วันนี้(2 ก.พ.)สำนักข่าวเอพีรายงานจากกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน ว่า ทางการปฎิเสธข้อกล่าวอ้างของทางการไทย ที่ว่าเครื่องบินขนอาวุธของเกาหลีเหนือ ที่ถูกจับกุมที่ท่าอากาศยานดอนเมืองเมื่อเดือน ธ.ค. มีจุดหมายปลายทางที่ประเทศอิหร่าน โดยนายรามิน เมห์มานปาราสต์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน เผยที่กรุงเตหะรานเมื่อวันอังคารว่า ไม่มีความเกี่ยวพันระหว่างเที่ยวบินดังกล่าว กับประเทศอิหร่าน พร้อมกับย้ำว่า อิหร่านไม่มีความจำเป็นต้องนำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์เหล่านั้น เนื่องจากสามารถผลิตได้เอง ไม่ว่าจะเป็นจรวด รถถัง เครื่องบินรบ เรือดำน้ำขนาดเบา และขีปนาวุธ
ขณะเดียวกัน สำนักข่าวเอพีรายงาน การให้สัมภาษณ์ของ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในวันเดียวกันว่า รัฐบาลไทยต้องการปล่อยตัว ลูกเรือเครื่องบินขนอาวุธเกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นชาวคาซัคสถานและเบลารุส แต่เรื่องนี้รัฐบาลไทยไม่สามารถสั่ง ให้สำนักงานอัยการสูงสุดปล่อยตัวลูกเรือชุดนี้ ทำได้เพียงให้คำชี้แนะ เนื่องจากเป็นเรื่องซับซ้อนและละเอียดอ่อนมาก นายกษิตยังกล่าวอีกว่า เป็นไปได้ที่ลูกเรือเหล่านี้ จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ในประเทศบ้านเกิดของพวกเขา.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=5&contentID=46422
โซล 3 ก.พ. เกาหลีเหนือกำหนดเขตยิงทางทะเลเพิ่มอีก 2 แห่ง
ใกล้กับบริเวณพรมแดนทะเลเหลืองที่ตกเป็นข้อพิพาทกับเกาหลีใต้ เพิ่มความเป็นไปได้ว่า
เกาหลีเหนืออาจยิงปืนใหญ่อีกครั้ง
โฆษกประจำคณะเสนาธิการทหารร่วมเปิดเผยว่า
เขตยิงทางทะเลทั้ง 2 แห่งดังกล่าว จะมีผลบังคับใช้เป็นเวลา 4 วัน
นับตั้งแต่วันศุกร์นี้เป็นต้นไป และว่า กองทัพเกาหลีใต้กำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด
หากมีการยิงปืนใหญ่นอกหมู่เกาะแบง-นยอง และแทชอง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับพรมแดนทางทะเล
ทั้งนี้ เกาหลีเหนือประกาศเขตห้ามเดินเรือ 2 แห่ง ก่อนจะเริ่มระดมยิงปืนใหญ่ 370
นัด ลงในทะเลเหลืองใกล้พรมแดนทางทะเลเป็นเวลา 3 วัน ในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทำให้สถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีตึงเครียดมากขึ้น เกาหลีเหนือแถลงว่า
การยิงดังกล่าวเป็นกิจกรรมการซ้อมรบตามปกติ แต่เกาหลีใต้และสหรัฐมองว่า
เป็นการยั่วยุ.- สำนักข่าวไทย
http://www.mcot.net/content/16716
ทำไมออกมาปฏิเสธช้าจังหว่า?
ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในเอเชีย
ทั้งจีนและอินเดียกำลังทุ่มงบประมาณรายจ่ายกับกองทัพทหารอีกเท่าตัว
ขณะที่หลายประเทศในยุโรปกับสหรัฐฯ
อยู่ระหว่างรัดเข็มขัดงบประมาณทางทหาร...
สำนักข่าวเอเอฟพีเผยถึงรายงานประจำปี
2553 หัวข้อ ภาวะสมดุลย์ทางทหาร จำนวน 490 หน้า
โดยสถาบันศึกษาการวางกลยุทธ์ระหว่างประเทศ (ไอไอเอสเอส) เผยที่กรุงลอนดอนเมื่อ 3
ก.พ.ว่า ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในเอเชีย ทั้งจีน
และอินเดียกำลังทุ่มงบประมาณรายจ่ายกับกองทัพทหารอีกเท่าตัว
เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจช่วงภาวะเศรษฐกิจโลกซบเซา รวมถึงออสเตรเลีย
อินโดนีเซียและสิงคโปร์
ขณะที่หลายประเทศในยุโรปกับสหรัฐฯ
อยู่ระหว่างรัดเข็มขัดงบประมาณทางทหาร
โดยเฉพาะสหรัฐฯที่ยังตึงเครียดทั้งการปฏิบัติการในอิรัก และการเพ่ิมกำลังพล อีก
30,000 นายในอัฟกานิสถาน ส่วนรัฐบาลรัสเซียเองซึ่งมีค่าจีดีพี
หรืออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจรวมเมื่อ ปี 2552 อยู่ที่ 7.5 %
ทำให้โครงการปรับลำดับความสำคัญทางทหารใหม่ตลอดปี 2550-2558
และจะไปเร่ิมตั้งต้นใหม่ในปี 2554 กระนั้น ในกลุ่มสมาชิกองค์การนาโตในยุโรป
มีเพียงรัฐบาลนอร์เวย์ กับรัฐบาลเดนมาร์ก ที่อาจเพิ่มงบทางทหาร
ข่าวระบุการจัดทำรายงานดังกล่าวเกิดขึ้นหลังรัฐบาลจีนส่งสัญญานเตือน
ประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ห้ามพบปะกับองค์ดาไล ลามะ
ผู้นำทางจิตวิญญานธิเบต ซึ่งจะเดินทางไปยังสหรัฐฯช่วงเดือนก.พ.นี้
เพื่อสอนสั่งตามหลักศาสนาทั้งในรัฐแคลิฟอร์เนียกับรัฐฟลอริดา
อย่างไรก็ตาม
นายบิลล์ เบอร์ตัน โฆษกประจำทำเนียบขาว แถลงยืนยันว่า ผู้นำโอบามาจะพบกับองค์ดาไล
ลามะ ด้วยถือเป็นผู้นำด้านวัฒนธรรม และศาสนาจนเป็นที่เคารพนับถือไปทั่วโลก
แต่ไม่ได้ระบุวันที่ชัดเจน พร้อมย้ำว่า รัฐบาลสหรัฐฯ
ยังให้สถานะที่ชัดเจนทั้งไต้หวันกับธิเบตว่าเป็นส่วนหนึ่งของจีน