นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 "สหรัฐอเมริกา" ถือเป็นชาติที่มีประสบการณ์ ทำสงครามมากที่สุดในโลกก็ว่าได้ เพราะผ่านศึกตึงมืออย่างสงครามเกาหลี เวียดนาม และวิกฤตการณ์ต่างๆมาอย่างโชกโชน
จนถึงปัจจุบัน...สหรัฐฯก็ยังคงอยู่ในภาวะสงคราม หลังนำทัพรุกรานอัฟกานิสถานและอิรักเมื่อปี 2545 และ 2546 ตามลำดับ ซึ่งเป็นผลพวงจากนโยบาย "ต้านก่อการร้าย" สมัยอดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช เนื่องด้วยเหตุ "9/11" เมื่อปี 2544
แต่เวลาผ่านไปเกือบ 9 ปี สหรัฐฯไม่สามารถปิดฉากสงครามลงได้ เพราะเจอการรบนอกรูปแบบ ต้องสูญเสียทั้งกำลังพลและงบประมาณมหาศาล
และดูเหมือนว่าขณะนี้รัฐบาลสหรัฐฯอาจต้องเผชิญกับปัญหาใหม่ หลังทางกระทรวงกลาโหมพบว่าทหารจำนวนมากป่วยด้วย "โรคเครียดหลังภัยพิบัติ" (Post-traumatic stress disorder) หรือพีทีเอสดี ที่ทำให้อัตราการฆ่าตัวตายของทหาร สหรัฐฯสูงจนน่าตกใจ 18 รายต่อวัน!
ด้านนางบาบารา แวน ดาห์เลน นักจิตแพทย์ ผู้เป็นประธานของ "กีฟ แอน อาวเออร์" องค์กรการกุศลทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและช่วยเหลือทหาร ผ่านศึกที่ประสบภาวะเครียด ระบุว่าทหารส่วนใหญ่ ที่ปลดประจำการ หรือได้รับอนุญาตลาพัก ไม่สามารถ ใช้ชีวิตได้เหมือนเคย อาการที่เห็นเป็นประจำคือ
วิตกกังวลเวลาอยู่ในที่ชุมชน เช่น ห้างสรรพสินค้า หรือร้านอาหาร สายตาผู้ป่วยจะสอดส่องอยู่ตลอดเกรงถูกลอบทำร้าย
"บางรายถึงกับติดนิสัยขับรถคร่อมถนนโดยไม่รู้ตัว หวาดกลัวการขับรถชิดขอบทาง เนื่อง จากเกรงว่าจะถูกระเบิดแสวงเครื่องดักโจมตี
นอกจากนี้ อาการพีทีเอสดียังถ่ายทอดไปถึง สมาชิกครอบครัวได้ ส่งผลให้เกิดปัญหาความรุนแรง ในครอบครัว และปัญหาหย่าร้างตามมา ซึ่งท้ายสุด อาจจบลงด้วยการก่ออาชญากรรมหากทหารผู้นั้นไม่ได้รับการบำบัดทางจิตอย่างเพียงพอ
"ข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาเบื้องต้น รัฐบาลสหรัฐฯควรมีการปรับเปลี่ยนระยะเวลาเข้าประจำการและลาพัก เพื่อให้ทหารมีโอกาสผ่อนคลายมากขึ้น แต่ทั้งนี้ไม่ทราบว่าจะได้ผลสักเพียงใด" นางดาห์เลนกล่าวทิ้งท้าย
นับเป็นกรณีศึกษาที่ดีสำหรับรัฐบาลไทย ควรตระหนักถึงปัญหานี้ให้มาก เพราะดูจากสถานการณ์ใน 3 จังหวัดภาคใต้แล้ว ก็ไม่ต่างจากที่ทหารสหรัฐฯเผชิญอยู่เสียเท่าไร...
วีรพจน์ อินทรพันธ์
http://www.thairath.co.th/column/oversea/worldwide/63936
ความคิดเห็นที่ 1
ข่าวนี้เข้าข่ายที่คุณนกว่าหรือเปล่าครับ (มีคนตั้งกระทู้ไว้ข้างล่างด้วย แต่หัวข้อน่าจะเกี่ยวกับ ข่าวของคุณนกมากว่าครับ)
รายละเอียด :
โจชัว ทาเบอร์ ทหารอเมริกัน ได้ยอมรับกับตำรวจว่า ใช้เท็คนิคการทรมานนักโทษของสำนักข่าวกรองกลางของสหรัฐ หรือ CIA กับบุตรสาววัย 4 ขวบ เพราะเธอท่องพยัญชนะภาษาอังกฤษไม่ได้ โดยทาเบอร์ ยังบอกด้วยว่า เขาใช้เทคนิคการทรมาน ที่เรียกว่า " วอเตอร์บอร์ดดิ้ง " หรือการหลอกให้ผู้ถูกทรมานรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะจมน้ำ ก็เพราะเขาโกรธจัดที่เธอท่อง A B C ไม่ได้ โดยไม่ใส่ใจว่าบุตรสาวของเขาได้ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดทาเบอร์วัย 27 ปี ยอมรับว่า เขากดศีรษะของบุตรสาวให้ใบหน้าของเธอจมอยู่ในอ่างน้ำ ราว 3 หรือ 4 ครั้ง และการที่เขาเลือกลงโทษเธอด้วยวิธีนี้ ก็เพราะทราบดีว่าเธอกลัวน้ำ ซึ่งเทคนิควอเตอร์บอร์ดดิ้งนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่า CIA ใช้ในการรีดข้อมูลจากผู้ต้องสงสัยว่าเป็นสมาชิกอัล ไกด้า ที่ค่ายกักกันนักโทษที่กวนตานาโม เบย์ ในคิวบา และคุกลับอื่น ๆ ทาเบอร์ ซึ่งเป็นทหารที่ฐานทัพ ลูอิส-แม็คคอร์ด ในทาโคม่า รัฐวอชิงตัน ได้คว้าตัวบุตรสาวเข้าไปในครัว หลังจากเธอสะกด A B C ไม่ได้ ก่อนจะจับหน้าเธอกดลงไปในอ่างน้ำ ต่อหน้าแฟนสาวของตัวเอง เมื่อตำรวจไปสอบปากคำเด็กน้อยเคราะห์ร้าย ก็พบว่า เธอมีร่องรอยช้ำที่หลัง และที่ลำคอ ซึ่งเมื่อตำรวจถาม เธอก็ตอบว่า พ่อเป็นคนทำ ต่อมาตำรวจได้จับกุมทาเบอร์ หลังจากเขาเดินอยู่ในบริเวณบ้านของเพื่อนบ้าน ในสภาพใส่หมวกเคฟล่าร์ และขู่ว่าพังหน้าต่างบ้านคนอื่น เขาถูกตั้งข้อหาทำร้ายร่างกาย , ได้รับคำสั่งให้อยู่แต่ในฐานทัพและห้ามติดต่อใด ๆ กับบุตรสาวและแฟนสาว ขณะที่บุตรสาวของเขาถูกส่งไปให้หน่วยงานด้านสวัสดิการสังคมดูแล
นักโทษตัวฉกาจที่ถูกคุมขังอยู่ที่กวนตานาโม ซึ่งรวมทั้งนายคาลิด ชาอิคห์ โมฮัมเหม็ด ผู้อยู่เบื้องหลังเหตุวินาศกรรมโจมตีสหรัฐ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 ต่าวผ่านเทคนิคการทรมานด้วยวิธีวอเตอร์บอร์ดดิ้ง ด้วยการถูกจับมัดติดกับแผ่นกระดานโดยมีถุงครอบศีรษะไว้ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะราดน้ำลงไปบนใบหน้า เพื่อหลอกให้รู้สึกหวาดกลัวว่ากำลังจะจมน้ำตาย ซึ่งประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า ได้ประกาศให้เทคนิคการทรมานดังกล่าวเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?lang=th&newsid=431326
โดยคุณ
che 
เมื่อวันที่
11/02/2010 00:21:58
ความคิดเห็นที่ 2
น่าสงสารทหารจริงๆนะครับ
จากบ้านไป บ้างได้กลับ บ้างไม่ได้กลับ บ้างกลับมาแต่ว่าแขนขาหลุดหาย บ้างกลับไปแต่ลูกเมียกระเด็นเเผ่นหนี
ขอไว้อาลัยให้ทั้งทหารus และทหาร อาหรับแล้วกัน
เพราะน้ำมัน
แล้วขอสดุดีผู้กล้าที่อยู่ด้ามขวานครับ
สู้ต่อไป ให้ไทยเป็นไทย
ขอวิงวอนสิ่งศักสิทธิ์ทั้งแผ่นดินและสากลโลก คุ้มครองทุกท่านให้แคล้วคลาดโภยภัย อย่างได้ต้องเป็นเหมือนเรื่องราวทหารในกระทู้นี้เลย
ขอบพระคุณผู้กล้าทุกท่านครับ ที่ทำให้คนด้านหลังยังกินอิ่มนอนหลับ
โดยคุณ pinkmaster เมื่อวันที่
11/02/2010 00:50:35
ความคิดเห็นที่ 3
แล้วยังอยากจะคิดให้รบกันอีกหรือครับ ถ้าผลกระทบมันตามมาถึงขนาดนี้ ของไทยยังไม่เป็นข่าวเท่าไหร่ครับ แต่มีแน่ๆ
โดยคุณ
nok 
เมื่อวันที่
11/02/2010 04:59:18
ความคิดเห็นที่ 4
ไม่เชิงครับ ปัญหานี้มีมาก่อนสงครามด้วยซ้ำ อย่างก่อนสงครามอ่าวอัตราการหย่าร้างของทหารอเมริกันอยู่ที่18%เกือบหนึ่งในห้าของกำลังพล การฆ่าตัวตายก็อัตราสูง
ปีที่แล้วได้ข่าวว่าทางกองพลส่งกำลังทางอากาศที่ 101ออกคำสั่งห้ามการฆ่าตัวตาย ไม่รู้ว่าเขาลงโทษกันอย่างไร
โดยคุณ Oldtimer เมื่อวันที่
11/02/2010 08:43:00
ความคิดเห็นที่ 5
แต่จะว่าไป ผมก็ติดนิสัยขับรถคร่อมเลนแฮะ พักกลับบ้านทีไรช่วงแรกๆเป็นทุกที รวมถึงติดการมองตรวจสอบรถแปลกๆ ตอนเวลาพัก
แต่จะว่าไป ฝ่ายตรงข้ามเองก็พยายามวางหนูแดงให้ถึงกลางถนน สงสัยต่อไปต้องขับรถแบบสลาลมเอาให้งงกันไปข้างทั้งฝ่ายเราและฝ่ายตรงข้าม หุหุ
โดยคุณ
FW190 
เมื่อวันที่
11/02/2010 09:44:56
ความคิดเห็นที่ 6
^
^
^
มิน่า ถึงเริ่มมีอาการเพี้ยนๆ ตั้งแต่นึกว่าตัวเองคล้ายติ๊ก(เจษฎาภรณ์) อีกหน่อยไปๆมาคงจะกลายร่างเป็นหมวดเคน(ธีรเดช)ไปอีก 555555 และที่สำคัญตัวอยู่นราฯ แต่ชอบเพ้อถึงยุทธการหัวหิน อาการแบบนี้ถ้าเป็นขั้นต้นยังพอควบคุมได้ 555555
โดยคุณ
nok 
เมื่อวันที่
11/02/2010 10:30:26
ความคิดเห็นที่ 7
^
^
^
หรือจะให้เปลี่ยนเป็น "Operation Nok Air" หุหุ ^_^ ^_^ ^_^
โดยคุณ
FW190 
เมื่อวันที่
11/02/2010 12:03:22