบบ

 

 

โดยคุณ TEERAPHONG เมื่อวันที่ 01/04/2010 13:28:56


ความคิดเห็นที่ 6


ครับ อยากรู้เหมือนกันครับ รบกวนผู้รู้ครับผม คนไทยเก่งไม่แพ้ชาติใดในโลกครับ ........เหรียญทอง อะไรเหรียญทองเนี้ยละครับ

จำในโฆษณามา...หุหุ

โดยคุณ Milano_thai เมื่อวันที่ 02/04/2010 07:11:29


ความคิดเห็นที่ 7


วิศวกรไทย ถ้าได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง ไม่ว่าอะไรก็ทำได้ครับ เรื่องทฤษฎี คำนวน อะไรพวกนี้ เราไม่ได้ด้อยกว่าต่างชาติเลยนะ
โดยคุณ RMUTK เมื่อวันที่ 02/04/2010 11:45:08