กมธ.การทห. สอบพบพิรุธซื้อ กริพเพน ได้แต่เครื่องเปล่าไร้เขี้ยวเล็บ
ผู้สื่อข่าว มติชน รายงาน ว่า เมื่อเร็วๆนี้ คณะกรรมาธิการ(กมธ.)การทหาร สภาผู้แทนราษฎร ที่กำลังติดตามโครงการการจัดซื้อเครื่องบินขับไล่ ยาส 39ซี/ดี กริพเพน (JAS 39C/D Gripen) จากประเทศสวีเดน ของกองทัพอากาศ ได้จัดทำเอกสารสรุปผลการพิจารณาสอบในประเด็นต่างๆเกี่ยวกับความไม่โปร่งใสในการดำเนินงาน ดังนี้ โครงการจัดหาในระยะแรกจำนวน 6 ลำ วงเงิน 1.9 หมื่นล้านบาท ได้ดำเนินการแล้ว โดยเหลือการจัดหาระยะที่ 2 อีกจำนวน 6 ลำ วงเงิน 1.6 หมื่นล้านบาท โดยพบว่าการจัดหาในระยะแรกประกอบด้วย เครื่องบิน Gripen (Model C นั่งได้ 1 ที่นั่ง) จำนวน 2 ลำ ราคาลำละ 1,650 ล้านบาท เครื่องบิน Gripen (Model D นั่งได้ 2 ที่นั่ง) จำนวน 4 ลำ ราคาลำละ 2,015 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ทั้งนี้ ประเด็นน่าสนใจคือเป็นเครื่องเปล่า อุปกรณ์สนับสนุนต่างๆไม่รวมอาวุธจรวดและระเบิด นอกจากนี้สิ่งที่ทางสวีเดนให้เพิ่มมาด้วยคือ เครื่องบิน Saab 340 จำนวน 1 ลำ และเครื่องบิน Saab 340 AEW อีกจำนวน 1 ลำ ซึ่งเป็นเครื่องบินที่ใช้งานมานานกว่า 10 ปี ซึ่งปัจจุบันสวีเดนได้ปลดประจำการแล้วเมื่อปี 2554 หากรับมาใช้กองทัพอากาศไทยจะต้องของบประมาณเพิ่มเติมอีกประมาณ 800 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงเครื่องบิน Saab 340 AEW ให้เป็น Saab 340 AEW/C เพื่อให้สามารถใช้งานร่วมกับเครื่องบิน Gripen ที่ซื้อมาได้ สำหรับการจัดหาในระยะที่ 2 เพิ่มอีก 6 ลำ วงเงิน 1.6 หมื่นล้านบาทนั้น ได้แก่ เครื่องบิน Gripen (Model C นั่งได้ 1 ที่นั่ง) จำนวน 6 ลำ ราคาลำละ 1,715 ล้านบาท (ราคาเพิ่มขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์) ทั้งนี้สำหรับอุปกรณ์สนับสนุนต่างๆ ยังไม่รวมอาวุธจรวดและระเบิดเช่นเดิม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ ประเด็นความผิดปกติของโครงการที่ตรวจพบ ได้แก่ 1.การจัดหาเครื่องบิน Gripen ในระยะที่ 1 จำนวน 6 ลำ แบ่งเป็นแบบโมเดล C คือ 1 ที่นั่ง 2 ลำ และโมเดล D คือ ที่นั่งคู่อีก 4 ลำ โดยโมเดล C ในการประกอบชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องบิน เช่น ลำตัวเครื่อง ปีก ฐานล้อ วิทยุติดต่อ เครื่องวัดต่างๆในห้องนักบิน ฯลฯ ทางสวีเดนได้นำชิ้นส่วนอะไหล่ของเครื่องบิน Gripen โมเดล A ซึ่งเป็นรุ่น 1 ที่นั่งเช่นเดียวกับโมเดล C แต่ได้ปลดประจำการไปแล้ว เช่น ลำตัวเครื่อง ปีก ฐานล้อ วิทยุติดต่อ เครื่องวัดต่างๆในห้องนักบิน ฯลฯ และชิ้นส่วนอะไหล่อีกหลายรายการมาประกอบรวมกับอะไหล่ใหม่ให้กับกองทัพอากาศไทย
โดยเมื่อทำการตรวจรับและส่งมอบเครื่องบินในประเทศไทยแล้ว จะทำการตรวจสอบชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆของเครื่องบินได้ยาก และจะทำได้ก็ต่อเมื่อเครื่องบินครบอายุการตรวจ(Phase Inspection) ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 2-4 ปี ดังนั้นกว่าจะถึงเวลาดังกล่าวจึงเป็นข้อสังเกตุว่า เครื่องบิน Gripen โมเดล C ที่ทอ.ไทยซื้อมาลำละ 47 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ จะมีราคาที่แท้จริงซึ่งใช้ปีกและอะไหล่มือสองดังกล่าวหรือไม่ เพราะราคาที่แท้จริงน่าจะอยู่ที่ 20-25 ล้านดอลล่าร์สหรัฐเท่านั้น (มีเงินส่วนต่างจำนวน 50 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ) และหากมีการเซ็นสัญญากับบริษัท Gripen ในการจัดหาระยะที่ 2 สำหรับ โมเดล C อีก 6 ลำ จะทำให้เงินส่วนต่างหายไปอีกประมาณ 210 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรืออาจมากกว่านั้น
ปลัดกลาโหมบอกเตรียมสั่งซื้อ รถเกราะยูเครน เพิ่ม 121 คัน
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 20 กรกฎาคม ที่โรงเรียนกลาโหมอุทิศ พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวกรณีสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ขอกระทรวงกลาโหมทำเรื่องลงพื้นที่ตรวจสอบบริษัทรถหุ้มเกราะล้อยางประเทศยูเครนว่า กองทัพบกได้ชี้แจงในรายละเอียดทางสตง.ไปแล้ว เชื่อว่าสามารถตรวจสอบบริษัทดังกล่าวที่ประเทศยูเครนได้ ในเรื่องเครื่องยนต์กองทัพบกได้ชี้แจงว่าเครื่องที่เปลี่ยนมีคุณลักษณะที่ดีกว่าเครื่องเดิม โดยมีหลักการเปลี่ยนว่าคุณสมบัติต้องไม่ด้อยกว่าของเดิมคือเท่ากันหรือดีกว่า
เมื่อถามว่า มีข่าวว่าได้มีการเร่งอนุมัติซื้อรถหุ้มเกราะล้อยางรอบ 2 จำนวน 121 คัน พล.อ.อภิชาต กล่าวว่า ไม่ได้มีการเร่งรัดอนุมัติการดำเนินการจัดซื้ออีก 121 คันตามที่สอบถาม แต่ในหลักการเมื่องบประมาณยังมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้อนุมัติให้ดำเนินงานตามแผนงานแผนเงินที่มีอยู่แค่นั้น ยังไม่ได้มีการอนุมัติให้จัดซื้อ
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการจัดซื้อรถหุ้มเกราะล้อยางจากยูเครนในล็อต 2 จำนวน 121 คัน กองทัพบกกำลังดำเนินการขอจัดซื้อเพิ่มเติม โดยเตรียมที่จะทำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า เพื่อขออนุมัติในหลักการ ทั้งนี้ โครงการจัดซื้อรถหุ้มเกราะล้อยางล็อตแรก จำนวน 96 คัน งบประมาณ 4,600 ล้านบาท ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนในการจัดซื้อ เพราะติดปัญหาในการจัดหาอะไหล่ของประเทศยูเครน ไม่ตรงตามสเปค ทำให้การจัดซื้อยังไม่คืบหน้า ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสังเกตว่าเหตุใดกองทัพบกจึงเร่งจัดซื้อรถหุ้มเกราะล้อยางล็อต 2 ในเวลานี้ โดยเฉพาะในช่วงที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) จะเกษียณอายุราชการในสิ้นเดือนกันยายนนี้
พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม กรณีกองทัพบกเตรียมผลักดันการจัดซื้อยานเกราะล้อยางจากประเทศยูเครน 2 ล็อตๆแรก จำนวน 96 คัน วงเงินงบประมาณ 4 พันล้านบาทเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นชอบเร็วๆนี้ และระยะที่สองอีก 121 คัน งบประมาณ 5 พันล้านบาทเตรียมเสนอขอความเห็นชอบในเดือนกันยายนนี้ว่า เป็นระบบเหมือนกับส่วนราชการอื่นๆ กองทัพไม่ได้รับแรงเกื้อหนุนจากรัฐบาลในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆอย่างเป็นพิเศษแต่อย่างใด ทุกโครงการต้องเข้าครม. และในครม.ก็มีการซักถามกันมาก ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนทุกอย่าง เป็นไปตามระเบียบวาระ
"ตอนนี้กองทัพบกกำลังดูแลอยู่และกำลังชี้แจ้งสตง.(สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน)ในเรื่องปัญหาข้อขัดข้อง ส่วนล็อตที่2 ทราบว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการและอยู่ในระหว่างการเตรียมขออนุมัติหลักการจาก ครม. ซึ่งเชื่อว่า โครงการดังกล่าวไม่น่าจะมีการทุจริต เพราะมีการตรวจสอบทุกขั้นตอน ไม่ใช่เรื่องง่าย"ปลัดกระทรวงกลาโหมกล่าว
ผู้สื่อข่าวถาม การจัดซื้อมีการเปลี่ยนเครื่องยนต์และเกียร์จากสเปคเดิม โดยเครื่องยนต์เปลี่ยนมาใช้ยี่ห้อเบนซ์แทนดอยซ์จะถือว่า ผิดระเบียบการจัดซื้อที่ต้องมีการประมูลใหม่หรือไม่ พล.อ.อภิชาต กล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องเปิดประมูลใหม่ แต่ในสาระสำคัญต้องนำเข้าเสนอครม. อีกครั้ง ซึ่งกองทัพบกกำลังดำเนินการในขั้นตอนนี้อยู่ และกำลังพิจารณาว่าขีดความสามารถของเครื่องยนต์ที่จะเปลี่ยนดีกว่าเครื่องที่เคยเสนอไปตั้งแต่แรกหรือไม่ หากดีกว่าหรือเท่าเทียมก็จะมีการเสนอครม.ให้เห็นชอบ ซึ่งไม่ถือว่า เป็นการผิดสัญญา แต่ต้องแก้ไขสัญญาให้สอดคล้อง และขออนุมัติจากครม.
ส่วนการจัดซื้อล็อตแรกยังมีปัญหาแต่ยังมีการดำเนินการจัดซื้อล็อตสองถือว่า ผิดปกติหรือไม่นั้น พล.อ.อภิชาต กล่าวว่า เป็นความต่อเนื่องของงบประมาณ ซึ่งความจำเป็นต้องมีล็อตแรก 96 คันนั้น เป็นเพียงแค่ 1 กองพัน แต่ความต้องการของกองทัพบกคือ 1 กรม คือ ต้องมี 3 กองพัน ดังนั้นต้องมีการจัดหาเพิ่ม ทั้งนี้จำเป็นต้องมีความต่อเนื่องในระบบ เพราะหากจัดซื้อของจากประเทศนี้แล้ว แม้จะมีปัญหาในงบประมาณ แต่หากจัดซื้อจากประเทศอื่นจะมีปัญหาเรื่องการซ่อมบำรุง ซึ่งถือเป็นระบบในการจัดซื้อ ยกตัวอบ่างเช่น เครื่องบินกริพเพนที่ซื้อเฟสแรก 6 ลำ เพราะมีงบประมาณเพียงแค่นั้นจึงจำเป็นต้องซื้อเฟส 2และ3 เพื่อให้เต็มศักยภาพ
ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวตอบคำถามการจัดซื้อแบบรัฐต่อรัฐเปลี่ยนเป็นการจัดซื้อแบบพิเศษที่กองทัพบกกำหนดความต้องการเพื่อให้บริษัทที่มีคุณสมบัติเข้ามาเสนอตัว ถือเป็นล็อคสเปคให้บริษัทจากยูเครนหรือไม่ว่า ขณะนี้อยุ่ในขั้นตอนการพิจารณา การอนุมัติหลักการในการจัดซื้อ ซึ่งการเสนอคงยังระบุไม่ได้ว่า ในล็อตสองจะเป็นแบบรัฐต่อรัฐหรือการจัดซื้อแบบพิเศษระหว่างหน่วยงานกับบริษัท "ที่มีการมองว่า จะเป็นการล็อคสเปคหรือไม่ เป็นเงื่อนไขที่กองทัพบกต้องชี้แจง"พล.อ.อภิชาตกล่าว
สำหรับคำถาม เหมาะสมหรือไม่ที่กองทัพจัดซื้ออาวุธในช่วงที่งบประมาณของชาติมีน้อย พล.อ.อภิชาต กล่าวว่า "ต้องดูให้ครบถ้วนหลายด้าน เราเห็นความจำเป็นและความขัดข้องงบประมาณของประเทศอยู่ แต่ประเทศรอบบ้านจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ไว้ค่อนข้างมาก บางประเทศอาจไม่จัดซื้อเอง แต่ได้รับการสนับสนุนจากมิตรประเทศที่มีความสัมพันธ์กันอยู่ จึงจำเป็นทีเราต้องทำให้เกิดความสมดุลทางอำนาจให้ได้ จำเป็นต้องดูประเทศรอบบ้าน เราต้องพยายามหาซื้อยุทโธปกรณ์ให้เกิดความสมดุลให้ได้ คือ สิ่งที่กระทรวกลาโหมต้องทำและดูแล"
ขณะที่ การจัดซื้อเครื่องบินขับไล่ ยาส 39 ซี/ดี กริพเพน (JAS 39C/D Gripen) จากประเทศสวีเดน ของกองทัพอากาศ (ทอ.) นั้น คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร สภาผู้แทนราษฎร ที่มี พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นประธาน ที่กำลังติดตามเรื่องนี้อยู่นั้น ได้จัดทำเอกสารสรุปผลการตรวจสอบในประเด็นต่างๆ ที่น่าสนใจ นอกจากพบประเด็นการนำอะไหล่เก่า อาทิ ปีกเครื่อง คันเร่ง วิทยุติดต่อ ฯลฯ ของเครื่องกริพเพน โมเดล A เป็นเครื่องบินขับไล่กริพเพนรุ่นแรก ทางการสวีเดนปลดประจำการไปแล้ว มาประกอบเป็นกริพเพน โมเดล C และ D ขายให้กับไทยแล้ว
กมธ.การทหารฯยังพบผลการตรวจสอบต้นทุนการปฏิบัติการและบำรุงรักษา หรือ OM Cost (Operating and Maintainance Cost) ของเครื่องบินกริพเพนเกี่ยวกับการให้ความสนับสนุนด้านอะไหล่ต่างๆ ในระยะแรกหลังซื้อ หากเปรียบเทียบกับการซื้อเครื่องบิน เอฟ 16 จะได้รับค่าการดูแลในเรื่องอะไหล่ที่ยาวนานกว่า โดยข้อมูล OM Cost ของกริพเพน ทางสวีเดนให้ไทยเพียง 2 ปีแรกเท่านั้นในเรื่องการให้การสนับสนุนด้านอะไหล่ต่างๆ จากสวีเดนตามที่ระบุไว้ในสัญญา แต่หลังจาก 2 ปีผ่านไป สวีเดนจะไม่ช่วยเหลือในด้านอะไหล่การซ่อมบำรุงรักษาอีก ส่งผลให้ OM Cost อาจสูงถึง 4-5 แสนบาทต่อ 1 ชั่วโมงบิน หากเทียบกับการซื้อเครื่องบินเอฟ 16 จะมีค่า OM Cost เพียง 323,000 บาทต่อ 1 ชั่วโมงบิน ขณะที่กริพเพนใช้ 344,000 บาทต่อ 1 ชั่วโมงบิน แพงกว่ากัน 20,000 บาทต่อ 1 ชั่วโมงบิน ส่งผลให้ ทอ.ไทยต้องใช้งบประมาณสนับสนุนเพิ่มเติม
นอกจากนี้ ผลสรุปการศึกษาพบประเด็นที่สำคัญ คือ บริษัทซึ่งเป็นตัวแทนจัดหาจากบริษัทกริพเพนเป็นผู้ผลิตจากสวีเดน คือ บริษัท Aviasatcom ซึ่งเป็นบริษัทเดียวที่ได้ประมูลโครงการใหญ่ๆ ใน ทอ.ไทย เช่น โครงการจัดหาเครื่องบินกริพเพน 1 ฝูงบิน (12 ลำ) วงเงิน 35,266 ล้านบาท โครงการ Tactical Data Link วงเงินกว่า 1,000 ล้านบาท โครงการจัดหาจรวดสู่อากาศ IRIS-T ในราคานัดละประมาณ 55 ล้านบาท รวมถึงเครื่องบิน UAV จากประเทศสิงคโปร์ โดยเฉพาะรับงานการจ้างซ่อมคืนสภาพเครื่องบินใน ทอ. รวมถึงเครื่องกริพเพนที่กำลังจัดหาอยู่ในปัจจุบันด้วย นอกจากนี้ยังพบว่าบริษัทดังกล่าวยังเป็นตัวแทนนำเข้าเครื่องตรวจสารระเบิด GT-200 ที่ตกเป็นข่าวในเรื่องประสิทธิภาพการใช้งานให้กับหน่วยราชการไทยอีกด้วย ทั้งนี้เครื่อง GT-200 นำมาใช้ครั้งแรกโดยประจำการในกองทัพอากาศ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสเวน เบิร์กมาน นายโจอาชิม ดีย์เวอร์มาร์ก นายเฟรดริก ลอริน ผู้สื่อข่าวและผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ จัดทำวิจัยเชิงสืบสวนสอบสวนชื่อ "กริพเพน : เดอะ ซีเครต ดีล" โดยได้รับความร่วมมือจากสถานีโทรทัศน์เอสวีที แห่งสวีเดน (Sveriges Television-SVT) หนังสือพิมพ์การ์เดียนของอังกฤษ และนายโลเวลล์ เบิร์กมาน แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กเลย์ สหรัฐอเมริกา เปิดโปงการให้เงินสินบนในการซื้อขายเครื่องบินกริพเพน จำนวน 24 ลำ มูลค่า 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 96,000 ล้านบาท เมื่อปี 2544 ระหว่างที่นายมิโลส เซมาน เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมางานวิจัยดังกล่าวนำมาเผยแพร่ผ่าน "เอสวีที" ได้รับรางวัลสูงสุดของวิชาชีพหนังสือพิมพ์แห่งสวีเดน
ผลของการรายงานข่าวดังกล่าว ทำให้รัฐบาลหลายประเทศร่วมกันสอบสวนข้อสงสัยการให้สินบนในการซื้อขายเครื่องบินกริพเพน ล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สำนักงานอัยการแห่งสาธารณรัฐเช็ก นำคดี "กริพเพน" ที่ตำรวจสั่งยกเลิกไปแล้วเมื่อปี 2552 โดยอ้างหลักฐานมีไม่พอกลับมาสอบสวนอีกครั้งหนึ่ง
เครื่องแจส39ผมไม่ว่า แต่รถเกราะน่ะ หนูอยากได้ไอ้นี่กว่านะ
เอ็ม2
เยาวชนเครียด
เลย
ประเทศนี้
อ่านแล้วก็เซ็ง
อันนี้ จาก คมชัดลึก (อ่านแล้วเซ็งยิ่งกว่าเดิมครับ)
คันเดียว-ลูกผสม3ประเทศซ้ำไร้วี่แววเสร็จทบ.ยังจ่อเซ็น"รถเกราะยูเครน" อีก 121 คัน?
คมชัดลึก :เข้าทำนอง "ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก" อีกแล้ว สำหรับกองทัพบก(ทบ.) เมื่อมีข่าวว่ามีการยื่นแผนการจัดซื้อ "รถหุ้มเกราะยูเครน" ลอตที่สองอีก 121 คัน
ทั้งที่รถหุ้มเกราะยูเครนลอตแรก 96 คัน วงเงินเกือบ 4,000 ล้านบาท ยังไม่ได้รับการส่งมอบ
ท่ามกลางข้อครหาว่า สาเหตุที่ส่งมอบล่าช้า เพราะยังประกอบ "เครื่องยนต์" และ "เกียร์" ยังไม่แล้วเสร็จใช่หรือไม่ !?
โดยเฉพาะกับข้อสังเกตที่ว่า เหตุใดถึงต้องหันไปใช้เครื่องยนต์จาก "เยอรมนี" และเกียร์จาก "สหรัฐอเมริกา" แทนที่จะใช้เครื่องยนต์จากยูเครน ซึ่งเป็นผู้ผลิตตัวถังโดยตรง
ความล่าช้าในการส่งมอบรถหุ้มเกราะให้แก่กองทัพไทย จึงสอดคล้องกับข้อสงสัยของวงในระดับสูงของ ทบ. ที่ระบุก่อนหน้านี้ว่า สาเหตุของความล่าช้าในการส่งมอบรถหุ้มเกราะยูเครนมีเพียงประการเดียว
นั่นคือ (อดีต)ประเทศแม่ของยูเครน คือ "รัสเซีย" ในสมัยที่ยังรวมกันเป็นอดีตสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นเจ้าของเทคโนโลยีเครื่องยนต์ของรถหุ้มเกราะในตระกูล "บีทีอาร์" ส่วนยูเครนซึ่งเป็นประเทศบริวารมีความสามารถในระดับแค่ "ประกอบตัวถัง" เท่านั้น
เมื่อรัสเซียไม่ยอมส่งมอบเทคโนโลยีการผลิตเครื่องยนต์ รวมทั้งไม่ยอมขายเครื่องยนต์ให้ยูเครน เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างกัน ยูเครนจึงไม่สามารถหาเครื่องยนต์ให้ไทยได้
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ต้องวิ่งขาขวิดไปหาซื้อเครื่องยนต์ และเกียร์จากอีก 2 ประเทศข้างต้นใช่หรือไม่ !?!?
วงในของกองทัพรายเดิม ชี้ว่า ขณะนี้ที่กองทัพบกยังให้กำหนดเวลาการส่งมอบรถหุ้มเกราะยูเครนไม่ได้ เพราะทางยูเครนเองก็ยังไม่สามารถให้คำตอบว่าจะประกอบเสร็จเมื่อใด
"เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าเศร้าของกองทัพไทยมากที่รถคันเดียว แต่กลับต้องใช้ส่วนประกอบจาก 3 ประเทศ ดังนั้น การประกอบจึงต้องใช้เวลามาก เพราะต้องมีการดัดแปลงอีกเยอะเพื่อให้มีประสิทธิภาพใช้ได้ตรงตามสเปกที่กองทัพต้องการ"
ที่สำคัญ คือ ในการจัดซื้อระหว่างรัฐต่อรัฐ แม้ดูผิวเผินอาจจะดูดีในเรื่องของความโปร่งใส แต่แท้จริงแล้วกลับมีช่องโหว่ประการสำคัญ นั่นคือ เป็นสัญญาที่ไม่มีการกำหนด "ค่าปรับ" จึงไม่สามารถเรียกร้องความเสียหายได้ แม้จะส่งมอบล่าช้าแค่ไหนก็ตาม
อย่างไรก็ตาม เขาเห็นว่า เรื่องนี้กองทัพบกต้องทวงถามไปยังยูเครนว่า จะส่งมอบได้เมื่อใด เพราะก่อนหน้านี้มีการเลื่อนการส่งมอบมาแล้วหลายครั้ง ล่าสุด ก็เลื่อนจากปลายปี 2552 มาเป็นต้นปี 2553 แต่จนป่านนี้ก็ยังไร้วี่แววว่า รถยูเครนจะเข้าประจำการได้เมื่อไหร่
วงในรายนี้ จึงต้องการคำตอบที่ชัดเจนจาก ทบ. ว่าจะให้คำตอบสังคมได้หรือไม่ว่า รถหุ้มเกราะยูเครนจะนำเข้าประจำการได้เมื่อไหร่ ไม่ใช่ว่าลอตเก่ายังไม่รู้ว่าจะส่งมอบได้เมื่อไหร่ หรือจะมีประสิทธิภาพคุ้มค่าคุ้มราคาหรือไม่ แต่กลับมีการสั่งซื้อลอตที่ 2 อีกแล้ว
"เรื่องนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ต้องอย่าเกรงใจกองทัพ เพราะถ้าตอบประชาชนไม่ได้ รัฐบาลจะเสียเอง ซึ่งตัวนายกฯ ไม่มีปัญหาเรื่องความโปร่งใสอยู่แล้ว แต่กับคนรอบข้างท่านต้องพิสูจน์ให้เห็นว่ามีความโปร่งใสเช่นกัน"
ส่วนข้ออ้างที่ว่าจะนำไปประจำการในกองพลทหารราบ เช่น พล.2 รอ. เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับป้องกันชายแดนนั้น เขาเห็นว่า ด้วยศักยภาพของกำลังพล และอาวุธเท่าที่อยู่ก็สามารถเอาชนะได้ไม่ยากอยู่แล้ว ซึ่งจริงๆ แล้วน่าจะไปเน้นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศดีกว่า
ขณะที่ พล.ท.เอกชัย วัชรประทีป เจ้ากรมสรรพาวุธทหารบก แถลงข่าวชี้แจงสาเหตุความล่าช้าในการส่งมอบว่า เนื่องจากขณะนี้อยู่ระหว่างการแก้ไขข้อตกลงสัญญา จากเดิมที่มีการระบุในสัญญาเกี่ยวกับการใช้ตัวเครื่องยนต์ดอยช์ จากประเทศเยอรมนี มาเป็นเครื่องยนต์รุ่นเอ็มทียู ของประเทศเยอรมนี และเกียร์เอริสันของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างกระบวนการเสนอให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พิจารณาในรายละเอียด และเตรียมที่จะชี้แจงคณะรัฐมนตรี(ครม.) เร็วๆ นี้
เจ้ากรมสรรพาวุธทหารบก ยังให้ความมั่นใจเรื่องกำหนดการส่งมอบรถหุ้มเกราะลอตแรกว่า จะสามารถผ่านพ้นไปด้วยดี โดยรถหุ้มเกราะล้อยางลอตแรก จำนวน 96 คัน จะสามารถเข้ามาประจำการได้ทั้งหมด จำนวน 96 คัน ภายในปี 2554
"แต่เบื้องต้น จะเข้ามาประจำประเทศไทยลอตแรก 2 คัน ในช่วงเดือนกันยายน 2553 หลังจากที่มีการนำเข้ามาแล้ว จะมีการเปิดแถลงข่าวในรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง"
ส่วนวงเงินงบประมาณการจัดซื้อในลอตที่ 2 ประมาณ 5,000 ล้านบาท จำนวน 121 คัน ใช้งบประมาณผูกพัน 3 ปี ตั้งแต่ปี 2552-2554 โดยจะจัดซื้อกับตัวแทนจำหน่ายโดยตรงของยูเครน ขณะที่ลอตแรกมีการจัดซื้อแบบรัฐต่อรัฐ และไม่หวั่นข้อครหาเรื่องความโปร่งใส
นี่คือประเด็นคำชี้แจงทั้งหมดของกองทัพบกที่ฟังแล้วน่าใจหายไม่น้อย เพราะกว่าจะได้ยลโฉมรถเกราะยูเครนลอตแรกก็ปาเข้าไปเดือนกันยายน
จากเดิมที่เคยแถลงว่าจะนำเข้ามาประจำการบางส่วนได้ในต้นปี 2553 แถมยังมาให้เห็นตัวเป็นๆ แค่ 2 คันเสียด้วย !?
นอกจากนี้ กองทัพบกยังต้องตอบคำถามอีกมากว่า เหตุใดจึงต้องเร่งซื้อลอตที่ 2 ทั้งที่ลอตแรกยังลูกผีลูกคนว่า จะได้ครบเมื่อไหร่ และยังพิสูจน์ไม่ได้ด้วยว่า จุดด้อยต่างๆ ที่มีผู้คนตั้งข้อสังเกตก่อนหน้านี้มากมายเป็นจริงอย่างที่ผู้คนครหากันหรือไม่
เรื่อง Gripen ครับว่าดูอย่างไรถึงมองว่าเป็นของเก่าครับ ????
"ทางสวีเดนได้นำชิ้นส่วนอะไหล่ของเครื่องบิน Gripen โมเดล A ซึ่งเป็นรุ่น 1 ที่นั่งเช่นเดียวกับโมเดล C แต่ได้ปลดประจำการไปแล้ว เช่น ลำตัวเครื่อง ปีก ฐานล้อ วิทยุติดต่อ เครื่องวัดต่างๆในห้องนักบิน"
ดูลำตัวก่อนละกัน นี้นะของมือ 2
มาดู Cockpit A/B เดิมเป็นจอ CRT แบบ Monochrome
แต่ของ C/D เป็นแบบ LCD สี ของ L3 ซึ่งต่างกันอย่างเห็นได้ชัดครับ
ความจริงพอจะเดาได้แล้วครับ
ปีนี้เค้าจะมีการพาสื่อส่วนหนึ่งไปดูงานที่โรงงานสร้างให้เห็นว่า GRIPEN 39 C/D ของไทยเป็นยังไง เก่าใหม่ โควต้าที่นั่งคงน้อย....บางสื่อพูดแบบนี้ กะว่า...ไม่อยากตกเที่ยวบินนี้หรือเปล่านะ...งั้นเห็นทีผมว่า..ทอ.คงต้องหางบ พาสื่อและตัวแทนคนไทย (ที่เป็นกลาง) ไปชมกันเลยก็ดีครับ.....
แล้วอย่างนี้ "เครื่องวัดต่างๆในห้องนักบิน" ในห้องนักบินเค้าจะกล้าเอาจอ CRT
เก่า ๆ มาติดให้เราเชียวหรอครับ
ถ้าหากเป็นเช่นนั้นคณะกรรมการตรวจรับขอ ทอ. อย่ารับเครื่องนะครับ เพราะ
เราจะได้เครื่อง Gripen รุ่น A/B ไม่ใช้ C/D ซึ่งถือว่าผิด Spec.อย่างร้ายแรง
มีความผิดทางวินัยถึงขั้นทุจริต สามารถให้ออกจากราชการได้ครับ
แต่ถ้าไม่เป็นไปตามข้อมูลที่มติชนเขียน แล้วมติชนจะรับผิดชอบอย่างไรได้บ้างครับ ????????
ปล.ที่ช่วงนี้เล่นข่าวนี้ คุณกำลังคิดอะไรอยู่ครับ คิดร้ายกับประเทศอยู่หรือเปล่าครับ ?????
ผมละเบื่อ หนังสือพิมพ์ ฉบับนี้มากๆ เลยหล่ะครับ
ตอนนี้ผมเรียก หนังสือพิมพ์ ฉบับนี้ว่า มติเกรียน แล้ว หล่ะ เหอะๆ
ป่ะไปพวกเราไปประจานความมั่วของน.ส.พ.ฉบับนี้กัน
ผมคนหนึ่งล่ะที่ไม่ยอมให้ท.อ.ประสบเหตุแบบเดียวกันกับท.ร.เรื่องเรือดำน้ำจากสวีเดน
รถถัง 6 คัน<<<<รถถังเเบบไหนเหรอครับ
เครื่องบินกองทัพก็ควรออกมาชี้เเจงมาบอกให้หายสงสัยปล่อยให้นักข่าวเล่นสนุกอยุ่ได้ มันก็จบ ปล่อยไว้มีเเต่เสียกับเสีย
<P>รถถัง 6 คัน<<<<รถถังเเบบไหนเหรอครับ</P>
<P>เครื่องบินกองทัพก็ควรออกมาชี้เเจงมาบอกให้หายสงสัยปล่อยให้นักข่าวเล่นสนุกอยุ่ได้ มันก็จบ ปล่อยไว้มีเเต่เสียกับเสีย</P>
กองทัพอากาศไม่จำเป็นต้องมาชี้แจงอะไรที่เป็นทางการอีกแล้วครับ ข้อมูลที่มีมาตลอด 2 ปีกว่า ก็เหลือเฟือที่จะอ่านแล้วครับ (ขี้เกียจอ่านอีกแล้ว อยากเห็นตัวเร็วๆ มากกว่าครับ) รอมาตั้งแต่รุ่น A, B แล้วไม่ได้ซักที
หากสื่อจอไมค์เข้าปากก็ตอบได้สบายๆ อยู่แล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัว (เพราะได้แถลงข่าวอย่างสมบูรณ์โปร่งใส เคลียร์ไปจบแล้ว)
แค่สื่อขี้เกียจคนหนึ่งเท่านั้น หรืออาจจะเป็นสื่อรุ่นใหม่ซิ่งๆโดนรุ่นพี่หรอก หรือสื่อแกล้งแหย่ให้เกิดอาการเท่านั้น หรือไม่ก็เป็นเกมส์ของนายหน้า F16 ปัญหามันอยู่ตรงนี้ครับ แต่เป็นอะไรก็ชั่งมันปัญหาไม่ได้อยู่ที่กองทัพอากาศ (เพราะยังไงก็โดน สตง.ตรวจอยู่แล้ว)
แค่อยากรู้ผลการตรวจสอบของกรรมาธิการทหารแค่นั้นครับ
คุณ js ครับ
ข่าวจากไหนเหรอครับที่ว่าจะแถม BTR ให้เราอีก 14 คัน
ท่าน : airy การที่ให้ ทอ ออกมาพูดอีกมันก็ไม่ได้เสียหายอะไรกลับเป็นการดีเสียอีกจะได้ให้คนที่ไม่รู้จะได้รุ้ว่าเป้นยังไงถึงต้องให้พูดอีกสิบหรือยี่สิบเเล้ว ปชช เข้าใจก็ควรทำดีกว่าเงียบเเล้วกเงียบคนที่ไม่รู้เรื่องก็เชื่อตามข่าวไปเลื่อยๆๆมันไม่ดีต่อ ทอ เองครับ |