เครื่องบินขับไล่ยุคที่ 3 (1960 -
1970)
เครื่องบินยุคนี้เริ่มติดตั้งจรวดนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยกลางแบบ
Semi-active เช่น AIM-7 Sparrow โดยเครื่องนั้นเริ่มต้นในการมีคุณสมบัติ Multi-role
หรือในภาษาไทยว่าพหุบทบาท
โดยรวมความสามารถในการโจมตีทั้งภาคอากาศและภาคพื้นดินเข้าไว้ด้วยกัน
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเครื่องบินในยุคสงครามเวียดนามอย่าง
F-4, F-5, MiG-23, MiG-25, Su-22, Harrier, Mirage F.1Super Etendard, J-8 II
เครื่องบินขับไล่ยุคที่ 4 (1970 -
1990)
เครื่องบินในยุคนี้แทบทั้งหมดยังประจำการอยู่ในปัจจุบัน
โดยมีคุณสมบัติการเป็น Multi-Role ที่สมบูรณ์
สามารถใช้อาวุธอากาศสู่อากาศพิสัยกลางแบบ Active Radar เช่น AIM-120 ได้
ส่วนใหญ่แล้วเครื่องในยุคนี้จะเน้นที่ประสิทธิภาพในการรบมากกว่าความเร็ว
ตัวอย่างของเครื่องบินในยุคนี้คือ
F-15, F-16, F/A-18, AV-8B, MiG-29, MiG-31, Su-27, Tornado, Mirage-2000, J-10,
F-2 (JSADF), LCA (Indian AF), JA-37 Viggen
เครื่องบินขับไล่ยุคที่ 4.5 (1990 -
2000)
เครื่องบินในยุคนี้เป็นกำลังหลักของกองทัพอากาศทั่วโลกอยู่ในปัจจุบัน
ซึ่งคุณสมบัติส่วนใหญ่คล้ายคลึงกับเครื่องในยุคที่ 4 เพิ่งแต่เพิ่มระบบ avionic
ที่ทันสมัยขึ้น ปรับปรุงความอ่อนตัวในการปฏิบัติภารกิจให้ทำภารกิจได้หลากหลายขึ้น
และมีคุณสมบัติตรวจจับได้ยาก (Stealth)
ในระดับจำกัด
เครื่องบินที่อยู่ในยุคนี้ได้แก่ F/A-18 E/F, Su-30, Rafale
และ Eurofighter
เครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 (2000 and
Onward)
เครื่องบินในยุคนี้คือเครื่องบินขับไล่ที่เราจะเห็นไปอีกอย่างน้อย
20 - 30 ปี โดยคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดที่ต้องมีคือเทคโนโลยี Stealth ระบบ Data
link (ระบบการกระจายข้อมูลระหว่างเครื่อง) รวมถึง Super Thrust
(ระบบขับเคลื่อนความเร็วเหนือเสียงโดยไม่ต้องใช้สันดาบท้าย)
เครื่องบินจะเป็นระบบอิเล็กทรอนิคล้วน ๆ
ในปัจจุบันมีเครื่องบินยุคที่ 5
เพียง 2 แบบคือ F-22 และ F-35 แต่รัสเซียได้ประกาศมาแล้วว่าเครื่องบินยุคที่ 5
ของตน(T-50)
***ขออภัยจำที่มาไม่ได้แล้วครับ Copy ไว้ในเครื่องนานแล้ว
คำถามดูได้จากเครื่องยุคที่ 4 คือทั้ง F-15,F-16 จะเป็นข่าวในการสู้รบเยอะหน่อยครับ ส่วนTornado จะเป็นข่าวในสงครามถล่มอิรักครั้งแรกครับ