หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


ระเบิดลึก

โดยคุณ : cobrA_night เมื่อวันที่ : 03/05/2009 11:19:59

ระเบิดลึกที่ติดตามเรือฟริเกต เรือตรวจการณ์ มีคุณค่าทางยุทธการมากเพียงใดในสมัยนี้ครับ




ความคิดเห็นที่ 1


อาวุธถ้ารู้จักใช้ ก็ยังมีคุณค่าทางยุทธการอยู่แหล่ะครับ...

เช่นเดียวกับ A-37 ที่ สหรัฐ ยังพึงพอใจสามารถใช้ในอัฟกานิสถานได้ ...และ OV-10C สำหรับ ฟิลิปปินส์ ก็ยังมีคุณค่าอยู่...

ในความเห็นส่วนตัว (เพราะไม่รู้ลึก) ในทะเลซีกอ่าวไทย ผมว่ายังใช้ได้อยู่ ระดับความลึกเฉลี่ย 30-40 เมตร ผมว่าก็ยังมีอันตรายสำหรับ เรือดำน้ำ ขนาด 1,800 - 2,000 ตัน...เพราะอานุภาพระเบิดลึก สามารถปฏิบัติการลึกได้ถึง 100 เมตร...เพียงแต่ ที่มันจะค่อย ๆ หมดคุณค่าลง อาจจะเป็นเพราะ ไม่มีใครผลิตขายแล้วล่ะมั๊ง...ก็ต้องใช้เท่าที่มีในโกดัง ถ้าหมดอายุเมื่อไหร่...มันก็คงหมดคุณค่าอย่างถาวร เมื่อนั้น....

ตอนนี้ โดยส่วนใหญ่ จะใช้การทิ้งมาจาก บ.ตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำ เช่น กองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น ก็ยังคงใช้การทิ้งระเบิดลึกจาก บ. P-3 ผมจำชื่อรุ่นระเบิดไม่ได้ MK-6 หรือเปล่า ไม่แน่ใจ...แต่ก็ไม่ได้เป็นรุ่นใหม่อะไร...ถ้าจำไม่ผิด ทร. ก็มีประจำการอยู่ด้วย...นอกเหนือจากการใช้ ตอร์ปิโด ปราบเรือดำน้ำ...ระเบิดลึก จึงยังมีคุณค่าอยู่...เพียงแต่ มันจะปล่อยจากเรือ หรือจาก เครื่องบิน เท่านั้น...

จึงเป็นอีก เหตุ-ผล หนึ่ง ที่ เรือดำน้ำสมัยใหม่ ควรจะต้องสามารถยิง จรวดพื้น สู่ อากาศ ได้ด้วย...เป้าหมาย ก็เพื่อปราบ ฮ. และ บ.ใบพัด ศัตรูตัวฉกาจ จากฟากฟ้า...

โดยคุณ juldas เมื่อวันที่ 28/04/2009 11:18:53


ความคิดเห็นที่ 2


 

    จรวดปราบเรือดำน้ำของทางค่ายรัสเซียก็คือ ระเบิดน้ำลึกสมัยใหม่น่ะครับ    ผมว่ามันเหมาะกับสถานะการณ์บางอย่างที่อาวุธสุดหรูบางแบบใช้ไม่เหมาะ    ดูอย่างปตอ.และ SAM สิครับ    ตอนแรกๆใครๆก็คิดว่า ปตอหมดสมัยแล้ว    แต่พอมีสงครามจริงๆ   คนฉลาดสามารถใช้มันได้เหมาะสม   โดยการเอา SAM มาบีบให้เครื่องบินรบต้องบินต่ำมากเพื่อบินเจาะระบบป้องกันภัยทางอากาศ    แต่นักบินก็นึกไม่ถึงว่าจะต้องเจอระบบต่อสู้อากาศยานด้วยปืนใหญ่ควบคุมการยิงด้วยเรด้าร์     ก็เดี้ยงสิครับ 

    ระเบิดน้ำลึกน่าจะเหมาะกับสถานะการณ์บางกรณีได้เป็นอย่างดี   ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าวางแผนการใช้เป็นหรือไม่แบบเพื่อนข้างบนตอบนะครับ

 

โดยคุณ neosiamese เมื่อวันที่ 28/04/2009 11:25:25


ความคิดเห็นที่ 3


โดยหลักการปฏิบัติทั่วไปนั้น คงไม่มี ผบ.เรือดำน้ำคนไหนจะเสี่ยงลอยเรือขึ้นมาผิวน้ำหรือใกล้ผิวน้ำเพื่อใช้อาวุธปล่อยพื้นสู่อากาศยิงใส่อากาศยานที่เข้ามาค้นหาหรือทำการโจมตีหรือครับ นอกจากกรณีฉุกเฉินดำหนีไม่ทันจริงๆเท่านั้น แต่ก็เป็นการเสี่ยงอย่างมาก

ถ้าเรือดำน้ำมีการค้นพบว่ากำลังมีอากาศยานข้าศึกเข้าใกล้ขณะลอยลำในผิวน้ำอยู่ การดำหนีไปเป็นทางเลือกที่ดีกว่าปักหลักสู้ครับ เพราะอย่างไรอาวุธที่เรือดำน้ำติดตั้งสำหรับต่อสู่อากาศยานอย่างเรือรัสเซียเช่นชั้น Kilo ที่ติด Igla นั้นก็มีข้อจำกัดไม่สามารถสู้ได้ตรงๆอยู่ดีครับ

โดยคุณ AAG_th1 เมื่อวันที่ 28/04/2009 22:34:24


ความคิดเห็นที่ 4


ในไทยเราก็ยังมีระเบิดน้ำลึกใช้อยู่นะครับในปัจจุบันก็ยังประจำการอยู่และเป็นเขี้ยวเล็บหลักซะด้วย ก็ ASROC ของเรือหลวงชั้นพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกไงครับ ขับด้วยจรวดพอถึงเป้าหมายก็สลัดตัวออกตกครอบเป้าหมายเป็นกลุ่มรอบเรือดำน้ำแล้วก็ระเบิดพร้อมกัน ตูม!!!!!!! เรือดำน้ำก็กลายเป็นปะการังทันที

โดยคุณ champ thai army เมื่อวันที่ 29/04/2009 00:00:03


ความคิดเห็นที่ 5


...จริงๆแล้วการต่อตีเรือดำน้ำด้วย ฮ.นั้น  เรือจะทำงานควบคู่กับฮ.ในการต่อตีเป้าหมายที่เรียกว่าประณีต ระบุจุดที่จะทิ้งตอร์ปิโดลงไป ซึ่งก็น่าจะทราบการเคลื่อนไหวของเรือดำน้ำได้เป็นอย่างดี จึงคิดว่าการที่เรือดำน้ำจะยิงSAM นั้นคงทำได้ยากน่ะครับ(เหมือนถูกปิดตา) หรือบางทียิงได้รับการทิ้งโซโนบุยจาก บ.เช่น P-3 เป็นต้น  เพราะเทคโนโลยีการตรวจจับนับว่าทันสมัยมากในเรือรบ แต่เรือดำน้ำก็มีดีพอเช่นกัน จึงต้องใช้ 3 อย่างรวมกันคือ เรือรบ-ฮ.-บ.ปราบเรือด.  เหมือรัสเซียใช้ TU-142 ทิ้งโซโนบุย+ใช้ฮ.เฮลิกซ์ยืนยันแล้วตามด้วย SS-N14 หรือไม่ก็ใช้ TU-142 ทำลายด้วยการทิ้งระเบิดลึกจำนวนมากน่ะครับ ยกเว้นแต่เรือดำน้ำจะยิงจรวดต่อต้านเรือจากท่อตอร์ปิโดได้ในระยะไกลก็มีดีพอที่จะยิงเรือให้จมก่อนจะถูกทำลายด้วย ฮ.หรือ ASROC
....ส่วนตัวว่า ระเบิดลึกปล่อยจากเครื่องบิน คงจะเสี่ยงน้อยกว่าทิ้งจากเรือเพราะมันอยู่ใกล้กันน่ะครับ  แต่ถ้ามีเครื่องช่วยอย่าง RBU-1200/6000 ใช้ยิงเป็นกลุ่มไปตกไกลๆ น่าจะลดความเสี่ยงของเรือน่ะครับ
โดยคุณ MIG31 เมื่อวันที่ 29/04/2009 01:21:06


ความคิดเห็นที่ 6


ถ้าเป็น IDAS ของเยอรมันที่ยิงจากใต้น้ำได้ น่าจะเป็นอันตรายต่อ ฮ.ปด มากทีเดียวครับแต่ปัญหาคือ เรือจะรู้ได้ไงว่ามี ฮ.มาแล้ว ฮ.อยู่ทิศใด หรือว่าจับจากเสียงของบุย หรือ deeping sonar

ส่วนเรื่องของระเบิดลึก ผมว่าเรือจะสามารถเข้าใกล้เรือดำน้ำขนาดนั้นได้หรือครับ ถึงจะใช้ RBU ก็เถอะแต่อาจเป็นได้ในสถานการณ์ที่เรือดำน้ำมั่นใจในความเงียบและไม่ต้องการเผยตำแหน่ง

โดยคุณ SpruenceT เมื่อวันที่ 29/04/2009 02:18:09


ความคิดเห็นที่ 7


เรือดำน้ำ ก็กำลังพัฒนา ติดตั้ง จรวด UAM  Underwater To Air Missile  รูปแบบน่าจะเหมือนกับ USM เช่น ฮาร์พูน ยิงจาก เรือดำน้ำ นะครับ....
 
PS-5/MS-5 Rambler SSK/SSG

Introduction: The Rambler is a revolutionary submarine for us, using three technologies for the first time in our designs - Air Independent Propulsion, which uses hydrogen fuel cells to provide almost totally silent propulsion, the Mk.42U VLS designed for the CM-8 Speargun small cruise missile, and the UAM-97 undersea anti-air missile, a modified AAM design that can be fired from ordinary torpedo tubes and used to attack small targets, from ASuW choppers to barges to coastal bunkers. This sub is designed for local defense, as a silent, nearly-undetectable weapons platform; it can also support naval offensives as a scout for enemy ships and subs, using its mast-launched UAVs in support of this mission. The MS-5 variant, which carries up to 24 additional cruise missiles in place of some decoys and torpedo tubes, can fire its weapons off more quickly than the PS-5, making it well-suited for coastal defense.

Hull: The Rambler is a twin-hull design, carrying its fuel and oxidizers between the hulls. Its stern planes are arranged in an X, allowing operation in depths as small as 25m. On the sail, we fit two photonics masts, antennas for the XR/UNR-8 submarine navigation I-band radar, FL1800U radar warning receiver and undersea communications systems, the TB-29 passive thin-line towed-array sail-mounted sonar (currently used on the SSN-774 Virginia-class sub), and the snorkel. Stealth is built into the design, from the use of photonics masts in place of periscopes to prismatic hull cross-sections and smoothly-faired transitions from hull to sail, along with extensive use of demagnetized and nonmagnetic materials in constructing the ship and its interior.

Sensors: The Rambler has two photonics masts, each fitted with a GPS, a laser rangefinder, a FLIR and modern high-resolution cameras, connected by fiber optic cables to the control center inside the pressure hull, and an aviation mast, capable of launching up to four EMT Aladin light recon drones (or similar drones). It uses the MS/USS-40U sonar suite, based on DBQS40 sonar suite found on the Type 212; the MS/USS-40U comprises hull- and sail-mounted passive sonars (the FAS-3 flank array and TB-29 thin-line towed array) and a mine detection sonar (the MOA 3070). The ISUS-90 in the control center integrates data from the various sensor systems to provide a coherent picture of the outside world.

Countermeasures: Countermeasures come in three types. First, inherent resistance to enemy sensors, provided by the stealthy, nonmagnetic design of the ship itself. Second, passive detection of enemy sensors, provided by the FL1800U radar warning receiver and MT-70 sonar intercept receiver. Third, active decoying of enemy sensors, provided by the Tau decoy launchers. In the PS-5, four launchers, each with 10 decoys, are fitted; in the MS-5, two launchers, each with 8 decoys, are fitted.

Propulsion: The Ramblers propulsion consists of two separate mechanisms. First, for low-speed operations, the sub features 6 large 150kW polymer electrolyte membrane (PEM) hydrogen fuel cells, which convert hydrogen and oxygen into electrical power and water. To prevent a short-circuit or gas cross-over, a thin, 50 micrometer membrane is used; we chose to use a membrane derived from polybenzimidazole, which does not need liquid humidification (unlike Nafion, the typical membrane for PEM fuel cells) and can thus operate at higher, more efficient temperatures, up to 220 degrees C. Second, for high-speed operations, the Rambler uses a more conventional diesel-electric motor generating 1700kW and driving a seven-bladed skewback propellor specially designed to reduce cavitation while preserving thrust efficiency.

Weaponry: The PS-5 has eight 660mm torpedo tubes in two compartments, one behind the other. Each compartment can carry up to 8 conventional torpedoes, 9 supercavitating torpedoes, 10 anti-sub standoff missiles or sub-launched cruise missiles, or 12 naval mines or UAM-97 sub-launched missiles (3 missiles per tube). The MS-5 replaces the two torpedo rooms with a single room about two-thirds the size of both rooms combined, with six 660mm torpedo tubes carrying up to 12 conventional torpedoes, 13 supercavitating torpedoes, 15 anti-sub standoff missiles or sub-launched cruise missiles, or 18 naval mines or UAM-97 sub-launched wire-guided missiles. It also contains a 24-cell Mk.41LU undersea vertical launch system; each cell can contain a CM-8 cruise missile or up to 3 UAM-97 wire-guided missiles. An additional 24 naval mines can be deployed from external mounts.

Specifications
Displacement: 1700 tonnes surfaced, 2000 tonnes submerged
Length: 68.5m
Beam: 7m
Draft: 6m
Propulsion: MTU 16V 396 diesel generator for a Permasyn 1700kW electric motor driving a 7-blade skewback propellor; also, 6 PEM fuel cells, 150kW each
Submerged speed: on AIP - 14.5 km/h (7.8 knots); on diesel & AIP - 37.04 km/h (20 knots)
Surface speed: 22.25 km/h (12 knots)
Range: 15000km at 14.5 km/h
Endurance: on AIP, 3 weeks; overall, 12 weeks
Depth: 25m-625m
Crew: 6 officers, 23-28 enlisted
Armament: PS-5 - up to 16 conventional torpedoes or 18 supercavitating torpedoes or 20 anti-ship standoff missiles or sub-launched cruise missiles or 24 UAM-97s or 48 naval mines. MS-5 - up to 12 conventional torpedoes or 13 supercavitating torpedoes or 15 anti-sub standoff missiles or sub-launched cruise missiles or 42 naval mines or 66 UAM-97 sub-launched wire-guided missiles; up to 16 CM-8 small sub-launched cruise missiles.
Countermeasures: PS-5 - 40 Tau decoys; MS-5 - 16 Tau decoys
Aviation: 4 EMT Aladin (or similar) light recon drones

Variants: PS-5, MS-5

Price: PS-5 - $360 million, MS-5 $395 million

OOC - see NSD for discussion
โดยคุณ juldas เมื่อวันที่ 29/04/2009 02:42:15


ความคิดเห็นที่ 8


โดยรูปแบบ เรือดำน้ำ ที่สามารถต่อต้านภัยทางอากาศได้...

ผมมองรูปแบบการรบ ก็คือ เหมือน เรือรบผิวน้ำ ที่ ดำน้ำได้ น่ะครับ...

ในส่วนของการจับเป้าหมายเรือรบ...จากใต้น้ำ...แล้วเรือดำน้ำ จะรู้ได้อย่างไรว่า เรือที่ตรวจจับได้ คือ เรือรบฝ่ายตรงข้าม...ไม่ใช่ เรือสินค้า เรือโดยสาร...ยังไง เรือดำน้ำ ก็ต้องพิสูจน์ฝ่าย...ก็คือ การต้องเข้าใกล้ฝ่ายตรงข้ามจนสามารถพิสูจน์ทราบฝ่ายได้....

รูปแบบการยิงตอร์ปิโด ของเรือดำน้ำ ระยะยิงของตอร์ปิโด อยู่ที่ประมาณ 11-15 ก.ม. ยังไง ๆ เรือดำน้ำ ก็ต้องวิ่งเข้ามาให้อยู่ในระยะยิง ตอร์ปิโด...ถ้ากองเรือตรวจการณ์ แล่นอยู่หลายลำ...เรือที่มีภาระกิจปราบเรือดำน้ำ จะมีความเร็ว มากกว่า ความเร็วของเรือดำน้ำ...ระเบิดน้ำลึก ก็น่าจะเป็น ตัวสะกัด หรือ กำหนดเขตเรือดำน้ำ สำหรับการล่าทำลายได้...

หรือ ถ้าเรือดำน้ำ จะใช้การยิง เอ็กโซเซต ที่ระยะไกลมาก ๆ....ที่เกินระยะสายตา...ก็ต้องมีคำถามว่า...แล้ว เรือดำน้ำ จะพิสูจน์ทราบฝ่ายได้อย่างไรว่า...เป็นเรือรบฝ่ายตรงข้ามในระยะที่เกินสายตา ?

เรือดำน้ำเอง ก็ต้องมี บ. หรือ ฮ. ตรวจการณ์หน้าด้วยเหมือนกัน เพื่อรับทราบข้อมูล สำหรับการโจมตี...

สำหรับปัจจุบัน ที่เรือดำน้ำบางลำ ติดตั้ง อาวุธต่อต้านอากาศ ระยะใกล้ ถ้าเรือดำน้ำ สามารถครองน่านน้ำบริเวณที่รับผิดชอบได้แล้ว...จะทำให้เรือดำน้ำมีความสามารถทำลาย บ.ตรวจการณ์ของฝ่ายตรงข้ามได้ด้วย...

และในกรณีที่ เรือดำน้ำ สามารถหลบการทำลายจาก ตอร์ปิโด หรือ ระเบิดลึก ที่ปล่อยมาจาก อากาศยานได้...การมีอาวุธต่อต้านอากาศ มันก็เหมือนช่วยเพิ่มโอกาส ในการตอบโต้การคุกคามของอากาศยาน ได้เหมือนกัน ครับ...

โดยคุณ juldas เมื่อวันที่ 29/04/2009 03:01:21


ความคิดเห็นที่ 9


 

Submarine Air Defence Weapon (France), Underwater weapons - Guided ASW/ASUW weapons

Type
Submarine Air Defence Missile System

Description
The DCNS Submarine Air Defence Missile System combines three combat systems, already in service, to create a short-range anti-aircraft missile capable of tackling both helicopters and Maritime Patrol Aircraft from a submerged submarine. The weapon system comprises an existing DCNS-designed submarine combat system, combining target detection and precision target designation; the 21-inch VSM capsule, used to launch the SM-39 Exocet; and the Mica anti-aircraft missile. The system requires torpedo tubes with positive discharge. The missile is mounted on guide-rails inside the capsule, similar to those on an aircraft, whereupon it launches itself from the capsule as it breaks the surface. The missile is Infra-red guided and can engage helicopters, up to a range of 15 km using passive acoustic target designation, and MPAs to 20 km, using passive radar and electro-optical target designation.

จาก Janes ครับ...ถ้า DCNS ทำได้จริง....อนาคตเรือดำน้ำของ มาเลเซีย ก็น่าจะดูมีความน่าเกรงขามที่สุดในภูมิภาค....

โดยคุณ juldas เมื่อวันที่ 29/04/2009 03:58:25


ความคิดเห็นที่ 10


แนวคิดการติดตั้งอากาศยานไปกับเรือดำน้ำนั้นมีมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครับเช่น ฮ.แบบ Fa-330 ที่บรรจุไปกับถังผนึกน้ำติดไปกับ U-Boat ของเยอรมัน จนถึง บ.ทะเลที่ติดไปกับเรือดำน้ำญี่ปุ่นเป็นต้น

อย่างไรก็ตามเรือดำน้ำในยุคปัจจุบันนั้นจะใช้วิธีในการพิสูจน์ทราบเป้าหมายโดยการใช้ Sensor ภาครับที่ติดตั้งในเรือหลายแบบครับเช่น Passive Sonar ซึ่งจะรับฟังเสียงใบจักรของเรือได้จากระยะไกลๆและนำข้อมูลมาป้อนใส่ Computer เพื่อระบุประเภทเรือและเส้นทางการเคลื่อนที่ หรือเสา ESM (Electronic Support Measures) เพื่อใช้จับสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าเช่นวิทยุ Radar ที่แพร่ออกมาจากตัวเรือครับ

ซึ่งข้อมูลที่ได้จากอุปกรณ์เหล่านี้เพียงพอที่จะป้อนให้อาวุธอย่าง Torpedo หรือ อาวุธปล่อยนำวิถีทำการยิงทำลายเป้าหมายได้ครับ ไม่จำเป็นต้องมีอากาศยานไปกับเรือครับ

โดยคุณ AAG_th1 เมื่อวันที่ 29/04/2009 04:55:44


ความคิดเห็นที่ 11


เห็นพูดถึงเรือดำน้ำ    เมื่อคืนดูข่าว เวียดนามสั่งต่อเรือดำน้ำจากรัสเชีย 6 ลำ ใครพอจะมีข้อมูลว่าเป็นจริงหรือเปล่า    และเป็นรุ่นใด
โดยคุณ cobrA_night เมื่อวันที่ 29/04/2009 05:04:22


ความคิดเห็นที่ 12


ในส่วนความเห็นเรือ บ. หรือ ฮ. ตรวจการณ์หน้า นั้น...ไม่ได้หมายความว่า เรือดำน้ำ ต้องมี อากาศยาน ไปกับเรือนะครับ...

ในกรณี ที่เรือดำน้ำ จะยิง อาวุธนำวิถี จากใต้น้ำ ที่เกินระยะสายตา...การพิสูจน์ทราบฝ่ายเรือ ที่อาจจะไกลระยะ 30-50 ก.ม. เรือดำน้ำ เองก็น่าจะมี ฮ. หรือ บ. แจ้งเป้าหมาย เช่นเดียวกับ เรือรบผิวน้ำ...หรือ เรือรบผิวน้ำ ของฝ่ายตนเอง...ประสานข้อมูล...ผมว่า ด้วยตัวของเรือดำน้ำเอง ในสภาวะใต้น้ำในระยะไกล ไม่น่าจะสร้างความมั่นใจได้ขนาดนั้นครับ...

การตรวจจับด้วย Sonar  หรือ ESM ก็คงต้องขึ้นมาในระดับใกล้ผิวน้ำ ด้วยหรือเปล่า ?  กรณีที่ ประเทศฝ่ายตรงข้าม มีเรือชั้นเดียวกัน กับมิตรประเทศ เช่น เกิดมาเลเซีย มีปัญหากับ ออสเตรเลีย และ มาเลเซีย ตรวจจับเรือได้ แสดงข้อมูลว่าเป็น เรือชั้น โอลิเวอร์ ฮารด์ซาสด์...เรือดำน้ำ มาเลเซีย จะมั่นใจได้อย่างไรว่า เป็นของ ออสเตรเลีย หรือ สหรัฐ หรือ ไตหวัน...ซึ่งเรือเหล่านี้ ก็น่าจะมีปฏิบัติการในบริเวณที่คาดว่า จะเกิดความขัดแย้งขึ้น...

ซึ่งในการพิสูจน์ทราบฝ่าย ก็น่าจะเป็นจุดด้อยของ เรือดำน้ำ ที่น่าจะเปิดเผยตัวในระดับหนึ่งเหมือนกันครับ...และก็น่าจะเปิดโอกาส ให้ บ.ตรวจการณ์...รวมถึง เรือรบผิวน้ำฝ่ายตรงข้าม ตรวจจับได้ครับ...

ผมเลยมองว่า ในการทำลายเพื่อความไม่ผิดพลาด และใช้ข้อเด่นของเรือดำน้ำ ก็คือ การเข้าหาเป้าหมายให้ใกล้มากเท่าที่จะไม่มีความผิดพลาดจากการใช้อาวุธ...

โอกาสของฝ่ายที่ถูกคุกคามจาก เรือดำน้ำ ก็ต้องมีรบใต้น้ำเกิดขึ้น ตอร์ปิโดประจำเรือผิวน้ำ ระเบิดลึก ก็ต้องถูกใช้...

และถ้า เรือดำน้ำใช้ ตอร์ปิโด ทำลายเรือ...ยังไง เรือดำน้ำ ก็ต้องอยู่ในระยะ 10 ก.ม. โดยวงรอบ....ผมว่า ก็ยังอยู่ในความสามารถของเรือปราบเรือดำน้ำ เช่น เรือชั้น คำรณสินธุ ที่จะใช้ อาวุธตอร์ปิโด หรือ ระเบิดลึก ล่าทำลาย....(ในกรณี การปฏิบัติการลาดตระเวณทางทะเล เป็นกองเรือ)

 

อันนี้อีกข้อมูลครับ  AIM-9X...ก็อยู่ในการทดสอบของ สหรัฐ...

AIM-9X Land Launch Demo Advances Sub Payload Capability

By Team Submarine Public Affairs, NAVSEA Newswire, 5 Jan 06

WASHINGTON - The Navy successfully conducted a research and development (R&D) land based test at an Army range in New Mexico, leveraging the Sidewinder AIM-9X missile, an air to air missile used on tactical fighter aircraft, to proof out critical missile adaptation features for submarine use.

Among the test objectives achieved in November 2005 were the ability to vertically launch the missile from zero velocity, and to lock-on after launch.  The test was a collaborative effort between the Joint Program Office for Air to Air Missiles, Raytheon Missile Systems and Team Submarine Advanced Research.  Capt. Mark Bock, program manager for Team Submarines Undersea Defensive Systems Program Office, led this effort.

The land launched test involved detecting, tracking and destroying an unmanned helicopter drone. The target was not visible to the missile at launch.  The missile turned and acquired the target several miles down range, remaining locked on until intercept.

Many “firsts” were achieved during this demonstration.  Aside from the zero air speed vertical launch, this test was also the first AIM-9X launched from an Army Chaparral trailer, the first AIM-9X to engage a target below 3,000 feet, or 300 knots, and the first launch using a commercial off the shelf fire control system.

Because the AIM-9X missile is a good choice for research and development (R&D) of small missile payloads for the guided missile submarines (SSGNs) and attack submarines (SSNs), the results can be extended to other missile payloads and different platforms such as the Littoral Combat Ship. 

The next step in this R&D process is to analyze the vertical launch thrust characteristics of gas production and temperature in support of encapsulation for an underwater test. 

According to Capt. Bock, planning for in-water testing of the capability is currently underway.

“The ‘encapsulation’ technique will be the forerunner for deploying air breathing payloads like unmanned aerial vehicles from submarines in the future,” he said.

The most mature of these encapsulation technologies, the Stealthy Affordable Capsule System or SACS, will be leveraged for the next phase of risk reduction testing. This effort, led by the Northrop Grumman Corporation, will demonstrate the capability to encapsulate and perform submerged launch of the AIM-9X from a launch fixture representative of a submarine Vertical Launch System that is currently used for Tomahawk cruise missiles.

The long-range research goal is to be able to field any existing Department of Defense missile payload onboard submarines rapidly and at low cost.

 

 

 

โดยคุณ juldas เมื่อวันที่ 29/04/2009 05:46:37


ความคิดเห็นที่ 13


...สรุปแล้วเรือดำน้ำไม่ว่าจะยิงอาวุธนำวิถี หรือ ป้องกันอากาศยานต้องมี บ.แจ้งเตือน ทำงานควบคู่ไปด้วย ใช่ป่ะครับ เพื่อใช้ในการพิสูจน์ทราบ 

...ส่วนนึงว่า คุณสมบัติความเงียบในการเข้าใกล้เรือเพื่อใช้ตอร์ปิโดทำลายก็ต้องวัดกับระบบตรวจจับของเรือข้าศึกว่ามีดีพอเพียงใด  ถ้าเป็นเรือชั้น Kilo ที่ว่าเงียบๆ ก็อาจจะส่งผลต่อการรบของเรือข้าศึกได้  ยังไงๆตอร์ปิโด ก็อันตรายถ้าเรือดำน้ำไม่ยิงก่อน ยกเว้นแต่เรือเป้าหมายจะตรวจไม่พบน่ะครับ  ซึ่งต้องใช้ข้อดีเด่นสุดๆในเรือดำน้ำว่าเงียบขนาดไหน ระหว่างเรือดำน้ำ รัสเซียกับจากนาโต้ทุกรุ่น ว่าใครเงียบกว่ากัน  อย่างน้อยๆรบยังไงๆก็เป็นต่อ  เคยอ่านในสมรภูมิว่า เรือชั้น Knox สายโซนาร์ลากท้ายไปพันกับใบจักรเรือดำน้ำ รัสเซีย(จำชั้นไม่ได้) จนต้องลอยลำน่ะครับ ถึงจะรู้ตัว

โดยคุณ MIG31 เมื่อวันที่ 29/04/2009 07:56:47


ความคิดเห็นที่ 14


ผมคิดว่า ในสงครามใต้น้ำ ในการทำลายของเรือดำน้ำ ความห่างก็น่าจะอยู่ในระยะ 10 - 15 ก.ม. ต่อเป้าหมาย...

ASROC มีระยะยิงไกลที่ 10-11 ก.ม. ซึ่งในการกำหนดคุณสมบัติของอาวุธ ก็น่าจะคำนึงถึงว่า ระยะยิงไกลของ ตอร์ปิโดเรือดำน้ำ ก็น่าจะอยู่ในระยะนั้น...เช่น เรือชั้น น๊อกซ์ ตรวจจับได้ถึงถูกโจมตีจาก ตอร์ปิโด ด้วยคุณสมบัติระยะปฏิบัติการของตอร์ปิโดของเรือดำน้ำที่ 11 - 15 ก.ม. ดังนั้น เรือดำน้ำ ก็ต้องอยู่ห่างกับเรือ ไม่เกินระยะของตอร์ปิโดที่ยิงมา...

ซึ่งในขณะเดียว เรือที่ถูกโจมตี ไม่ได้หยุดอยู่นิ่ง ๆ อาจจะแล่นด้วยความเร็ว 15 นอต อยู่ก็ได้...ซึ่งเรือดำน้ำเอง ก็ต้องวิ่งติดตามเรือเป้าหมายด้วย...เพื่อให้ได้ระยะการทำลายของตอร์ปิโดด้วย...หรือ วิ่งไปดักหน้า เพื่อให้เรือเป้าหมาย วิ่งเข้าสู่ระยะการทำลายของตอร์ปิโด....

เมื่อเรือชั้น น๊อกซ์ จับการโจมตีด้วยตอร์ปิโดได้...เรือชั้น น๊อกซ์ ก็ต้องยิง ASROC ตอบโต้ไปยังทิศที่ ตอร์ปิโด วิ่งมา หรือ ยังไปยังทิศทางตรงกันข้าม แล้วแต่การประเมินยุทธิวิธีการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม...ด้วยความเร็วเป็น มัค ของ ASROC ก็จะทำให้ ตอร์ปิโดที่ปลดจากส่วนกำลังขับของ ASROC ก็น่าจะอยู่ในระยะใกล้เคียงกับ ตำแหน่งที่ เรือดำน้ำที่ยิงมา...ตอร์ปิโด จาก ASROC ก็วิ่งค้นหาเป้าหมาย....

พอดี ผมมีหนังสือของญี่ปุ่น (อ่านไม่ออก) แต่มีภาพวาด ยุทธิวิธีการยิง ตอร์ปิโดของเรือดำน้ำ....คือ เรือดำน้ำ จะยิงตอร์ปิโดให้เลยจาก เรือเป้าหมาย แล้วให้ตอร์ปิโด วิ่งวกกลับ แล้วค้นหาเป้าหมาย...ซึ่งจะทำให้ เรือเป้าหมาย หลงทิศ คือ ตอร์ปิโด จะมาทางขวาของเรือ แต่ตำแหน่งเรือดำน้ำ ที่ยิง อยู่ทางซ้ายของเรือ...

ดังนั้น เมื่อระยะทางยิงไกลของ ตอร์ปิโด ที่ 10 - 15 ก.ม. เมื่อคำนวณว่า ตอร์ปิโด ต้องยิงเลยจากเรือเป้าหมาย และวกกลับอีก เพื่อค้นหาเป้าหมายโดยมีระยะทางรวมที่ 10 - 15 ก.ม.   เรือดำน้ำ ก็น่าจะอยู่ในระยะห่างจาก เป้าหมาย  6 - 7 ก.ม. ก็ได้...

เพราะหลังจาก ตอร์ปิโด พ้นท่อไปแล้ว เรือดำน้ำเองก็จะต้องหันหลังหนีทันที เพราะตัวเองก็คงอยู่ในระยะการทำลายของ ตอร์ปิโด ที่ติดตั้งบนเรือผิวน้ำ....

แล้วผมจะสแกน มาให้ลองดูกันครับ....

โดยคุณ juldas เมื่อวันที่ 29/04/2009 08:29:29


ความคิดเห็นที่ 15


Torpedo ที่ยิงจากเรือดำน้ำในยุคปัจจุบันที่เป็นมาตรฐานขนาด 533mm อย่าง Mk 48 ของสหรัฐฯ หรือ Black Shark ของฝรั่งเศสนั้นมีระยะยิงเฉลี่ยประมาณ 50km ด้วยความเร็ว 40-50knots ครับ ซึ่งตามที่กล่าวไปในข้างต้นว่าเรือดำน้ำยุคใหม่นั้นมี Sensor แบบ Passive หลายแบบที่สามารถทำการตรวจจับเป้าหมาย วิเคราะห์ข้อมูล และป้อนข้อมูลเพื่อทำการยิงโดยไม่ต้องเปิดเผยตัวครับ

อย่างการยิง Torpedo เข้าทำลายเป้าหมายกองเรือที่มีการคุ้มกันอย่างหนาแน่นในระยะยะไกลนั้น เรือดำน้ำสามารถดำที่ระดับความลึกต่ำกว่าระดับกล้องตาเรือ (ประมาณต่ำกว่าระดับผิวน้ำ 15เมตร) จากระยะไกลๆเกินกว่าอาวุธปราบเรือดำน้ำของเรือผิวน้ำจะทำการยิงได้ครับ ซึ่งเป้าหมายทั้งหมดจะถูกจับด้วยการใช้ Passive Sonar ซึ่งเหมือนหูฟังขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยที่เรือไม่จำเป็นต้องส่งสัญญาณหรือขึ้นมาระดับกล้องตาเรือเพื่อยื่นสายอุปกรณ์ตรวจจับใดๆเลยก็ได้ครับ

แน่นอนว่าเมื่อทำการวิเคราะห์เป้าหมายทั้งหมดและป้อนข้อมูลให้ Torpedo เมื่อถึงระยะห่างและเวลาที่เหมาะสม Torpedo ก็จะออกจากท่อยิงเพื่อเข้าทำลายเป้าหมายได้ ซึ่งถ้ากองเรือนั้นไม่การใช้อากาศยานทำการปราบเรือดำน้ำแต่เนินๆ เรือดำน้ำก็จะสามารถทำการยิงและหลบหนีได้อย่างรวดเร็วครับ

ในกรณีการใช้อาวุธปล่อยนำวิถีอย่าง UGM-84 Sub-Harpoon หรือ SM-39 Exocet ก็คล้ายกันครับ เพียงแต่เรือดำน้ำต้องลอยลำในระดับความลึกที่ชุดผนึกน้ำของจรวดที่ถูฏปล่อยออกมาจะลอยตัวและจุดระเบิดเหนือผิวน้ำได้ เฉลี่ยประมาณความลึก 100เมตรครับ แน่นอนว่าสามารถทำการค้นหา วิเคราะห์ และป้อนข้อมูลเป้าหมายโดยไม่ต้องเปิดเผยตัวได้เช่นกันครับ

โดยปกติการสื่อสารของเรือดำน้ำนั้นจะใช้วิธีลอยลำขึ้นมาที่ระดับกล้องตาเรือแล้วชักสายวิทยุเพื่อรับข้อมูลจากกองบัญชาการตามเวลานัดไว้เป็นช่วงๆครับ ซึ่งตามหลักปฏิบัติโดยปกติเรือดำน้ำจะไม่ทำการส่งข้อมูลทางวิทยุเองถ้าไม่มีเหตุจำเป็นครับ แน่นอนว่าการสื่อสารกับเรือผิวน้ำหรืออากาศยานฝ่ายเดียวกันนั้นปกติก็จะไม่มีการทำครับ ซึ่งนั้นเป็นเหตุผลว่าเรือดำน้ำนั้นจะปฏิบัติการเป็นเอกเทศเงียบๆครับ

โดยคุณ AAG_th1 เมื่อวันที่ 29/04/2009 11:08:59


ความคิดเห็นที่ 16


นั่นแหล่ะครับ...ที่ผมมีข้อสงสัยว่า...ถ้าเรือดำน้ำของมาเลเซีย กบดานอยู่ในเวลาหลายวัน...และเรดาร์จับภาพเป้า กองเรือได้ สมมติว่า 3 ลำ ในระยะไกลสัก 50 ก.ม. บริเวณน่านน้ำหมู่เกาะข้อพิพาท สแปชลี่ย์ ขณะเดียวกัน ก็มีข้อพิพาทกับ ออสเตรเลีย...ในน่านน้ำร่วม...

เรือดำน้ำมาเลเซีย จะทราบว่า เป็นเรือของฝ่ายไหน ได้ลักษณะไหนครับ....

ผมว่า เรือดำน้ำเอง ก็ต้องจับตาเป้าหมายนั้นในสักระยะหนึ่ง...

และถ้าการประมวลผลของ โซนาร์   ออกมาว่าเป็น ขนาดเรือฟริเกต โอลิเวอร์ ฮาร์สซาสต์ 1 ลำ อีก 2 จุด เป็นเรือขนาดเครื่องดีเซล ขนาดกลาง จำนวน 2 จุด...ผมสงสัยว่า เรือดำน้ำ จะประมวลผลว่าเป็นเรือฝ่ายตรงข้าม หรือ เรือสหรัฐ ที่มาตรวจการณ์ และคุ้มครอง เรือขนส่ง จำนวน 2 ลำ...

ผมคิดว่า ในส่วนของเรือดำน้ำเอง ก็ต้องพิสูจน์ฝ่ายให้ชัดเจนก่อนเหมือนกันครับ...

และเมื่อปล่อยตอร์ปิโด ออกไป...ในส่วนของเรือเป้าหมาย จะจับสัญญาณตอร์ปิโด ได้หรือไม่...และถ้า ยิงในระยะไกลเท่าใด ก็เท่ากับ เรือเป้าหมาย ก็มีโอกาสที่จะต่อต้านตอร์ปิโดได้มากขึ้น...

ซึ่งการโจมตีจากเรือดำน้ำ...ในฝ่ายที่ถูกคุกคาม โอกาสสูญเสียย่อมสูงแน่นอน...แต่ถ้าฝ่ายถูกคุกคาม ที่ต่างฝ่ายต่างทำสงครามกันอยู่ และมีการใช้การลาดตระเวณด้วยกองเรือ...เมื่อฝ่ายเรือดำน้ำ ปล่อยตอร์ปิโด ออกมา...ซึ่งน่าจะหมายถึงการโจมตีเรือ ลำใด ลำหนึ่ง ก่อน...เรือประกอบกองเรือที่เหลือ ก็คงจับสัญญาณตอร์ปิโด ได้เช่นกัน และก็คงพอจะกำหนดตำแหน่ง และกำหนดวง เพื่อต่อต้านเรือดำน้ำเหมือนกัน...

และคราวนี้ เมื่อดูกับสภาพอ่าวไทย ที่ความลึกระดับเฉลี่ย 30-40-50 เมตร...ซึ่งถ้าหักจากความสูงของเรือดำน้ำที่จอดติดพื้นทะเลแล้ว...อาจจะเหลือพื้นที่ว่างระหว่างเรือกับ ผิวน้ำ ประมาณ 20-30-40 เมตร...แต่ในความเป็นจริง เรือดำน้ำ ก็ต้องลอยตัวอยู่เหนือพื้นอ่าวไทย พื้นที่ระหว่างเรือกับผิวน้ำ มันก็ต้องน้อยลงไปอีก...สำหรับภัยคุกคามจากเรือดำน้ำขนาด 1800 - 2000 ตัน จะสามารถทำความเร็วได้สูงสุด ได้หรือเปล่า...ในระดับความลึกประมาณนี้....แต่สำหรับเรือผิวน้ำ มันจะไม่มีปัญหาในการทำความสูงสุดที่ 25 นอต...ซึ่งการถูกโจมตีจากเรือดำน้ำ ผมว่า มันก็คือเปิดเผยตำแหน่งว่ามีเรือดำน้ำ อยู่ในบริเวณใด...ซึ่งก็อยู่ที่ว่า ยุทธวิธีของ ทร. จะมีความเร็วสะกัดจำกัดวงได้ทันรึเปล่า....

สำหรับพื้นที่อ่าวไทย ความคิดเห็นผมว่า ระเบิดลึก ก็ยังใช้ได้อยู่...

อันนี้ ภาพสแกนมาจากหนังสือครับ...

 

 

 


โดยคุณ juldas เมื่อวันที่ 29/04/2009 12:37:23


ความคิดเห็นที่ 17


เรือรบแต่ละลำจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในเรื่องของจังหวะความถี่เสียงหรือเปล่าครับ อย่างเช่นเสียงใบจักรเสียงเครื่องยนต์
คือที่ผมสงสัยก็จะเข้าเรื่องการพิสูจน์ฝ่ายระหว่างเรือผิวน้ำกับเรือดำน้ำนะครับ  มันมีการเก็บเข้าฐานข้อมูลเสียงหรืออื่นๆของเรือแต่ละลำกันหรือเปล่าครับ..  ยกตัวอย่างง่ายคือซอร์ฟแวร์ ออกคำสั่งด้วยเสียงในโทรศัพท์มือถือนะครับ ง่ายเลยคือรุ่น โนเกีย3310 มีการป้อนตัวอย่างเสียงแล้วเก็บเข้าความจำ เวลาจะเปิดใช้คำสั่งเสียงก็จะมีการเอาไปเปรียบเทียบกับตัวอย่างที่เก็บไว้

หรือเสียงความบางอย่างที่จงใจสร้างขึ้นมาให้รู้กันเฉพาะฝ่ายตนเพื่อการพิสูจน์ทราบนะครับ..   มันมีเทคนิคอย่างนี้ในการทหารหรือเปล่าครับ..
โดยคุณ charchar เมื่อวันที่ 29/04/2009 13:01:47


ความคิดเห็นที่ 18


ไม่ยากครับ ถ้าเรือดำน้ำเข้ามาในอ่าวไทย เราก็ให้เรือประมงเอาอวนลงไว้ก่อนเลยครับเมื่อเรือดำน้ำเข้ามามันก็จะติดอวน ครีบ เอ้ยใบพัดพันอวนไปไหนไม่ได้ก็ต้องลอยลำยอมแพ้ให้ทหารไทยจับสุดท้ายทหารไทยก็ไม่ต้องเสียกำลัง ไม่ต้องเสียเรือ จับข้าศึกได้ แถมได้เรือดำน้ำใช้ฟรี เฮ่ๆๆๆๆ อย่างนี้ต้องตั้งให้เรือประมงเป็นกองเรือปราบเรือดำน้ำด้วยหรือเปล่าครับเนี้ย อิอิอิอิอิ คลายเคลียดนะครับ

โดยคุณ champ thai army เมื่อวันที่ 29/04/2009 23:22:03


ความคิดเห็นที่ 19


 

    รู้สึกว่าจากข้อมูลเพื่อนๆตั้งแต่เวป wing-21 แล้ว   จะเห็นว่าอ่าวไทยนั้นเหมาะสำหรับสงครามทุ่นระเบิดและระเบิดน้ำลึกมากๆ    ส่วนเรือดำน้ำที่จะเหมาะสมกับอ่าวไทยนั้น   ต้องมาขนาดเล็กกว่า 1,000  ตันเท่านั้น   และต้องแล่นใต้น้ำได้เร็วด้วย      ไม่จำเป็นต้องดำลึก    ผมว่าหาไม่ยากหรอกครับเรือแบบที่ว่านี้ 

   AMUR-950 ลงตัวครับท่าน

 

โดยคุณ neosiamese เมื่อวันที่ 02/05/2009 11:42:57


ความคิดเห็นที่ 20


ที่จริงเรือดำน้ำที่มีขนาดใหญ่กว่า 1,000ตันไม่สามารถปฏิบัติการได้ดีในเขตอ่าวไทยนั้นถ้าดูจากในอดีตเช่นช่วงสงครามโกคั้งที่สองที่เรือดำน้ำของสหรัฐฯเข้ามาปฏิบัติการในเขตอ่าวไทยนั้นส่วนใหญ่อย่างเช่นชั้น Gato, Balao และ Tench นั้นระวางขับน้ำ 1,500ตันขึ้นไปทั้งนั้ครับ

ส่วนตัวคิดว่าเรือดำน้ำที่เหมาะกับอ่าวไทยนั้นควรจะเป็นเรือดำน้ำในลักษณธเดียวกับที่ใช้ปฏิบัติการในเขตทะเลบอลติกครับคือราว 1,000-1,500ตัน เช่นเดียวกับเรือดำน้ำของสวีเดนครับ

โดยคุณ AAG_th1 เมื่อวันที่ 03/05/2009 00:19:59