หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


จี้รัฐเพิ่มงบกองทัพรองรับเรียนร.ด.เพิ่ม

โดยคุณ : che เมื่อวันที่ : 22/01/2010 16:19:31

มีข่าวน่าสนใจมากฝาก  ในฐานะที่จบ รด. ปี 5 มาร่วม 20 ปี แล้ว เห็นว่า การเรียน รด. ได้ทำให้เข้าใจชีวิตของทหารมากขึ้น และรักชาติมากขึ้นด้วย

18 มค. 2553 15:14 น.
นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ รองประธานคณะกรรมาธิการการทหาร เปิดเผยว่า ได้ยื่นกระทู้ถามนายกรัฐมนตรี เรื่องปัญหาการรับนักเรียน นักศึกษา เข้ารับการฝึกวิชาทหาร หรือการเรียนร.ด. เนื่องจากปัจจุบันได้รับการร้องเรียนจากผู้ปกครองจำนวนมากว่า ลูก หลานที่อยากเรียนร.ด. มีโอกาสสมหวังน้อยมาก เพราะกองทัพไม่มีงบประมาณและกำลังพลที่เพียงพอ ในการฝึกอบรมวิชาทหารอย่างทั่วถึง ทำให้ต้องมีการสอบคัดเลือก และบางแห่งกระบวนการคัดเลือกไม่โปร่งใส นายอภิชาต กล่าวว่า ในระยะ 3-4 ปีมานี้ การเข้าเรียนร.ด.ของนักเรียน นักศึกษา ในระดับมัธยมปลาย และอาชีวศึกษา เป็นไปได้ยาก การสอบคัดเลือกใช้วิธีวัดความแข็งแกร่งของร่างกาย เช่นการวิดพื้น การวิ่งทดสอบกำลัง ต่างจากสมัยก่อนที่เยาวชน มีโอกาสเข้าถึงกองทัพได้มาก เพราะการเรียนร.ด.เปิดกว้าง นักเรียน นักศึกษา สามารถเข้าไปเรียนรู้การฝึกระเบียบวินัย เรียนรู้เรื่องอาวุธ ที่สำคัญคือได้รับการกล่อมเกลาจิตสำนึกรักชาติ เทิดทูนสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แต่ปัจจุบันด้วยเงื่อนไขงบประมาณ ทำให้โอกาสที่เยาวชนลูกหลานคนไทยจะเข้าถึงกองทัพมีน้อยลงไปเรื่อยๆ การได้รับการศึกษาเรียนรู้เรื่องเหล่านั้นก็ลดน้อยลงไปด้วย

รองประธานคณะกรรมาธิการการทหาร กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณในด้านนี้เพิ่มขึ้น เพื่อให้กองทัพสามารถรองรับเยาวชนเข้ารับการฝึกวิชาทหารได้มากขึ้นกว่าเดิม และกองทัพต้องปรับความคิดเรื่อง กำลังสำรองของชาติเสียใหม่ เพราะกำลังสำรองของชาติที่เข้มแข็งไม่ใช่อยู่กับคนที่แข็งแกร่งทางร่างกายเท่านั้น แต่ต้องเปิดมุมมองไปที่เรื่องของความคิดและอุดมการณ์รักชาติ รวมทั้งไม่ควรจำกัดเฉพาะเพศชายเท่านั้นด้วย
http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=427305




ความคิดเห็นที่ 1



ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้เท่าไร หากว่าการเพิ่มนี้เป็นการเพิ่มเพียงเชิงปริมาณ แต่ลืมถึง ตัวเลขเชิงคุณภาพ


ผมก็จบรักษาดินแดนปีห้ามาเหมือนกัน และ จากการสังเกต พบว่า นักศึกษาวิชาทหารในปัจจุบัน วินัยเลว มาก
โดยคุณ CoffeeMix เมื่อวันที่ 19/01/2010 01:06:41


ความคิดเห็นที่ 2


เกณฑ์ทหารร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมคิดได้แค่นี้อ่ะคับ อาจจะมองในแง่ร้ายไปซักหน่อย แต่ผมคิดว่าคงยากอยู่ที่จะปลูกจิตสำนึกความรักชาติให้เยาวชนในยามนี้...ยามที่เยาวชนของชาติส่วนใหญ่นิยมอะไรที่เป็นต่างชาติ ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ค่านิยมที่มองตัวเองมากกว่าส่วนรวม (ไม่อยากใช้คำว่าเห็นแก่ตัว) ที่สำคัญ คนที่จะสร้างจิตสำนึกให้เยาวชนรักชาตินั่นน่ะ มีจิตสำนึกรักชาติแล้วหรือยัง

คนที่เรียนรด.เพราะชอบ รัก และสนใจในกิจการด้านการทหารอันนี้ไม่แปลก น่าส่งเสริม แต่ก็มีอีกมากมายที่เรียนเพราะไม่ต้องการเป็นทหาร เรียนไปยังงั้นเอง ผมเห็นนศท.แต่งตัวแล้วอนาถหัวใจ ไม่มีความเคารพในเครื่องแบบ ไม่นึกถึงเกียรติของนักศึกษาวิชาทหารเลยเลย

แต่ก็อาจจะเป็นเพราะประเทศไทยไม่ค่อยมีวิกฤตกับต่างชาติจนถึงขนาดต้องลงไม้ลงมือกัน ผิดกับเมื่อก่อน สงครามอินโดจีน สงครามมหาเอเชียบูรพา และอีกหลายเหตุการณ์ที่ทำให้คนไทยรวบรวมความสามัคคีเพื่อป้องกันชาติจากผู้รุกราน
โดยคุณ phongrapee เมื่อวันที่ 19/01/2010 01:19:43


ความคิดเห็นที่ 3


ผมไม่สนับสนุนอย่างแรงครับ

ถ้ามา รด. เพื่อไม่เกณฑ์ทหารเป็นไปก็เท่านั้น
ถ้าเพิ่มงบเปิดมาก กำลังรบหลักก็จะน้อยล งกำลังพลสำรองเต็มประเทศ

ผมว่าเอาเงินส่วนนี้ไปให้เงินสวัสดิการ ทหารชายแดนใต้ดีกว่า
ทุกวันนี้ ทหารที่ประจำรถ ฮัมวี่ ต้องควักเงินในกระเป๋าตัวเองเติมน้ำมัน
เนื่องจากงบที่ให้มาไม่เพียงพอต่อการลาดตระเวนตลอดเวลา
โดยคุณ pushbutton เมื่อวันที่ 19/01/2010 01:31:59


ความคิดเห็นที่ 4


เรียนคุณ(พี่) FW190

ผมจบมารุ่น 107ครับ จบปี 49 ตอนนี้เพิ่งเรียนทันตะอยู่ปี3ที่ม.นเรศวรนี่เองครับ ไม่ทราบว่าพี่รุ่นไหนครับผม

ปล.โรงเรียนใหม่กว้างขวางอยู่สบายมาก ไม่รู้ว่าพี่เคยมาเที่ยวมั่งรึยัง  เสียอย่างที่ไกล ร้อน แล้วก็ห่างจากสาวๆฉส. ครับ

โดยคุณ Tawporn เมื่อวันที่ 21/01/2010 01:18:39


ความคิดเห็นที่ 5


เห็นด้วยกับป๋าปืนครับ กำลังพลสำรองเรามีแต่ปริมาณ ไม่มีคุณภาพ ผมเองก็เรียน รด.3ปี รู้เลย แล้วถ้ายิ่งไปเพิ่มปริมาฯอีกนะ รับรอง และกว่าเดิม และถ้าเพิ่ม รด. ก็ต้องเพิ่ม งป. ซึ่งผมมองว่า จะยิ่งเป็นภาระให้กับกองทัพซะมากกว่า มีต้องลงทุน แต่ได้ไม่คุ้มเสีย ในแง่ของขีดความสามารถด้านการรบ เอาเงินที่จะเพิ่มส่วนนี้ ไปซื้ออาวุธอย่างอื่น ยังจับต้องได้กว่าครับ เพราะทุกวันนี้ รด.เอง ก็ไม่ใช่ว่าน้อยนะ แต่ก็ไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์อะไรอยู่แล้ว เวลามีการปฎิบัติการทางทหารก็ใช้ทหารหลัก บวกทหารพรานก็พออยู่แล้ว ส่วน รด. มีเตียมไว้สำหรับการรบขนาดใหญ่ ซึ่งมีโอกาสน้อยมาก และปริมาณที่มีในปัจจุบัน ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

พ่อแม่ที่ออกมาบอกว่า ลูกหลานตัวเองไม่มีโอกาสเรียน รด. แล้วจะไม่มีโอกาสรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ผมว่า เค้ากลัวลูกเค้าต้องไปเกณฑ์ทหารมากกว่า เพราะจริงๆแล้ว เป็นทหารเกณฑ์ เค้าก็สอนให้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เหมือนกัน

 

สุดท้ายยยย รด.เค้าก็มีให้ผู้หญิงเรียนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วไม่ใช่เหรอครับ ไม่เคยปิดกั้นเลย แฟนผมยังเรียนเลย ทุกวันนี้มันแกร่งกว่าผมอีก ข่มผมต่อหน้าเพื่อนตลอดเลย อิอิ (ขำๆ) 


โดยคุณ RMUTK เมื่อวันที่ 19/01/2010 02:07:57


ความคิดเห็นที่ 6


เด็กที่จะเรียน รด.(ไม่ได้ย่อมาจากคำว่า รักเด็ก นะครับ) ในความคิดส่วนใหญ่(แต่ไม่ใช่ทั้งหมด) คือ เรียนเพื่อจะได้ไม่ต้องเป็นทหารหรือ ไม่ต้องเกณฑ์ทหาร ดังนั้นผมว่า การคัดแบบเดิมน่ะดีแล้วครับ ไม่ต้องเพิ่มปริมาณหรอกครับ แต่เพิ่มระเบียบ วินัย และความเข้มข้นของหลักสูตรการเรียนให้มากขึ้นกว่าเดิมจะดีกว่าครับ และการเรียนน่าจะกลับมาเรียนในแบบเดิมคือ เรียนยาวทีหนึ่งเดือนไปเลย ไม่ต้องมาเรียนสัปดาห์ละหนึ่งวัน(แถมเรียนแค่ครึ่งวันบ่าย)เหมือนปัจจุบัน เพราะเท่าที่เห็นนั้น วันไหนที่เห็น นศท. สวมเครื่องแบบแล้วต้องสงสัยว่า เอ๊ะ นั่นมัน นศท.หรือใครจะไปตัดอ้อย ระเบียบวินัยต่ำมาก เมื่อก่อนเรียนกันที แขนเสื้อต้องพับให้ถูกกำระเบียบ ขับขัดต้องเงา รองเท้าต้องมัน หมวกต้องสวมไม่ว่าจะเดินอยู่ที่ไหน ถ้าหากอยู่ในเครื่องแบบ ผมว่าแบบนั้นจะดูดีกว่ามากครับ แถมความใกล้ชิดคุนเคยกับครูฝึกยังมีมากกว่า และการทดสอบสมรรถภาพร่างกายนั้น ถ้า นศท.สอบผ่านแล้วได้เรียนก็ย่อมสามารถเรียนได้ตลอดหนึ่งเดือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าหากว่ายัง เรียนสัปดาห์ละวันอย่างปัจจุบันก็ถูกต้องแล้วครับ ที่จะไม่ต้องทดสอบร่างกาย แถมได้ปริมาณอีกต่างหาก คือให้เรียนกันได้ทุกคน ว่ากันไปตามความเหมาะครับ
โดยคุณ เด็กทะเล เมื่อวันที่ 19/01/2010 02:58:54


ความคิดเห็นที่ 7


อันนี้ขึ้นกับมุมมองของแต่ละท่านครับ ไม่ว่ากัน 

แต่ในสมัยผม (ผมจบรุ่นเดียวกับ จิ๊บ รด. แม้ต่างสถาบันแต่ได้ไปฝึกภาคสนามด้วยกัน) ในช่วงนั้นเพื่อนๆ ผมหลายคนไม่ยอมเรียน รด. เพราะทำตัวเจ้าสำอางกันมาก (แต่เหตุผลลึกๆ คือ พวกเขามั่นใจว่าครอบครัวคงช่วยให้เขาหลุดทหารได้แน่  และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เสียด้วย ฮึฮึ) 

ส่วนผมกับเพื่อนในกลุ่มที่เหลืออีก 5 คน เรียน รด. จนครบ 5 ปี เพราะเห็นว่าได้มีโอกาสฝึกฝนตัวเอง และยิ่งเห็นการทำงานในค่ายทหารแล้ว เช่น พล.ม.2  ร.1 รู้สึกว่าอาชีพทหารเสียสละมาก (โดยเฉพาะชั้นประทวน) และได้เห็นอะไรที่ดีๆ เยอะ ทำให้ทัศนะคติที่มีต่อทหารผมเปลี่ยนไป (ผมมีญาติที่เป็นทหารและเสียชีวิตในราชการสงครามถึง 3 คน  ทำให้เคยสงสัยว่าไปทำงานเสี่ยงชีวิตทำไมในเมื่อสามารถเลือกงานที่สบายกว่าได้) แต่หลังจากจบ รด. แล้ว ผมรู้สึกว่า อาชีพทหารนั้น(โดยเฉพาะหน่วยรบ) มีความเสียสละสูง มีเกียรติและน่ายกย่องมากครับ ปัจจุบันผมรับราชการในสายพลเรือนมาเกือบ 20 ปีแล้ว
แต่ความรู้สึกดีๆ ในช่วงเรียน รด. กับเพื่อนๆ ยังจดจำได้เสมอครับ
โดยคุณ che เมื่อวันที่ 19/01/2010 03:09:47


ความคิดเห็นที่ 8


ไม่เห็นด้วยเช่นกันครับ เราไม่ได้ต้องการปริมาณ แต่เราต้องการคุณภาพ ไม่งั้นถ้าเปิดกว้างมากกว่านี้ก็ไม่มีใครอยากเป็นทหารแล้วสิครับ เรียนร.ด.อย่างเดียวเข้าง่ายไม่ต้องเหนื่อยเป็นทหาร อย่างงี้หรอครับ ร.ด.เดี๋ยวนี้วินัยเลว สุดๆ มีมีความเป็นระเบียบ เละละ ไม่รู้ว่าจะมาเรียนกันทำไม เรียนไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ไม่ได้พัฒนาอะไรในตัวเองเลย เรียนให้มันผ่านไปวันๆแค่นั้นเอง จะได้ไม่ต้องไปเกณฑ์ทหาร เปลืองงบหลวงอีกต่างหาก ไม่เห็นด้วยครับ ค้านหัวชนฝา ถ้าอยากเรียนจริงๆก็ต้องพยายามสิ ไม่ใช้วิดพื้นไม่ไหวก็อยากจะเป็นอยากจะเรียน แค่วิดพื้นยังไม่ไหวแล้วจะมาเรียนทำไม ทำแค่นี้ยังทำไม่ได้ ค้านอย่างแรงครับ ผมไม่อยากให้กำลังสำรองในสายตาประชาชนดูตกต่ำไปมากกว่านี่แล้วครับ

โดยคุณ champ thai army เมื่อวันที่ 19/01/2010 03:44:40


ความคิดเห็นที่ 9


ผมก็จบ ปี5 ว่าที่ร้อยตรี รุ่น 42 ปืนใหญ่

จะเพิ่มไปทำไม จบ ร.ด. ปี 3 มันยังดูแผนที่ เข็มทิศยังไม่เป็นกันเลย

ยิ่งในกรุงเทพ ฝึกอาทิตย์ละครึ่งวัน จะได้อะไรว้า...ถ้าส่วนใหญ่ต้องการแค่ หนีการเกณฑ์ทหาร

โดยคุณ น่าคิด เมื่อวันที่ 19/01/2010 03:44:55


ความคิดเห็นที่ 10


ใช่ครับ  เราต้องการคุณภาพมากกว่าปริมาณ

ถ้าจะเพิ่มงบ  ควรจะดูเรื่องการเรียนการสอนด้วยครับ

ไม่ใช่สักแต่สอนไปวันๆ  จนบางทีคนเรียนจำผิดจำถูก  แล้วเอาตอบแบบผิดๆนะครับ
โดยคุณ janus เมื่อวันที่ 19/01/2010 04:08:01


ความคิดเห็นที่ 11


เห็นด้วยครับกับ คุณphongrapee กับการเกณฑ์ ๑๐๐% เอาทั้งชายทั้งหญิง

เพื่อปลูกจิตสำนึก ความมีระเบียบวินัย จิตสาธารณะ จิตอาสา

เป็นตัววัดทัศนคติความรักในอาชีพทหารก่อนจะได้รับการคัดเลือกเพื่อพัฒนาป็นทหารอาชีพต่อไป เข้าใจหัวอกทหารตั้งแต่ระดับพลทหาร

ส่วนพวกเรียนรด.จนครบห้าปี ก็มีทั้งพวกชอบ กับพวกชอบมาก ๆ พวกชอบมาก ๆ คุณจะสังเกตได้ง่าย พวกนี้มักจะมีปีก มีเครื่องหมายขีดความสามารถพิเศษ (ประเภทบริจาค) ติดจนถึงหัวไหล่จนคอปกเสื้อบัง จนครูฝึกต้องบอกว่าข้างหลังยังมีที่ติดอีกเยอะ คอสตูมดีมากทหารอาชีพยังอาย ให้เดินแผนที่เข็มทิศก็หลง ถ้าได้รับรางวัลก็จะเป็นผู้มีลักษณะทหารดีเด่นประเภทสวยงาม อะไรประมาณนั้น

 

โดยคุณ Ghost Rider เมื่อวันที่ 19/01/2010 04:23:56


ความคิดเห็นที่ 12


สําหรับนศท ผมมองเป็นเพียงกองทัพกุ๊กกิ๊กครับ ถ้าเป็นไปได้ ยุบ นศทไปเลย เพราะ เรียนนศทไป เรียนมัธยมไป มันยังไงไม่รู้>>>> ความคิดแบบนี้ เข้าข่ายไม่ใช่ระบบประชาธิปไตย นะครับ  คนที่ไม่อยากเป็นทหารก็มีนะครับ  ไม่ใช่ไม่มี  จึงเลือกใช้วิธีเรียน นศท. ครับ ในเมื่อมีทางเลือกที่ทาง กฏหมายระบุไว้ให้ที่ไม่ต้องเป็นทหารเกณฑ์ ก็ต้องใช้วิธีนี้ละครับ มันออกเป็นแนวคิดแบบกึ่งๆเผด็จการครับ
โดยคุณ nok เมื่อวันที่ 19/01/2010 05:07:17


ความคิดเห็นที่ 13


ไม่เห็นด้วยอย่างแรงครับที่จะเพิ่มกำลังพล อยากให้ลดกำลังพลด้วยซ้ำครับ การรบเชิงปริมาณเป็นความคิดที่ล้าหลังครับ ต้องเน้นด้านวิจัยพัฒนา 3 ด้าน
1.ยุทโธปกรณ์ ยุทโธปภัณฑ์
2.การบริหารจัดการ(พวกบัญชี ต้นทุน และอื่นๆ)
3.ทรัพกรมนุษย์ 
ผมว่าทุกวันนี้เราเสียค่าใช้จ่ายในการป้องกันประเทศเยอะมากๆในแต่ละปี ถ้าเราจัดการ 3 ข้อด้านบนไม่ดีพอ
ปล.ก่อนที่มนุษย์จะฆ่ากันตายหมด มนุษย์คงตายด้วยภัยธรรมชาติมากกว่า
โดยคุณ sam เมื่อวันที่ 19/01/2010 06:40:15


ความคิดเห็นที่ 14


ไม่ควรเพิ่มครับ............

เพราะตอนนี้ รด ก็มากอยู่แล้ว......น่าจะเอางบประมาณไปจัดหา อาวุธ มาใช้ในการฝึกดีกว่า  ทำแบบอิสราเอลไปเลย....และตอนนี้ผมเรียน รด ปี 5 อยู่ครับ งบประมาณพึ่งตกถึงท้อง.....ปีนี้ดีหน่อย ได้ฝึกกับทหารเกณฑ์

สรุป...ไม่ควรเพิ่มปริมาณหรอก เพราะเพิ่มไป...พวกเด็กเส้น ก็เรียนกันเยอะ
โดยคุณ tao_kub เมื่อวันที่ 19/01/2010 07:46:36


ความคิดเห็นที่ 15


เราลองมาทายกันนะครับว่า "ถ้าเรียน รด.แล้ว ยังต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหารด้วย จะยังมีคนเรียน รด.อีกไหม?" ติ๊ก ตอก ติ๊ก ตอก

ตอบแบบไม่ต้องคิดเลยครับว่า "ไม่มีมาเรียนครับ"

แค่ให้รัฐออกมาตรานี้ใหม่รับรอง ปัญหาของท่าน ส.ส.กับผู้ปกครองทั้งหลายหมดไปแน่นอน ฟันธง และ คอนเฟิร์ม

โดยคุณ Ifeelsogood เมื่อวันที่ 19/01/2010 08:11:28


ความคิดเห็นที่ 16


ผมว่ากำลังพลโดยรวมแล้วเรามากกว่า 3 แสนคนซะอีกนะ ตชด.2 แสนนาย กำลังพลประจำการอีก 3 แสน และกำลังสำรอง แค่คิดตัวเลขและงบประมาณที่ใช้ คิดแล้วปวดหัว
ปัจจุบันประเทศไทยเรายังขาดแรงงานมีฝีือเฉพาะด้านอีกมากมาย
โดยคุณ sam เมื่อวันที่ 19/01/2010 08:57:23


ความคิดเห็นที่ 17


ได้เรียน รด ยังดีกว่าไม่ได้เรียน

อย่างน้อยก็ได้ฝึกฝนวินัย

ไม่ให้เรียน ก็ไปเรียน ลูกเสือ เนตรนารี กาชาด ก็ได้

ขอให้มีงบเหอะ

นาน ๆ จะเห็นนักการเมืองพูดอะไรเข้าท่าสักที

โดยคุณ x.engineer เมื่อวันที่ 19/01/2010 09:16:24


ความคิดเห็นที่ 18


ผมเองก็จบ รด.ปี 5 เหล่าทหารสื่อสาร เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว และได้ถูกเรียกพล เพื่อเข้ารับการฝึกทบทวน อีก 3 ครั้ง ครั้งละ 21 วัน ได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตอยู่ในค่ายทหาร ฝึกทบทวนวิชาทหารที่ได้เรียนมาเพียงน้อยนิด ตอนเป็น รด.ให้เพิ่มมากขึ้น เกี่ยวกับเรื่องเพิ่มหรือไม่เพิ่มงบประมาณ หรือยังควรจะมีหรือไม่มีนักศึกษาวิชาทหาร ผมเห็นดังนี้ครับ

1.ไม่ควรเพิ่มปริมาณนักศึกษาวิชาทหาร

2.ควรเพิ่มวันในการฝึกศึกษาให้มากขึ้น อาจเป็นครั้งละ 1 เดือน ตอนช่วงปิดเทอมใหญ่เดือนเมษายน

3.ปรับหลักสูตรการฝึกศึกษาให้เข้มข้นมากขึ้น เพื่อให้มีความรู้ทางทหาร ซึ่งจะเป็นกำลังสำรองที่แท้จริง

4.ควรเพิ่มหลักสูตรพิเศษทางทหารต่างๆ เช่น หลักสูตรรบพิเศษฉบับย่อ แบบ Mini Ranger, Mini Seal, Mini Airborne เพื่อให้ รด.ที่ชอบและมีความพร้อมได้ฝึกศึกษา จะได้กำลังสำรองที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอีก

สุดท้ายผมว่าสำคัญ ทำไมเราไม่นำระบบไพร่ส่วย ที่ใช้ตอนต้นรัตนโกสินทร์มาใช้คือ หากใครไม่อยากเป็นทหาร ก็ให้จ่ายเงินบำรุงให้กองทัพ กองทัพก็มีเงินไปพัฒนากองทัพอีกทางหนึ่ง

 

โดยคุณ teera_aod เมื่อวันที่ 19/01/2010 10:06:45


ความคิดเห็นที่ 19


ผมเพิ่งจบปี5 มาหมาดๆ(ปีนึงแล้ว)นะครับ ตามความเห็นผมนะ ถ้าเพิ่มจำนวนเด็ก ไม่เพิ่มงบฝึก ไม่เพิ่งผู้ฝึก (ปีผมปี5ฝึกเขาชนไก่ไม่ได้ยิงปืนสั้น เสียดายมาก ครูบอกงบไม่มีเล่นเพ้นท์บอลไปละกัน)มันก็เข้าอีหรอบเดิม เด็กก็วินัยเลวลง กองทัพก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา สู้เอางบไปทำอย่างอื่นดีกว่า 

ปล.อีกอย่างนึงนะครับพวก "เพศที่3เนี่ย" อย่าหาว่าผมกีดกันหรือมีอคติเลยนะ แต่ให้เข้ามาเรียนรด.มากๆเนี่ย น่าอายมากกว่าน่าดูครับ(น้องโรงเรียนผมเอง โรงเรียนช.ประจำจังหวัดพิษณุโลกเนี่ย เห้อ)

โดยคุณ Tawporn เมื่อวันที่ 19/01/2010 11:29:37


ความคิดเห็นที่ 20


ว่าจะเฝ้าอ่านอย่างเดียว

ทักสักนิดก็ได้ 555 พอดีเจอคนบ้านเดียวกัน

ไม่ทราบว่าคุณ   Tawporn นี่ศิษย์เก่าโรงเรียนชายพิดโลก ช่วงปีไหนครับ

พอดีผมก็จบจากที่นั้นเช่นเดียวกัน(โรงเรียนเก่าที่ศาลสมเด็จฯ)ครับ

โดยคุณ FW190 เมื่อวันที่ 19/01/2010 12:43:09


ความคิดเห็นที่ 21


จะไม่ให้วินัยเลวได้อย่างไรละครับ เล่นฝึกกันแค่สัปดาห์ละครึ่งวัน ไม่ได้รวดเดียวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว มันก็จะดูชิวๆไม่ต่อเนื่อง ใครที่ออกกำลังกายบ่อยๆก็แล้วไปแต่บางคนเนี่ย ฝึกอาทิตย์ละครั้งแค่วิ่งรอบโบสถ์ก็ลมใส่แล้ว บางคนหนักกว่านั้น ดันพื้นไม่ได้ซักที ซิตอัพก็ไม่ได้เพราะติดพุง แต่ก็ได้เข้าไปเรียนสบายใจเฉิบ แบบว่า สมัครร้อยรับร้อย
โดยคุณ Puriku เมื่อวันที่ 19/01/2010 17:44:15


ความคิดเห็นที่ 22


พอดีผมก็จบจากที่นั้นเช่นเดียวกัน(โรงเรียนเก่าที่ศาลสมเด็จฯ)ครับ



โดยคุณ : FW190    Send Mail    Send PM     วันที่ : 2010-01-19 12:43:09  

 

 

โรงเรียนใหม่ที่กำลังจะเข้า คือ ศาลทหาร ข้อหาล่อลวงน้องสาวผมมาบังหน้าชาวบ้านว่าเป็นชายเต็มตัว ที่แท้เป็นแบบนาย โจ๊ก ยาราไนก้า

 

ว่าแต่ว่าอย่าไปนับเลยคับ ว่ากำลังพลสำรองมีเท่าไหร่ เพราะถ้าจะนับคงต้องนับหมด ทั้งเด็กจบ รด. พลทหารที่ปลดแล้ว และคนที่จับได้ใบดำ เพราะทุกคนเป็นกำลังสำรองหมด

โดยคุณ เด็กทะเล เมื่อวันที่ 19/01/2010 20:42:01


ความคิดเห็นที่ 23


ไม่ทราบว่า รด. แต่ผม เดาว่า น่าจะมาจาก ประเทศอิสราเอลครับ

หากใครทราบรายละเอียดของอิสราเอลจะทราบกันดีว่าเขามีไว้ทำไม

เวลาปฏิบัติงานเขาทำกันอย่างไร(คือเขาจะปฏิบัติงานร่วมกับทหารประจำการครับ)

หากเราไม่รวยอย่างนั้นและไม่จำเป็นถึงขนาดนั้นผม ก็เห็นด้วยกับทุกท่านนะครับ

ที่ว่าเราไม่ควรเพิ่มอัตราการฝึก นศท เพิ่มเติมจากเดิม เพราะแค่ทุกวันนี้ก็ไร้...อยู่แล้ว

และทุกวันนี้ผมเชื่อว่าหลายท่านน่าจะมีเพื่อนที่ดูยังไงก็ไม่น่าสอบผ่านเข้ามาเรียนได้ แต่เขาก็มา

เหตุผลของ สส. ที่ได้รับมาจากผู้ปกครองทั้งหลาย ผมว่าเราๆทั้งหลายน่าจะทราบดีว่าเหตุเพราะอะไร

ก็เรื่องเดิมๆครับ เพื่อไม่ให้เกณฑ์ทหาร หากผู้ปกครองอ้างว่าอยากให้ลูกหลาน เป็นคนแข็งแกร่ง สมเป็นชายชาติไทย

อย่างแรกและง่ายๆก็สอบให้ผ่านสิครับ ผมจำได้ว่าใครผ่านเกณฑ์ก็เข้าได้หมดนะ(รุ่นผมปี42)

และอยากให้สมชายชาตรีจริงๆ ก็เป็นทหารกองประจำการไปเลย สมัครหรือเกณฑ์ก็ได้

ผมเข้าใจคุณ che นะครับเรื่องชีวิต รด. แต่เหตุผลที่เพิ่มนะ ผมว่าก็ไม่สอดคล้องกันเท่าไหร่

ได้ความสนุกกับมิตรภาพ แต่ไม่ได้ศักยภาพครบกันทุกคน(หรือส่วนใหญ่) งบประมาณที่เสียไปก็เหลวลงแม่น้ำครับ

ผมไม่ทราบว่าท่านทั้งหลายเคยเห็นการฝึกที่เขาชนไก่ในเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมาเปล่าครับ

เผอิญผมไปธุร หาญาติเอาสำเนาทะเบียนบ้านไปให้เขาเห็นวันที่ฝึกโดดหอพอดี ทราบไหมครับว่าเดี๋ยวนี้

สะพานเชือกใครจะเล่นก็ได้ไม่เล่นก็ได้ ผมถามญาติแล้วฝึกภาคสนามเป็นไง ญาติผมบอกว่า "โห! ยั่งกะเดนเล่นในทุ่งมัน"

"ทำไรกันไม่รู้เล่นกันเป็นเด็ก โดยเฉพาะตุ๊ด เนี่ยครูฝึกให้สิทธิพิเศษ อะไรก็ไม่รู้ พักกันประจำ"

"เดี๋ยวก็เรียกเข้า seven (ร้านขายของแม่บ้านทหาร) โดยเฉพาะพวกตัวถ้วมๆที่ทำอะไรไม่ค่อยได้เนี่ยถูกให้ซื้อประจำ"

ผมฟังแล้วก็เชื่อบ้างแต่ก็ส่วนใหญ่ แต่มันเป็นเสียงสะท้อนจากคนที่พบเห็นนะครับ

เรื่องกำลังสำรองหากพูดถึงความจำเป็นก็คงยาววว แต่เหตุผลเพิ่มงบไม่ต้องถามรัฐหรอกครับเพราะมันไม่จำเป็น

ถามผู้ปกครองดีกว่าว่าดูแลลูกหลานยังไงไม่แข็งแรง

โดยคุณ PINJI เมื่อวันที่ 20/01/2010 00:10:46


ความคิดเห็นที่ 24


รุ่นผม (ปี 47) เรียนแค่ครึ่งวัน แต่ยังไงก็ต้องสอบร่างกายให้ผ่าน  แล้วผมก็ถูกเขี่ยกระเด็นแบบไม่ไยดี (ก่อนคัดเลือกไม่นานต้องวิ่งแข่ง แล้วถูกชนกลิ้งโคโล่ เข่ากระแทกพื้นจนเดินไม่ได้หลายวัน ปัจจุบันคุกเข่าแค่หนึ่งนาทียังไม่ไหว)

พอไปถามว่าทำอะไรกันบ้างบอกนั่งเรียน เล็กเชอร์กันยังกับนักศึกษามหาลัย -*- ออกไปยิงปืนจริงๆ ไม่กี่หนหรอก เรื่องวิธีการใช้ปืนยังต้องมาถามผมเลย M1911A1 FTW

อยากเข้าเรียนเหมือนกัน อย่างน้อยได้อยู่กินกับเพื่อนเรา อาจารย์เรา อุ่นใจกว่าคนนอกเยอะ T_T ใครฟะชนตู อดเป็นว่าที่ร้อยตรีเลย (รอสมัครหลังจบ ป.ตรีครับ เห็น ทอ. รับ Computer Science ด้วย)

ส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยกับการเกณฑ์ทหาร 100% ครับ เราไม่ใช่อิสราเอลที่มีปัญหาเรื่องกำลังคนมากขนาดนั้น แล้วอีกอย่างเอาผู้หญิงมาถูลู่ถูกังกับทหารชาย มันไม่ใช่เรื่องเลยนะครับ สภาพร่างกาย ความคิด แม้แต่โครงสร้างสมองก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ใครจะกล้ารับประกันได้ว่าประสิทธิภาพการรบจะเท่าเทียมกัน

แม้ร่างกายจะพร้อมจริง แต่จิตใจของผู้หญิงพร้อมแล้วหรือสำหรับการพันตูแบบแมนๆ ประเภทรำมวยดาบปลายปืนใส่กัน

ผู้หญิงใช้ระบบสมัครแล้วให้ไปทำงานแนวหลังเช่นหมอ หรือประชาสัมพันธ์อย่างที่เป็นอยู่แบบนี้ผมว่าดีที่สุดแล้วครับ

สำหรับเพศที่ 3 รุ่นผมมีน้อยมากนับบนมือเดียวได้ ส่วนใหญ่จะไม่สมัครเลย มันเลยดูไม่ขลุกขลิก ส่วนเครื่องแบบ นศท. เตรียมน้อมรุ่นปี 47 ส่วนใหญ่เนี้ยบตามสภาพครับ ไม่ถึงขนาดขัดมัน แต่เรียบร้อย รุ่นผมระเบียบไม่หย่อนมาก แ่ต่รุ่นหลังผมก็ไม่รู้เหมือนกัน มันหย่อนขนาดนั้นเลยหรือ O_o


โดยคุณ Praetorians เมื่อวันที่ 20/01/2010 00:39:41


ความคิดเห็นที่ 25


จะเพิ่มอีกทำไมงบประมาณครับ เอาไปช่วยทหาร- ตร. 3 จชต. ไม่ดีกว่าหรือ  คนที่เรียน รด. นะเขาหวังไม่ต้องแค่เกณฑ์ทหาร กลัวมากนักหรือแค่การเป็นทหาร ถ้าจบ ม.ปลาย แค่สมัครก็เป็นแค่ 1 ปีเอง เรียน รด.ก็เหมือนการไปปิกนิค เรียนแค่อาทิตย์ละ  1 - 2 ชม. ปี 3 ก็แค่เข้าค่าย อีก 1สัปดาห์ มันจะได้อะไร ผมไม่ว่าหรอกเพราะผมก็เคยเรียน เรียนเพื่อต้องการคะแนน + เพื่อเป็นทหาร 


โดยคุณ fenix2008 เมื่อวันที่ 20/01/2010 01:14:09


ความคิดเห็นที่ 26


ผมได้ลองสอบถามเพื่อนที่กรมการสรรพกำลังทหารแล้ว ได้ความว่ากองทัพมีนโยบายจะลดขนาดทหารประจำการลงในอนาคต
แต่ให้เน้นเรื่องกำลังสำรอง (
reserve) ที่พร้อมจะปฏิบัติการได้ทันทีที่มีสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น สามารถกำลังสำรองที่พร้อมรบได้ภายใน 72 ชั่วโมง
(ตัวเลขของอิสราเอล ของเราอาจต้องใช้เวลามากกว่านั้น)
  และการที่จะมีความพร้อมขนาดนี้คงไม่ได้เรียกกำลังพลจากผู้สำเร็จการศึกษาวิชาทหาร (นศท.)

เป็นแน่ (เพราะมีการฝึกที่ไม่เพียงพอ)  แต่จะเอามาจากทหารเกณฑ์เป็นหลัก ดังนั้น แนวโน้มเรื่องกำลังสำรองนั้นน่าจะไปทางที่มีการเพิ่มจำนวนทหารเกณฑ์มากขึ้นตามที่หลายท่านในบอร์ดได้ตั้งของสังเกตไว้    ส่วนเรื่องการฝึก รด. หากสมารถแยกอาจจากเรื่องเกณฑ์ทหารได้คงจะดีนะครับ
เพราะจะได้นักศึกษาที่มีใจรักทางด้านนี้เข้ามาฝึกกันแบบจริงๆ จังๆ เสียที และจะได้ควบคุมเรื่องระเบียบวินัยได้มากขึ้นด้วย 

 

(อนึ่ง สำหรับ รด. ที่เป็นเพศที่ 3 ในสมัยเมื่อ 20 ปีก่อนไม่ค่อยมีให้เห็นครับ เพราะคิดว่าพวกนี้หากเข้ามาเรียน รด. อาจสร้างปัญหาบางประการ

แต่เดี๋ยวนี้ผมไม่ทราบว่า มีกลุ่มนี้เข้ามาเรียน รด. มากแค่ไหน  แต่ที่แน่ๆ คือ พวกเรียน รด. ที่มาจากสถาบันที่ชอบตีกัน  พอมาเรียน รด. ด้วยกัน
ก็ไม่เห้นว่าจะมีปัญหาทะเลาะวิวาทกันเลย  อาจเป็นเพราะเกรงใจเครื่องแบบ นศท. ที่สวมอยุ่ ส่วน ร ด.หญิงนั้น ถ้าจำไม่ผิดสมัยเรียนปี 5
ผมได้ทันเห็นรุ่นแรกๆ ด้วยครับ  บรรดาครูฝึกหูตาแพรวพราวกันเชียว)

 

ปล. ใครเคยดูหนังอเมริกันบางเรื่องที่มีฉากปฏิบัติการของ National Guard ตามมลรัฐ หรือเมืองต่างๆ จะเห็นว่า
เจ้าหน้าที่ทหารในหน่วย National Guard (บางคน) ดูเฟอะฟะและหน้าตาตื่นตูมมาก   เข้าใจว่าหนังตั้งใจล้อเลียน
National Guard ว่าไม่เป็นมืออาชีพประมาณนั้น ก็ว่ากันไปครับ  แต่จากการดูภาพการปฏิบัติงานของ National Guard
ในเวปของ
National Guard ในแต่ละมลรัฐแล้ว พบว่ามีความพร้อมปฏิบัติการสูงมาก


โดยคุณ che เมื่อวันที่ 20/01/2010 03:46:24


ความคิดเห็นที่ 27


งั้นเดี๋ยวผมคัดมาเข้าหน่วย HUA-Hin Guard ดีกว่า ฝึกให้หนัก เพื่อเอาไว้แบกน้ำหนัก นายโจ๊ก ยาราไนก้า กับ อีตาหมวดกะโหลก ไปเลย
โดยคุณ เด็กทะเล เมื่อวันที่ 20/01/2010 04:18:03


ความคิดเห็นที่ 28



แปลว่าผมได้รับการคัดเลือกแล้วใช่ไหมครับ เฮียเด็กทะเล
โดยคุณ CoffeeMix เมื่อวันที่ 20/01/2010 04:25:53


ความคิดเห็นที่ 29


ถ้าเรายกเลิกการเกณฑ์ทหารแล้วอาศัยการสมัครเอาดีไหมครับ จะได้เพิ่มงบการฝึกจริงๆจังซะที (ลดกำลังพลสำรองและงบประมาณในการฝึกไปในตัว)
โดยคุณ sam เมื่อวันที่ 20/01/2010 04:41:58


ความคิดเห็นที่ 30


คุณ sam ทำแบบนั้นผมกลัวจะไม่มีคนมาสมัครเลยน่ะสิครับ แถบตะวันตกเงินเดือนทหารนี่ถือว่าอยู่ได้สบายๆ เลยนะ (หลักหมื่นละเอ้า ดู Goarmy.com ได้เลยครับ) เบิกได้ไม่มีตกด้วย จริงอยู่มีหลายคนที่พร้อมเสียสละรับใช้ชาติ แต่กับคนอื่นๆ ล่ะ กลุ่มคนหาเช้ากินค่ำที่คำนึงถึงปากท้องตัวเองและครอบครัวมากกว่าอย่างอื่นล่ะ

เห็นแบบนั้นที่จริงกองทัพอเมริกาหมดเงินไปกับการโฆษณาจำนวนมหาศาล เช่น Transformers นี่แหละตัวดี เรามีเงินกับ PR ดึงดูดใจคนได้ขนาดนั้นเชียวเหรอครับ

แม้แต่ผมเองตอนเปรยๆ ว่าจะสมัครทหารยังโดนทางบ้านค้านหัวชนฝา บอกเรียนสูงขนาดนี้ไปทำกับเอกชนดีกว่าเงินดีกว่าแยะ แบบนี้มีให้เห็นเยอะมากครับ
โดยคุณ Praetorians เมื่อวันที่ 20/01/2010 08:46:06


ความคิดเห็นที่ 31


จากที่เคยเห็น เคยไปนั่งดูเค้าคัดกันอยู่

ผมว่าถ้ารับสมัครทหารอย่างเดียวไม่มีทหารเกณฑ์ ไม่พอแน่นอนครับ

ส่วนตัวมีโอกาสเรียนนศท.แค่ 3 ปี (สองปีถัดมา ดันไปนอนโรงพยาบาลเล่นซะปี อีกปีพักผ่อน) แล้วดันลืมรักษาสภาพ(ไม่แน่ใจคำเรียก) เลยอดเรียนต่อ�

โดยคุณ Tasurahings เมื่อวันที่ 20/01/2010 08:53:23


ความคิดเห็นที่ 32


น้อง phat21 ที่บอกว่า

"สําหรับนศท ผมมองเป็นเพียงกองทัพกุ๊กกิ๊ก" แสดงว่าไม่ได้เรียนร.ด.ใช่รึเปล่าครับ หรือว่าไม่ผ่านการทดสอบสมรรถภาพทางร่างกาย หรือมีข้อบกพร่องทางร่างกายหรือเปล่า เลยออกมาพูดแบบองุ่นเปรี้ยว

เพราะคนที่อยากจะเป็นทหารอย่างน้องไม่นาจะพลาดการเรียนร.ด.แน่นอน เพราะมันเป็นการปูพื้นฐานความรู้ทางทหาร และยังมีได้คะแนนช่วยตอนสอบบรรจุเป็นทหารด้วย

ที่น้องพูดๆมามีหลายอย่างที่มันขัดแย้งกันเองนะครับ เข้าขั้นเพ้อเจ้อเลย ถ้าเป็นคนที่ผมรู้จักคงจะต้องถามแล้วว่าบ้ารึเปล่า เพราะไม่น่าเชื่อว่าอายุขนาดเข้ามหาวิทยาลัยแล้วเนี่ยะยังไม่สามารถแยกแยะเรื่องต่างๆได้

 

โดยคุณ ploydaddy เมื่อวันที่ 22/01/2010 05:19:35