นายก
ชพงษ์ มหายศนันทน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เค.ซี.พี.แอสโซซิเอท จำกัด
กล่าวว่า เมื่อประมาณปี 2545
บริษัทฯได้เข้าไปรับงานซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์ของกองทัพบก หนึ่งในนั้นคือ
รถถังเบา M32/Commander Stingray ที่แม้อุปกรณ์หลัก 3 ใน 4
ส่วนบริษัทฯสามารถใช้ทีมวิศวกรคนไทยซ่อมบำรุง
และจัดทำอุปกรณ์ใหม่ขึ้นทดแทนได้
อย่างไรก็ตาม มีอุปกรณ์ 1
ส่วนที่มีความสำคัญต่อระบบทั้งหมดคือ ระบบวัดระยะด้วยแสงเลเซอร์ (Laser
Range Finder) ที่เป็นเทคโนโลยีทางการทหารที่ลับมาก มีปัญหาชำรุดบกพร่อง
และเสื่อมสภาพของอุปกรณ์ทางด้านแสง
และการชำรุดบกพร่องของอุปกรณ์ทางไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์
กก.ผจก
.บริษัทเค.ซี.พี.แอสโซซิเอท กล่าวต่อว่า ถ้าอุปกรณ์ชิ้นนี้ไม่ทำงาน
ระบบการควบคุมการยิงอื่นๆ ก็จะไม่สามารถตั้งค่า
และควบคุมการยิงอัตโนมัติให้ตรงเป้าหมายอย่างแม่นยำได้
บริษัทฯไม่สามารถหาเทคโนโลยีมาซ่อมอุปกรณ์ชิ้นนี้จากต่างประเทศได้
เพราะถือเป็นเทคโนโลยีที่อยู่ระดับชั้นความลับที่ลับมาก
บริษัทต่างประเทศที่ผลิตอุปกรณ์
ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดของเทคโนโลยีที่ใช้
ทำให้การซ่อมบำรุงเป็นไปด้วยความยากลำบาก จนทางบริษัทฯได้มีโอกาสไปพบกับ
ดร.ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร นักวิจัยเนคเทค
ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องเทคโนโลยีทางด้านแสง
จนซ่อมบำรุงและแก้ไขได้ด้วยฝีมือของคนไทย
นายกชพงษ์ กล่าวอีกว่า
ด้วยเหตุนี้ทำให้ระบบเครื่องควบคุมการยิงที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า
อิเล็กทรอนิกส์ทั้งระบบ สามารถทำงานได้ตามขั้นตอนมาตรฐานของรถถังเบา
M32/Commander Stingray โดยมีการทดสอบการยิงปืนจากรถถัง
ในหลายลักษณะตามยุทธวิธีการรบ โดยได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
กระสุนปืนเข้าสู่เป้าหมายอย่างแม่นยำ และทหารม้าผู้ปฎิบัติงานภาคสนาม
มีความพึงพอใจเป็นอย่างมาก ในประสิทธิภาพของอุปกรณ์เลเซอร์วัดระยะ
ที่กลับมาเหมือนเดิมเกือบ 99 %
ด้านดร.ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร
ผู้อำนวยการฝ่าย หน่วยปฏิบัติการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีโฟโทนิกส์ เนคเทค
กล่าวว่า เนคเทคได้ให้คำแนะนำข้อมูลทางวิชาการ
เฉพาะการทำงานของระบบวัดระยะด้วยแสงเลเซอร์ (Laser Range Finder) ว่า
มีคุณลักษณะ จุดอ่อน ข้อจำกัด ปัญหา และการซ่อมบำรุงแก้ไขได้อย่างไรบ้าง
การให้คำปรึกษาทางด้านวิชาการในครั้งนี้
ตนเองรู้สึกภูมิใจที่คนไทยสามารถพึ่งพาตนเองได้
ไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศอยู่ตลอดเวลา
และช่วยลดการสูญเสียเงินตราออกนอกประเทศอีกด้วย
ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/tech/74095
อิๆ ผมว่ากำลังจะ Copy มาลงสักหน่อย โดนตัดหน้าไปเลย
แต่ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีนะครับ เพราะจะได้นำความรู้ไปต่อยอด พัฒนาพวกอาวุธที่นำวิถีด้วยเลเซอร์
แต่ตอนนี้ผมรอติดตามข่าวเกี่ยวกับการพัฒนาจรวดเพื่อความมั่นคงอยู่ ไม่รู้ว่าดำเนินการไปได้กี่เปอร์เซ็นแล้ว
ดีใจจังเลยครับ
ผมเห็นอุปกรณ์ ของมันเยอะมากเลยอ่ะ
20 กว่าชิ้นแหน่ะ เล็กใหญ่ ปนกันไป
น.อ.สหพงษ์ เครือเพ็ชร จากศูนย์วิจัยและพัฒนาการทหาร กรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม เปิดเผยว่า กล้องวัดระยะทางเลเซอร์ ชนิดปลอดภัยต่อตา เป็นผลงานที่ได้รับทุนจากโครงการสมองไหลกลับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) มีที่มาจากทุกวันนี้เลเซอร์มีบทบาทอย่างยิ่งต่อวงการทหาร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการยิงปืนใหญ่ที่ต้องใช้เลเซอร์ในการบอกพิกัดข้าศึกด้วยการวัดระยะทาง หรือการนำวิถีจรวดซึ่งต้องใช้แสงเลเซอร์นำทางให้จรวดวิ่งไปยังเป้าหมาย
กองทัพไทยได้มีการสั่งซื้อกล้องวัดระยะทางเลเซอร์ชนิดมือถือจากหลายบริษัทในต่างประเทศเข้ามาใช้เป็นเวลานานกว่า 15 ปีแล้ว ทำให้บางครั้งมีปัญหาเรื่องการซ่อมบำรุง เนื่องจากชิ้นส่วนอะไหล่หาได้ยาก อีกทั้งชิ้นส่วนบางอย่างโรงงานเลิกสายทำการผลิตไปแล้ว แต่สิ่งสำคัญคือแสงเลเซอร์ที่ใช้มีอันตรายต่อตา หากผู้ใช้ขาดความระมัดระวังในการใช้งานหรือระหว่างการซ่อมบำรุงอาจมีผลทำให้ตาบอดได้
แสงเลเซอร์ในกล้องวัดระยะทางที่ใช้กันอยู่ในกองทัพมีความยาวคลื่น 1,064 นาโนเมตร ซึ่งเป็นช่วงแสงที่ไม่ปลอดภัยต่อตา เพราะแสงที่มีความคลื่นยาวตั้งแต่ 400 -1,400 นาโนเมตรสามารถเดินทางผ่านกระจกตาและเลนส์ตาไปตกยังจอรับภาพได้ ดังนั้นหากเวลาใช้งานมีการเล็งพลาดไปยังผู้ที่อยู่บริเวณใกล้เคียง หรือเผลอไปกดปุ่มในระหว่างการซ่อมบำรุงก็อาจเป็นอันตรายถึงขั้นตาบอดได้
ที่ผ่านมาทางกองทัพได้พยายามป้องกันด้วยการจัดหาแว่นตาป้องกันแสงเลเซอร์ มาใช้เพื่อความปลอดภัยของกำลังพลขณะปฏิบัติหน้าที่ แต่แว่นตาป้องกันแสงเลเซอร์เหล่านี้มีราคาค่อนข้างสูงอันละประมาณ หมื่น บาท ดังนั้นจึงมีแนวคิดที่อยากจะพัฒนาต้นแบบกล้องวัดระยะทางเลเซอร์ชนิดมือถือที่ปลอดภัยต่อตา มีคุณสมบัติเหมาะสมต่อการใช้งานของกองทัพไทย ไม่เป็นอันตรายต่อตาและสามารถซ่อมบำรุงได้เองโดยเจ้าหน้าที่กองทัพ
น.อ.สหพงษ์ กล่าวว่า กล้องวัดระยะทางเลเซอร์ที่พัฒนาขึ้น เป็นชนิดที่ปลอดภัยต่อตา เนื่องจากใช้เลเซอร์ที่ให้แสงความยาวคลื่น 1,540 นาโนเมตร ซึ่งยาวกว่า 1,400 นาโนเมตร เป็นช่วงแสงที่ไม่สามารถผ่านเลนส์ตาไปยังเรตินาได้ แต่จะถูกดูดกลืนอยู่บริเวณรอบๆกระจกตา (cornea) จึงไม่เป็นอันตรายต่อดวงตา
ส่วนหลักการทำงานของกล้องใช้การจับเวลาเดินทางไปกลับของแสง หรือ Time of flight โดยภาคส่งจะผลิตแสงเลเซอร์ชนิดพัลซ์พลังงานสูงส่งไปยังเป้าแล้วเริ่มต้นจับเวลา เมื่อแสงกระทบเป้าจะเกิดการกระกระจายและมีพลังงานบางส่วนสะท้อนกลับมา ภาครับจะทำการรวบรวมพลังงานแสงนี้และเปลี่ยนเป็นสัญญาณดิจิทัลเพื่อหยุดการจับเวลาไป-กลับของแสง จากนั้นภาคนับจะทำหน้าที่เปลี่ยนค่าเวลาไป-กลับของแสงให้เป็นค่าระยะทางโดยการนับสัญญาณนาฬิกาอ้างอิงภายในเวลาที่แสงเดินทางกลับ
สำหรับประสิทธิภาพของเครื่องสามารถวัดระยะทางได้ไกล 10 กิโลเมตร มีความผิดพลาด 5 เมตร ซึ่งอยู่ในรัศมีการทำลายของลูกปืนใหญ่หรือจรวดที่มีรัศมีการทำลายมากกว่า 10 เมตร จึงไม่เป็นปัญหา อีกทั้งเลเซอร์ที่ใช้นอกจากจะอยู่ในช่วงคลื่นที่ปลอดภัยแล้ว ยังเป็นเลเซอร์ของแข็งที่ปั๊มพลังงานด้วยเลเซอร์ไดโอดที่ให้ประสิทธิภาพสูงกว่าปั๊มพลังงานด้วยหลอดแฟลชถึง 20 เท่า ทำให้กล้องนี้สามารถวัดระยะได้มากกว่า 10,000 ครั้งต่อการชาร์ตแบตเตอรี่หนึ่งครั้ง จากเดิมที่วัดได้เพียง 600 ครั้งเท่านั้น
ที่สำคัญเลเซอร์ที่นำมาใช้ยังอยู่ในช่วงคลื่นที่ตามองไม่เห็น จึงทำให้ข้าศึกไม่รู้ว่าเรากำลังทำการวัดระยะทางอยู่
น.อ.สหพงษ์ กล่าวว่า กล้องวัดระยะทางเลเซอร์ชนิดปลอดภัยต่อตาที่พัฒนาขึ้น ขณะนี้ได้มีการทดสอบในภาคสนามแล้ว พบว่ามีประสิทธิภาพการทำงานดี มีความแม่นยำ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการวัดระยะทางกับระบบควบคุมการยิงของทั้งรถถังหรือเรือให้มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น ส่วนราคาขายในขณะนี้หากผลิตมากกว่า 100 ตัว จะมีราคาเครื่องละประมาณหกแสนกว่าบาท แต่ถ้าสั่งซื้อจากต่างประเทศจะราคาเกือบล้านบาททีเดียว
สำหรับการพัฒนาต่อจากนี้ มีแผนที่จะใส่ระบบจีพีเอสและเข็มทิศอิเล็กทรอนิกส์ลงไปใกล้อง เพื่อสามารถบอกตำแหน่งของเป้าหมายและทิศทางที่กล้องหันไป ซึ่งเมื่อยิงเลเซอร์ไปยังเป้าหมาย ระบบจะบอกตำแหน่งเป้าหมายได้ทันทีว่าอยู่ที่แลตติจูดและลองติจูดอะไร ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องมาคำนวณอีกครั้งในแผนที่ นอกจากนี้ยังมีแนวคิดที่จะติดระบบสื่อสารเข้าไปด้วย เพื่อให้ทุกคนในหน่วยรบรับทราบพร้อมกันว่าเป้าหมายอยู่ตำแหน่งใด
อย่างไรก็ดี นวัตกรรมที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการวิจัยและพัฒนายุทโธปกรณ์ของกองทัพไทยชิ้นนี้ จะมีการนำมาจัดแสดงให้ชมในงานประชุมวิชาการประจำปี 2553 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) หรือ แนค 2010 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29-31 มีนาคมนี้ ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี
สุดยอดจริงๆครับ...
คนไทยเก่งที่สุด...
ขอถามผู้รู้ครับ
ระบบควบคุมการยิง T69-2 ของไทย ใช้เลเซอร์ควบคุมการยิงหรือไม่และในปัจจุบันของ ทบ.มีสภาพใช้งานได้กี่คัน และการซ่อมบำรุงมีความคืบหน้าอย่างไรบ้างครับ
เช่นเดียวกัน T69-2 ของหน่วยนาวิกย์ ทร.สภาพการใช้งานเป็นอย่างไรบ้างครับ
ใครรู้ช่วยบอกทีคร้าบบบบ
ครับ อยากรู้เหมือนกันครับ รบกวนผู้รู้ครับผม คนไทยเก่งไม่แพ้ชาติใดในโลกครับ ........เหรียญทอง อะไรเหรียญทองเนี้ยละครับ
จำในโฆษณามา...หุหุ