อาวุธถ้ารู้จักใช้ ก็ยังมีคุณค่าทางยุทธการอยู่แหล่ะครับ...
เช่นเดียวกับ A-37 ที่ สหรัฐ ยังพึงพอใจสามารถใช้ในอัฟกานิสถานได้ ...และ OV-10C สำหรับ ฟิลิปปินส์ ก็ยังมีคุณค่าอยู่...
ในความเห็นส่วนตัว (เพราะไม่รู้ลึก) ในทะเลซีกอ่าวไทย ผมว่ายังใช้ได้อยู่ ระดับความลึกเฉลี่ย 30-40 เมตร ผมว่าก็ยังมีอันตรายสำหรับ เรือดำน้ำ ขนาด 1,800 - 2,000 ตัน...เพราะอานุภาพระเบิดลึก สามารถปฏิบัติการลึกได้ถึง 100 เมตร...เพียงแต่ ที่มันจะค่อย ๆ หมดคุณค่าลง อาจจะเป็นเพราะ ไม่มีใครผลิตขายแล้วล่ะมั๊ง...ก็ต้องใช้เท่าที่มีในโกดัง ถ้าหมดอายุเมื่อไหร่...มันก็คงหมดคุณค่าอย่างถาวร เมื่อนั้น....
ตอนนี้ โดยส่วนใหญ่ จะใช้การทิ้งมาจาก บ.ตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำ เช่น กองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น ก็ยังคงใช้การทิ้งระเบิดลึกจาก บ. P-3 ผมจำชื่อรุ่นระเบิดไม่ได้ MK-6 หรือเปล่า ไม่แน่ใจ...แต่ก็ไม่ได้เป็นรุ่นใหม่อะไร...ถ้าจำไม่ผิด ทร. ก็มีประจำการอยู่ด้วย...นอกเหนือจากการใช้ ตอร์ปิโด ปราบเรือดำน้ำ...ระเบิดลึก จึงยังมีคุณค่าอยู่...เพียงแต่ มันจะปล่อยจากเรือ หรือจาก เครื่องบิน เท่านั้น...
จึงเป็นอีก เหตุ-ผล หนึ่ง ที่ เรือดำน้ำสมัยใหม่ ควรจะต้องสามารถยิง จรวดพื้น สู่ อากาศ ได้ด้วย...เป้าหมาย ก็เพื่อปราบ ฮ. และ บ.ใบพัด ศัตรูตัวฉกาจ จากฟากฟ้า...
จรวดปราบเรือดำน้ำของทางค่ายรัสเซียก็คือ ระเบิดน้ำลึกสมัยใหม่น่ะครับ ผมว่ามันเหมาะกับสถานะการณ์บางอย่างที่อาวุธสุดหรูบางแบบใช้ไม่เหมาะ ดูอย่างปตอ.และ SAM สิครับ ตอนแรกๆใครๆก็คิดว่า ปตอหมดสมัยแล้ว แต่พอมีสงครามจริงๆ คนฉลาดสามารถใช้มันได้เหมาะสม โดยการเอา SAM มาบีบให้เครื่องบินรบต้องบินต่ำมากเพื่อบินเจาะระบบป้องกันภัยทางอากาศ แต่นักบินก็นึกไม่ถึงว่าจะต้องเจอระบบต่อสู้อากาศยานด้วยปืนใหญ่ควบคุมการยิงด้วยเรด้าร์ ก็เดี้ยงสิครับ
ระเบิดน้ำลึกน่าจะเหมาะกับสถานะการณ์บางกรณีได้เป็นอย่างดี ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าวางแผนการใช้เป็นหรือไม่แบบเพื่อนข้างบนตอบนะครับ
โดยหลักการปฏิบัติทั่วไปนั้น คงไม่มี ผบ.เรือดำน้ำคนไหนจะเสี่ยงลอยเรือขึ้นมาผิวน้ำหรือใกล้ผิวน้ำเพื่อใช้อาวุธปล่อยพื้นสู่อากาศยิงใส่อากาศยานที่เข้ามาค้นหาหรือทำการโจมตีหรือครับ นอกจากกรณีฉุกเฉินดำหนีไม่ทันจริงๆเท่านั้น แต่ก็เป็นการเสี่ยงอย่างมาก
ถ้าเรือดำน้ำมีการค้นพบว่ากำลังมีอากาศยานข้าศึกเข้าใกล้ขณะลอยลำในผิวน้ำอยู่ การดำหนีไปเป็นทางเลือกที่ดีกว่าปักหลักสู้ครับ เพราะอย่างไรอาวุธที่เรือดำน้ำติดตั้งสำหรับต่อสู่อากาศยานอย่างเรือรัสเซียเช่นชั้น Kilo ที่ติด Igla นั้นก็มีข้อจำกัดไม่สามารถสู้ได้ตรงๆอยู่ดีครับ
ในไทยเราก็ยังมีระเบิดน้ำลึกใช้อยู่นะครับในปัจจุบันก็ยังประจำการอยู่และเป็นเขี้ยวเล็บหลักซะด้วย ก็ ASROC ของเรือหลวงชั้นพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกไงครับ ขับด้วยจรวดพอถึงเป้าหมายก็สลัดตัวออกตกครอบเป้าหมายเป็นกลุ่มรอบเรือดำน้ำแล้วก็ระเบิดพร้อมกัน ตูม!!!!!!! เรือดำน้ำก็กลายเป็นปะการังทันที
ถ้าเป็น IDAS ของเยอรมันที่ยิงจากใต้น้ำได้ น่าจะเป็นอันตรายต่อ ฮ.ปด มากทีเดียวครับแต่ปัญหาคือ เรือจะรู้ได้ไงว่ามี ฮ.มาแล้ว ฮ.อยู่ทิศใด หรือว่าจับจากเสียงของบุย หรือ deeping sonar
ส่วนเรื่องของระเบิดลึก ผมว่าเรือจะสามารถเข้าใกล้เรือดำน้ำขนาดนั้นได้หรือครับ ถึงจะใช้ RBU ก็เถอะแต่อาจเป็นได้ในสถานการณ์ที่เรือดำน้ำมั่นใจในความเงียบและไม่ต้องการเผยตำแหน่ง
โดยรูปแบบ เรือดำน้ำ ที่สามารถต่อต้านภัยทางอากาศได้...
ผมมองรูปแบบการรบ ก็คือ เหมือน เรือรบผิวน้ำ ที่ ดำน้ำได้ น่ะครับ...
ในส่วนของการจับเป้าหมายเรือรบ...จากใต้น้ำ...แล้วเรือดำน้ำ จะรู้ได้อย่างไรว่า เรือที่ตรวจจับได้ คือ เรือรบฝ่ายตรงข้าม...ไม่ใช่ เรือสินค้า เรือโดยสาร...ยังไง เรือดำน้ำ ก็ต้องพิสูจน์ฝ่าย...ก็คือ การต้องเข้าใกล้ฝ่ายตรงข้ามจนสามารถพิสูจน์ทราบฝ่ายได้....
รูปแบบการยิงตอร์ปิโด ของเรือดำน้ำ ระยะยิงของตอร์ปิโด อยู่ที่ประมาณ 11-15 ก.ม. ยังไง ๆ เรือดำน้ำ ก็ต้องวิ่งเข้ามาให้อยู่ในระยะยิง ตอร์ปิโด...ถ้ากองเรือตรวจการณ์ แล่นอยู่หลายลำ...เรือที่มีภาระกิจปราบเรือดำน้ำ จะมีความเร็ว มากกว่า ความเร็วของเรือดำน้ำ...ระเบิดน้ำลึก ก็น่าจะเป็น ตัวสะกัด หรือ กำหนดเขตเรือดำน้ำ สำหรับการล่าทำลายได้...
หรือ ถ้าเรือดำน้ำ จะใช้การยิง เอ็กโซเซต ที่ระยะไกลมาก ๆ....ที่เกินระยะสายตา...ก็ต้องมีคำถามว่า...แล้ว เรือดำน้ำ จะพิสูจน์ทราบฝ่ายได้อย่างไรว่า...เป็นเรือรบฝ่ายตรงข้ามในระยะที่เกินสายตา ?
เรือดำน้ำเอง ก็ต้องมี บ. หรือ ฮ. ตรวจการณ์หน้าด้วยเหมือนกัน เพื่อรับทราบข้อมูล สำหรับการโจมตี...
สำหรับปัจจุบัน ที่เรือดำน้ำบางลำ ติดตั้ง อาวุธต่อต้านอากาศ ระยะใกล้ ถ้าเรือดำน้ำ สามารถครองน่านน้ำบริเวณที่รับผิดชอบได้แล้ว...จะทำให้เรือดำน้ำมีความสามารถทำลาย บ.ตรวจการณ์ของฝ่ายตรงข้ามได้ด้วย...
และในกรณีที่ เรือดำน้ำ สามารถหลบการทำลายจาก ตอร์ปิโด หรือ ระเบิดลึก ที่ปล่อยมาจาก อากาศยานได้...การมีอาวุธต่อต้านอากาศ มันก็เหมือนช่วยเพิ่มโอกาส ในการตอบโต้การคุกคามของอากาศยาน ได้เหมือนกัน ครับ...
Type
Submarine Air Defence Missile System
Description
The DCNS Submarine Air Defence Missile System combines three combat systems, already in service, to create a short-range anti-aircraft missile capable of tackling both helicopters and Maritime Patrol Aircraft from a submerged submarine. The weapon system comprises an existing DCNS-designed submarine combat system, combining target detection and precision target designation; the 21-inch VSM capsule, used to launch the SM-39 Exocet; and the Mica anti-aircraft missile. The system requires torpedo tubes with positive discharge. The missile is mounted on guide-rails inside the capsule, similar to those on an aircraft, whereupon it launches itself from the capsule as it breaks the surface. The missile is Infra-red guided and can engage helicopters, up to a range of 15 km using passive acoustic target designation, and MPAs to 20 km, using passive radar and electro-optical target designation.
จาก Janes ครับ...ถ้า DCNS ทำได้จริง....อนาคตเรือดำน้ำของ มาเลเซีย ก็น่าจะดูมีความน่าเกรงขามที่สุดในภูมิภาค....
แนวคิดการติดตั้งอากาศยานไปกับเรือดำน้ำนั้นมีมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครับเช่น ฮ.แบบ Fa-330 ที่บรรจุไปกับถังผนึกน้ำติดไปกับ U-Boat ของเยอรมัน จนถึง บ.ทะเลที่ติดไปกับเรือดำน้ำญี่ปุ่นเป็นต้น
อย่างไรก็ตามเรือดำน้ำในยุคปัจจุบันนั้นจะใช้วิธีในการพิสูจน์ทราบเป้าหมายโดยการใช้ Sensor ภาครับที่ติดตั้งในเรือหลายแบบครับเช่น Passive Sonar ซึ่งจะรับฟังเสียงใบจักรของเรือได้จากระยะไกลๆและนำข้อมูลมาป้อนใส่ Computer เพื่อระบุประเภทเรือและเส้นทางการเคลื่อนที่ หรือเสา ESM (Electronic Support Measures) เพื่อใช้จับสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าเช่นวิทยุ Radar ที่แพร่ออกมาจากตัวเรือครับ
ซึ่งข้อมูลที่ได้จากอุปกรณ์เหล่านี้เพียงพอที่จะป้อนให้อาวุธอย่าง Torpedo หรือ อาวุธปล่อยนำวิถีทำการยิงทำลายเป้าหมายได้ครับ ไม่จำเป็นต้องมีอากาศยานไปกับเรือครับ
ในส่วนความเห็นเรือ บ. หรือ ฮ. ตรวจการณ์หน้า นั้น...ไม่ได้หมายความว่า เรือดำน้ำ ต้องมี อากาศยาน ไปกับเรือนะครับ...
ในกรณี ที่เรือดำน้ำ จะยิง อาวุธนำวิถี จากใต้น้ำ ที่เกินระยะสายตา...การพิสูจน์ทราบฝ่ายเรือ ที่อาจจะไกลระยะ 30-50 ก.ม. เรือดำน้ำ เองก็น่าจะมี ฮ. หรือ บ. แจ้งเป้าหมาย เช่นเดียวกับ เรือรบผิวน้ำ...หรือ เรือรบผิวน้ำ ของฝ่ายตนเอง...ประสานข้อมูล...ผมว่า ด้วยตัวของเรือดำน้ำเอง ในสภาวะใต้น้ำในระยะไกล ไม่น่าจะสร้างความมั่นใจได้ขนาดนั้นครับ...
การตรวจจับด้วย Sonar หรือ ESM ก็คงต้องขึ้นมาในระดับใกล้ผิวน้ำ ด้วยหรือเปล่า ? กรณีที่ ประเทศฝ่ายตรงข้าม มีเรือชั้นเดียวกัน กับมิตรประเทศ เช่น เกิดมาเลเซีย มีปัญหากับ ออสเตรเลีย และ มาเลเซีย ตรวจจับเรือได้ แสดงข้อมูลว่าเป็น เรือชั้น โอลิเวอร์ ฮารด์ซาสด์...เรือดำน้ำ มาเลเซีย จะมั่นใจได้อย่างไรว่า เป็นของ ออสเตรเลีย หรือ สหรัฐ หรือ ไตหวัน...ซึ่งเรือเหล่านี้ ก็น่าจะมีปฏิบัติการในบริเวณที่คาดว่า จะเกิดความขัดแย้งขึ้น...
ซึ่งในการพิสูจน์ทราบฝ่าย ก็น่าจะเป็นจุดด้อยของ เรือดำน้ำ ที่น่าจะเปิดเผยตัวในระดับหนึ่งเหมือนกันครับ...และก็น่าจะเปิดโอกาส ให้ บ.ตรวจการณ์...รวมถึง เรือรบผิวน้ำฝ่ายตรงข้าม ตรวจจับได้ครับ...
ผมเลยมองว่า ในการทำลายเพื่อความไม่ผิดพลาด และใช้ข้อเด่นของเรือดำน้ำ ก็คือ การเข้าหาเป้าหมายให้ใกล้มากเท่าที่จะไม่มีความผิดพลาดจากการใช้อาวุธ...
โอกาสของฝ่ายที่ถูกคุกคามจาก เรือดำน้ำ ก็ต้องมีรบใต้น้ำเกิดขึ้น ตอร์ปิโดประจำเรือผิวน้ำ ระเบิดลึก ก็ต้องถูกใช้...
และถ้า เรือดำน้ำใช้ ตอร์ปิโด ทำลายเรือ...ยังไง เรือดำน้ำ ก็ต้องอยู่ในระยะ 10 ก.ม. โดยวงรอบ....ผมว่า ก็ยังอยู่ในความสามารถของเรือปราบเรือดำน้ำ เช่น เรือชั้น คำรณสินธุ ที่จะใช้ อาวุธตอร์ปิโด หรือ ระเบิดลึก ล่าทำลาย....(ในกรณี การปฏิบัติการลาดตระเวณทางทะเล เป็นกองเรือ)
อันนี้อีกข้อมูลครับ AIM-9X...ก็อยู่ในการทดสอบของ สหรัฐ...
By Team Submarine Public Affairs, NAVSEA Newswire, 5 Jan 06
WASHINGTON - The Navy successfully conducted a research and development (R&D) land based test at an Army range in New Mexico, leveraging the Sidewinder AIM-9X missile, an air to air missile used on tactical fighter aircraft, to proof out critical missile adaptation features for submarine use.
Among the test objectives achieved in November 2005 were the ability to vertically launch the missile from zero velocity, and to lock-on after launch. The test was a collaborative effort between the Joint Program Office for Air to Air Missiles, Raytheon Missile Systems and Team Submarine Advanced Research. Capt. Mark Bock, program manager for Team Submarines Undersea Defensive Systems Program Office, led this effort.
The land launched test involved detecting, tracking and destroying an unmanned helicopter drone. The target was not visible to the missile at launch. The missile turned and acquired the target several miles down range, remaining locked on until intercept.
Many firsts were achieved during this demonstration. Aside from the zero air speed vertical launch, this test was also the first AIM-9X launched from an Army Chaparral trailer, the first AIM-9X to engage a target below 3,000 feet, or 300 knots, and the first launch using a commercial off the shelf fire control system.
Because the AIM-9X missile is a good choice for research and development (R&D) of small missile payloads for the guided missile submarines (SSGNs) and attack submarines (SSNs), the results can be extended to other missile payloads and different platforms such as the Littoral Combat Ship.
The next step in this R&D process is to analyze the vertical launch thrust characteristics of gas production and temperature in support of encapsulation for an underwater test.
According to Capt. Bock, planning for in-water testing of the capability is currently underway.
The encapsulation technique will be the forerunner for deploying air breathing payloads like unmanned aerial vehicles from submarines in the future, he said.
The most mature of these encapsulation technologies, the Stealthy Affordable Capsule System or SACS, will be leveraged for the next phase of risk reduction testing. This effort, led by the Northrop Grumman Corporation, will demonstrate the capability to encapsulate and perform submerged launch of the AIM-9X from a launch fixture representative of a submarine Vertical Launch System that is currently used for Tomahawk cruise missiles.
The long-range research goal is to be able to field any existing Department of Defense missile payload onboard submarines rapidly and at low cost.
...สรุปแล้วเรือดำน้ำไม่ว่าจะยิงอาวุธนำวิถี หรือ ป้องกันอากาศยานต้องมี บ.แจ้งเตือน ทำงานควบคู่ไปด้วย ใช่ป่ะครับ เพื่อใช้ในการพิสูจน์ทราบ
...ส่วนนึงว่า คุณสมบัติความเงียบในการเข้าใกล้เรือเพื่อใช้ตอร์ปิโดทำลายก็ต้องวัดกับระบบตรวจจับของเรือข้าศึกว่ามีดีพอเพียงใด ถ้าเป็นเรือชั้น Kilo ที่ว่าเงียบๆ ก็อาจจะส่งผลต่อการรบของเรือข้าศึกได้ ยังไงๆตอร์ปิโด ก็อันตรายถ้าเรือดำน้ำไม่ยิงก่อน ยกเว้นแต่เรือเป้าหมายจะตรวจไม่พบน่ะครับ ซึ่งต้องใช้ข้อดีเด่นสุดๆในเรือดำน้ำว่าเงียบขนาดไหน ระหว่างเรือดำน้ำ รัสเซียกับจากนาโต้ทุกรุ่น ว่าใครเงียบกว่ากัน อย่างน้อยๆรบยังไงๆก็เป็นต่อ เคยอ่านในสมรภูมิว่า เรือชั้น Knox สายโซนาร์ลากท้ายไปพันกับใบจักรเรือดำน้ำ รัสเซีย(จำชั้นไม่ได้) จนต้องลอยลำน่ะครับ ถึงจะรู้ตัว
ผมคิดว่า ในสงครามใต้น้ำ ในการทำลายของเรือดำน้ำ ความห่างก็น่าจะอยู่ในระยะ 10 - 15 ก.ม. ต่อเป้าหมาย...
ASROC มีระยะยิงไกลที่ 10-11 ก.ม. ซึ่งในการกำหนดคุณสมบัติของอาวุธ ก็น่าจะคำนึงถึงว่า ระยะยิงไกลของ ตอร์ปิโดเรือดำน้ำ ก็น่าจะอยู่ในระยะนั้น...เช่น เรือชั้น น๊อกซ์ ตรวจจับได้ถึงถูกโจมตีจาก ตอร์ปิโด ด้วยคุณสมบัติระยะปฏิบัติการของตอร์ปิโดของเรือดำน้ำที่ 11 - 15 ก.ม. ดังนั้น เรือดำน้ำ ก็ต้องอยู่ห่างกับเรือ ไม่เกินระยะของตอร์ปิโดที่ยิงมา...
ซึ่งในขณะเดียว เรือที่ถูกโจมตี ไม่ได้หยุดอยู่นิ่ง ๆ อาจจะแล่นด้วยความเร็ว 15 นอต อยู่ก็ได้...ซึ่งเรือดำน้ำเอง ก็ต้องวิ่งติดตามเรือเป้าหมายด้วย...เพื่อให้ได้ระยะการทำลายของตอร์ปิโดด้วย...หรือ วิ่งไปดักหน้า เพื่อให้เรือเป้าหมาย วิ่งเข้าสู่ระยะการทำลายของตอร์ปิโด....
เมื่อเรือชั้น น๊อกซ์ จับการโจมตีด้วยตอร์ปิโดได้...เรือชั้น น๊อกซ์ ก็ต้องยิง ASROC ตอบโต้ไปยังทิศที่ ตอร์ปิโด วิ่งมา หรือ ยังไปยังทิศทางตรงกันข้าม แล้วแต่การประเมินยุทธิวิธีการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม...ด้วยความเร็วเป็น มัค ของ ASROC ก็จะทำให้ ตอร์ปิโดที่ปลดจากส่วนกำลังขับของ ASROC ก็น่าจะอยู่ในระยะใกล้เคียงกับ ตำแหน่งที่ เรือดำน้ำที่ยิงมา...ตอร์ปิโด จาก ASROC ก็วิ่งค้นหาเป้าหมาย....
พอดี ผมมีหนังสือของญี่ปุ่น (อ่านไม่ออก) แต่มีภาพวาด ยุทธิวิธีการยิง ตอร์ปิโดของเรือดำน้ำ....คือ เรือดำน้ำ จะยิงตอร์ปิโดให้เลยจาก เรือเป้าหมาย แล้วให้ตอร์ปิโด วิ่งวกกลับ แล้วค้นหาเป้าหมาย...ซึ่งจะทำให้ เรือเป้าหมาย หลงทิศ คือ ตอร์ปิโด จะมาทางขวาของเรือ แต่ตำแหน่งเรือดำน้ำ ที่ยิง อยู่ทางซ้ายของเรือ...
ดังนั้น เมื่อระยะทางยิงไกลของ ตอร์ปิโด ที่ 10 - 15 ก.ม. เมื่อคำนวณว่า ตอร์ปิโด ต้องยิงเลยจากเรือเป้าหมาย และวกกลับอีก เพื่อค้นหาเป้าหมายโดยมีระยะทางรวมที่ 10 - 15 ก.ม. เรือดำน้ำ ก็น่าจะอยู่ในระยะห่างจาก เป้าหมาย 6 - 7 ก.ม. ก็ได้...
เพราะหลังจาก ตอร์ปิโด พ้นท่อไปแล้ว เรือดำน้ำเองก็จะต้องหันหลังหนีทันที เพราะตัวเองก็คงอยู่ในระยะการทำลายของ ตอร์ปิโด ที่ติดตั้งบนเรือผิวน้ำ....
แล้วผมจะสแกน มาให้ลองดูกันครับ....
Torpedo ที่ยิงจากเรือดำน้ำในยุคปัจจุบันที่เป็นมาตรฐานขนาด 533mm อย่าง Mk 48 ของสหรัฐฯ หรือ Black Shark ของฝรั่งเศสนั้นมีระยะยิงเฉลี่ยประมาณ 50km ด้วยความเร็ว 40-50knots ครับ ซึ่งตามที่กล่าวไปในข้างต้นว่าเรือดำน้ำยุคใหม่นั้นมี Sensor แบบ Passive หลายแบบที่สามารถทำการตรวจจับเป้าหมาย วิเคราะห์ข้อมูล และป้อนข้อมูลเพื่อทำการยิงโดยไม่ต้องเปิดเผยตัวครับ
อย่างการยิง Torpedo เข้าทำลายเป้าหมายกองเรือที่มีการคุ้มกันอย่างหนาแน่นในระยะยะไกลนั้น เรือดำน้ำสามารถดำที่ระดับความลึกต่ำกว่าระดับกล้องตาเรือ (ประมาณต่ำกว่าระดับผิวน้ำ 15เมตร) จากระยะไกลๆเกินกว่าอาวุธปราบเรือดำน้ำของเรือผิวน้ำจะทำการยิงได้ครับ ซึ่งเป้าหมายทั้งหมดจะถูกจับด้วยการใช้ Passive Sonar ซึ่งเหมือนหูฟังขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยที่เรือไม่จำเป็นต้องส่งสัญญาณหรือขึ้นมาระดับกล้องตาเรือเพื่อยื่นสายอุปกรณ์ตรวจจับใดๆเลยก็ได้ครับ
แน่นอนว่าเมื่อทำการวิเคราะห์เป้าหมายทั้งหมดและป้อนข้อมูลให้ Torpedo เมื่อถึงระยะห่างและเวลาที่เหมาะสม Torpedo ก็จะออกจากท่อยิงเพื่อเข้าทำลายเป้าหมายได้ ซึ่งถ้ากองเรือนั้นไม่การใช้อากาศยานทำการปราบเรือดำน้ำแต่เนินๆ เรือดำน้ำก็จะสามารถทำการยิงและหลบหนีได้อย่างรวดเร็วครับ
ในกรณีการใช้อาวุธปล่อยนำวิถีอย่าง UGM-84 Sub-Harpoon หรือ SM-39 Exocet ก็คล้ายกันครับ เพียงแต่เรือดำน้ำต้องลอยลำในระดับความลึกที่ชุดผนึกน้ำของจรวดที่ถูฏปล่อยออกมาจะลอยตัวและจุดระเบิดเหนือผิวน้ำได้ เฉลี่ยประมาณความลึก 100เมตรครับ แน่นอนว่าสามารถทำการค้นหา วิเคราะห์ และป้อนข้อมูลเป้าหมายโดยไม่ต้องเปิดเผยตัวได้เช่นกันครับ
โดยปกติการสื่อสารของเรือดำน้ำนั้นจะใช้วิธีลอยลำขึ้นมาที่ระดับกล้องตาเรือแล้วชักสายวิทยุเพื่อรับข้อมูลจากกองบัญชาการตามเวลานัดไว้เป็นช่วงๆครับ ซึ่งตามหลักปฏิบัติโดยปกติเรือดำน้ำจะไม่ทำการส่งข้อมูลทางวิทยุเองถ้าไม่มีเหตุจำเป็นครับ แน่นอนว่าการสื่อสารกับเรือผิวน้ำหรืออากาศยานฝ่ายเดียวกันนั้นปกติก็จะไม่มีการทำครับ ซึ่งนั้นเป็นเหตุผลว่าเรือดำน้ำนั้นจะปฏิบัติการเป็นเอกเทศเงียบๆครับ
นั่นแหล่ะครับ...ที่ผมมีข้อสงสัยว่า...ถ้าเรือดำน้ำของมาเลเซีย กบดานอยู่ในเวลาหลายวัน...และเรดาร์จับภาพเป้า กองเรือได้ สมมติว่า 3 ลำ ในระยะไกลสัก 50 ก.ม. บริเวณน่านน้ำหมู่เกาะข้อพิพาท สแปชลี่ย์ ขณะเดียวกัน ก็มีข้อพิพาทกับ ออสเตรเลีย...ในน่านน้ำร่วม...
เรือดำน้ำมาเลเซีย จะทราบว่า เป็นเรือของฝ่ายไหน ได้ลักษณะไหนครับ....
ผมว่า เรือดำน้ำเอง ก็ต้องจับตาเป้าหมายนั้นในสักระยะหนึ่ง...
และถ้าการประมวลผลของ โซนาร์ ออกมาว่าเป็น ขนาดเรือฟริเกต โอลิเวอร์ ฮาร์สซาสต์ 1 ลำ อีก 2 จุด เป็นเรือขนาดเครื่องดีเซล ขนาดกลาง จำนวน 2 จุด...ผมสงสัยว่า เรือดำน้ำ จะประมวลผลว่าเป็นเรือฝ่ายตรงข้าม หรือ เรือสหรัฐ ที่มาตรวจการณ์ และคุ้มครอง เรือขนส่ง จำนวน 2 ลำ...
ผมคิดว่า ในส่วนของเรือดำน้ำเอง ก็ต้องพิสูจน์ฝ่ายให้ชัดเจนก่อนเหมือนกันครับ...
และเมื่อปล่อยตอร์ปิโด ออกไป...ในส่วนของเรือเป้าหมาย จะจับสัญญาณตอร์ปิโด ได้หรือไม่...และถ้า ยิงในระยะไกลเท่าใด ก็เท่ากับ เรือเป้าหมาย ก็มีโอกาสที่จะต่อต้านตอร์ปิโดได้มากขึ้น...
ซึ่งการโจมตีจากเรือดำน้ำ...ในฝ่ายที่ถูกคุกคาม โอกาสสูญเสียย่อมสูงแน่นอน...แต่ถ้าฝ่ายถูกคุกคาม ที่ต่างฝ่ายต่างทำสงครามกันอยู่ และมีการใช้การลาดตระเวณด้วยกองเรือ...เมื่อฝ่ายเรือดำน้ำ ปล่อยตอร์ปิโด ออกมา...ซึ่งน่าจะหมายถึงการโจมตีเรือ ลำใด ลำหนึ่ง ก่อน...เรือประกอบกองเรือที่เหลือ ก็คงจับสัญญาณตอร์ปิโด ได้เช่นกัน และก็คงพอจะกำหนดตำแหน่ง และกำหนดวง เพื่อต่อต้านเรือดำน้ำเหมือนกัน...
และคราวนี้ เมื่อดูกับสภาพอ่าวไทย ที่ความลึกระดับเฉลี่ย 30-40-50 เมตร...ซึ่งถ้าหักจากความสูงของเรือดำน้ำที่จอดติดพื้นทะเลแล้ว...อาจจะเหลือพื้นที่ว่างระหว่างเรือกับ ผิวน้ำ ประมาณ 20-30-40 เมตร...แต่ในความเป็นจริง เรือดำน้ำ ก็ต้องลอยตัวอยู่เหนือพื้นอ่าวไทย พื้นที่ระหว่างเรือกับผิวน้ำ มันก็ต้องน้อยลงไปอีก...สำหรับภัยคุกคามจากเรือดำน้ำขนาด 1800 - 2000 ตัน จะสามารถทำความเร็วได้สูงสุด ได้หรือเปล่า...ในระดับความลึกประมาณนี้....แต่สำหรับเรือผิวน้ำ มันจะไม่มีปัญหาในการทำความสูงสุดที่ 25 นอต...ซึ่งการถูกโจมตีจากเรือดำน้ำ ผมว่า มันก็คือเปิดเผยตำแหน่งว่ามีเรือดำน้ำ อยู่ในบริเวณใด...ซึ่งก็อยู่ที่ว่า ยุทธวิธีของ ทร. จะมีความเร็วสะกัดจำกัดวงได้ทันรึเปล่า....
สำหรับพื้นที่อ่าวไทย ความคิดเห็นผมว่า ระเบิดลึก ก็ยังใช้ได้อยู่...
อันนี้ ภาพสแกนมาจากหนังสือครับ...
ไม่ยากครับ ถ้าเรือดำน้ำเข้ามาในอ่าวไทย เราก็ให้เรือประมงเอาอวนลงไว้ก่อนเลยครับเมื่อเรือดำน้ำเข้ามามันก็จะติดอวน ครีบ เอ้ยใบพัดพันอวนไปไหนไม่ได้ก็ต้องลอยลำยอมแพ้ให้ทหารไทยจับสุดท้ายทหารไทยก็ไม่ต้องเสียกำลัง ไม่ต้องเสียเรือ จับข้าศึกได้ แถมได้เรือดำน้ำใช้ฟรี เฮ่ๆๆๆๆ อย่างนี้ต้องตั้งให้เรือประมงเป็นกองเรือปราบเรือดำน้ำด้วยหรือเปล่าครับเนี้ย อิอิอิอิอิ คลายเคลียดนะครับ
รู้สึกว่าจากข้อมูลเพื่อนๆตั้งแต่เวป wing-21 แล้ว จะเห็นว่าอ่าวไทยนั้นเหมาะสำหรับสงครามทุ่นระเบิดและระเบิดน้ำลึกมากๆ ส่วนเรือดำน้ำที่จะเหมาะสมกับอ่าวไทยนั้น ต้องมาขนาดเล็กกว่า 1,000 ตันเท่านั้น และต้องแล่นใต้น้ำได้เร็วด้วย ไม่จำเป็นต้องดำลึก ผมว่าหาไม่ยากหรอกครับเรือแบบที่ว่านี้
AMUR-950 ลงตัวครับท่าน
ที่จริงเรือดำน้ำที่มีขนาดใหญ่กว่า 1,000ตันไม่สามารถปฏิบัติการได้ดีในเขตอ่าวไทยนั้นถ้าดูจากในอดีตเช่นช่วงสงครามโกคั้งที่สองที่เรือดำน้ำของสหรัฐฯเข้ามาปฏิบัติการในเขตอ่าวไทยนั้นส่วนใหญ่อย่างเช่นชั้น Gato, Balao และ Tench นั้นระวางขับน้ำ 1,500ตันขึ้นไปทั้งนั้ครับ
ส่วนตัวคิดว่าเรือดำน้ำที่เหมาะกับอ่าวไทยนั้นควรจะเป็นเรือดำน้ำในลักษณธเดียวกับที่ใช้ปฏิบัติการในเขตทะเลบอลติกครับคือราว 1,000-1,500ตัน เช่นเดียวกับเรือดำน้ำของสวีเดนครับ