หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


ขออนุญาติโพสกระทู้รวม คำสั่งสอนเกี่ยวกับธรรมะ น่ะครับ

โดยคุณ : Ronin เมื่อวันที่ : 11/06/2010 17:57:21


"จงรักชาติ แต่อย่างคลั่งชาติ" (ว.วชิรเมธี)

"ทุกคนต้องการความสมหวังในชีวิตรัก แต่ความรักไม่เคยให้ความสมหวังแก่ใครถึงครึ่งหนึงแห่งความต้องการ" (พระอานนท์ พุทธอนุชา)




ความคิดเห็นที่ 1


"สรุปแล้วความไม่ประมาทคือ ความไม่ตายใจ ความไม่นอนใจ ไม่ไว้ใจในสังขารทั้งหลายเหล่านั้น ส่วนใดที่เป็นความดีควรได้ควรถึง ให้มีความพยายามสร้างสรรค์ขึ้นให้มีในตน บุคคลผู้นั้นจึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาท"
             
        พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์
                      (2449-2504)
        บูรพาจารย์ ของพระธรรมยุต จันทบุรี



       

ฝากถึงโยมวมต.และแอดมิน   ไปๆมาๆอาตมาก็จะบวชครบ1ปีแล้ว
ไม่ได้เข้าเว็บมานานเห็นความเปลี่ยนแปลงเยอะ ก็ขอฝากแอดมินทั้งหลาย
ทำใจสบายๆก่อนตัดสินอะไรก็แล้วกัน เด็กๆสมัยนี้ ดื้อกว่ารุ่นเราๆเยอะ

ขอเล่าเรื่องตลกให้ฟังนิดๆ
ที่วัดอาตมา มีเณรมาบวชอยู่องค์หนึ่งอายุ7ขวบ
เณรองค์นี้กวน และดื้อมากถึงมากที่สุด
ขอเล่าให้ฟังสัก1เรื่อง

ขณะที่กำลังฉันข้าวที่โรงฉันกันอยู่นั้น โดยปกติพระที่ฉันอิ่มแล้วก็จะลุกเอาบาตรไปล้าง เณรก็เช่นกัน อาตมาสังเกตเห้นว่าเณรเอาบาตรไปวางไว้กับโต๊ะโดยไม่มีเชิงรองบาตร อาตมาก็เตือนว่า
พระ: เณรอย่าเอาบาตรไปวางกับโต๊ะเฉยๆซี่ เดี๋ยวเผลอปัดบาตรตก มันผิดวินัยนะ
เณร:ครับ หลวงพ่อ(ดูๆๆ อาตมายังไม่แก่ขนาดนั้นนะ)
ว่าแล้วเณรก็ปิดฝาบาตร แล้ว .....................

จับคว่ำลง  โอ้  .........เณรไม่ได้เอาก้นบาตรลงแล้ว เอาคว่ำลงเลย
แหม่ ......... ฉลาดอย่างนี้ มันน่าจับนั่งคนเดียวในป่าช้า 

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า พระไม่ผิด แต่เณรฉลาด ...........


ฝากบอกชาวTFCที่อยู่ภาคตะวันออก สำนักฝนหลวงย้ายจากอู่ตะเภามาอยู่ที่สนามบินจันทบุรี (ท่าใหม่) เครื่องที่ใช้เป็นcessna น่าจะรุ่นcaravan  3ลำ
รวมถึง มี O-2ของทร.  PC-6กองบินเกษตร ด้วย  ยังบินปร๋อ โชว์ในงานด้วย ไม่ทราบว่าจะมาประจำหรือเปล่า  หมายเลขจำไม่ได้ พอดีไปรับนิมนต์สวดเปิดงานกับวัดอื่น เลยมาแจ้งข่าว หากจะไปแอบถ่ายกัน
ฝากเท่านี้ เจริญพร


โดยคุณ icy_CMU เมื่อวันที่ 21/04/2010 09:06:56


ความคิดเห็นที่ 2


"จงรักชาติ แต่อย่าคลั่งชาติ" (ว.วชิรเมธี)

โดนมากครับคำนี้ โดยเฉพาะในยุคนี้....

คงไม่ต้องยกตัวอย่างเยอรมนีกับญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองให้ดูนะครับ ว่าคลั่งชาติแล้วมันเป็นยังไง

แต่หลายๆคนคิดว่าการคลั่งชาติคือการรักชาติ ผมคิดว่าทั้งสองคำมีความหมายใกล้เคียงกันอยู่

รักชาติ หมายถึง การมีชาตินิยม การยอมเสียสละเพื่อชาติ พร้อมที่จะปกป้องประเทศชาติ

คลั่งชาติ หมายถึง การคิดว่าชาติตนเหนือกว่าชาติอื่น เพื่อผลประโยชน์ของชาติ ถึงแม้จะทำสงครามยึดครองชาติอื่นก็ถือว่าเป็นการรักชาติ ชาติของตนไม่ผิด (ไม่อยากยกตัวอย่าง) ผมว่าเป็นการรักชาติแบบผิดๆ

ไม่รู้ว่าคนที่เทิดทูนชาติอื่นและบังคับให้ซื้ออาวุธและคบกับชาติตามที่ตนต้องการเท่านั้น และก็ห้ามกับชาติที่ตนไม่ชอบ จะเรียกว่ารักชาติหรือคลั่งชาติดี 555+

คำเตือน ความคิดส่วนตัวล้วนๆครับ

โดยคุณ tan02 เมื่อวันที่ 20/02/2010 01:02:37


ความคิดเห็นที่ 3


ผมเคยอ่านหนังสือธรรมเล่มหนึ่งแต่จำชื่อผู้แต่ไม่ได้  จึงขอยกถ้อยคำที่พอจำได้มาเผยแพร่ต่อขออนุญาติไว้ ณ ที่นี้ครับ...

ไม่มีใครทำให้เราทุกข์ได้   ไม่มีใครทำให้เราเจ็บใจได้  ที่เราทุก เราเจ็บ  เพราะสิ่งที่อยู่ในตัวเราที่เรามองไม่เห็นด้วยสายตา..  ไม่สามารถตรวจได้ด้วยเครื่องมือแพทย์    สิ่งนั้นเรียกว่าจิต...    เพราะมันยึดมั่นกับสิ่งต่างๆจึงทำให้เรารู้สึก  แต่หากเราควบคุมมันได้...  เราก็สามารถควบคุมความรู้สึกได้   การควบคุมมันไม่ยากเพียงแต่มีสติเมื่อมีสติรู้อยู่ตลอดจิตจะไม่วุ่นวายฟุ้งซ่าน  และหากสติประกอบการละ  คือไม่ถือมั่นกับสิ่งที่เป็นอบาย  เป็นอารมณ์   เมื่อนั้นจิตจะไม่เกิดทุกข์

โดยคุณ อีแอบ เมื่อวันที่ 20/02/2010 04:48:06


ความคิดเห็นที่ 4


ยาทิสํ  วปเต  พีชํ       ตาทิสํ  ลภเต  ผลํ

กลฺยาณการี  กลฺยาณํ        ปาปการี    ปาปกํ.

        “บุคคลหว่านพืชเช่นใด  ย่อมได้ผลเช่นนั้น ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้ผลดี  ผู้ทำกรรมชั่ว  ย่อมได้ผลชั่ว.”

สํ.. ๑๕/๓๓๓


พระฝากมาให้1 พุทธภาษิตนะ โยมวมต.

โดยคุณ icy_CMU เมื่อวันที่ 24/02/2010 00:45:41


ความคิดเห็นที่ 5


สาธุ สาูธุ

พระไอซี่ สบายดีน่ะครับ
โดยคุณ Ronin เมื่อวันที่ 24/02/2010 01:52:16


ความคิดเห็นที่ 6


น่าเสียดาย ที่เรามีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
แต่เรากลับศรัทธาไสยศาสตร์หัวปักหัวปำ

น่าเสียดาย ที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่แสนดี
แต่เรากลับมีคนโกงกินเต็มบ้านเต็มเมือง

น่าเสียดาย ที่เรามีวัดอยู่เกือบทุกหมู่บ้าน/ตำบล
แต่เรากลับมากด้วยคนขาดจริยธรรมอยู่ทั่วไป

น่าเสียดาย ที่เราสถาปนาประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ. 2475
แต่เรากลับมีปฏิวัติ/รัฐประหารมาแล้ว 14 ครั้ง


น่าเสียดาย ที่เรามีมหาวิทยาลัยมากมายติดอันดับโลก
แต่เรากลับโชคร้ายที่คนไทยชอบดูดวงบวงสรวงเทพยดา

น่าเสียดาย ที่เรามีป่าไม้-แม่น้ำ-ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์
แต่เรากลับเทิดทูนการทำลายแทนการรักษา


น่าเสียดาย ที่เรามีศิลปวัฒนธรรมเป็นของตนเอง
แต่เรากลับเก่ง “การลอกเลียนแบบ” เป็นที่สุด

น่าเสียดาย ที่เรามีสื่อมวลชนมากมายไร้พรมแดน
แต่เจ็บปวดเหลือแสนเมื่อสื่อมวลชนมุ่งแต่การขายสินค้า

น่าเสียดาย ที่เรามีกฎหมาย
แต่เรากลับปล่อยให้มีการใช้กฎหมู่จนเป็นเรื่องธรรมดา

น่าเสียดาย ที่เรามีหนังสือมากมายหลายพันเล่มในห้องสมุด
แต่สถิติสูงสุดคือเราอ่านหนังสือกันปีละ 8 บรรทัด


น่าเสียดาย ที่เรามีอินเตอร์เน็ตใช้ก่อนประเทศในโลกที่สาม
แต่เรากลับเสื่อมทรามเพราะใช้ส่งภาพถ่ายคลิปโป๊

น่าเสียดาย ที่เรามีโทรทัศน์หลายสิบช่อง
แต่เรากลับจ้องจะดูแต่ละครน้ำเน่า


น่าเสียดาย ที่เรามีพ่อแม่อยู่ในบ้าน
แต่เรากลับปล่อยให้ท่านอยู่อย่างเปลี่ยวเหงา

น่าเสียดาย ที่เราสามารถกลับตัวเป็นคนดีได้
แต่เรากลับชอบใจที่จะเป็นคนเลวตลอดกาล

น่าเสียดาย ที่เราเป็นอิสระจากความอยากได้
แต่เรากลับพึงใจอยู่กับการสนองความอยาก

น่าเสียดาย ที่เราบรรลุนิพพานได้ในชาตินี้
แต่เรากลับยินดีอยู่แค่การทำบุญให้ทาน

 

ว.วชิรเมธี

 

โดยคุณ spit เมื่อวันที่ 24/02/2010 13:41:23


ความคิดเห็นที่ 7


ถ้าเราไปเพ่งเล็งคนอื่นว่า คนนั้นชั่วคนนี้ดี แสดงว่า เราเลวมาก

เราควรจะดูใจของเราต่างหากว่า เรามันดี หรือ เรามันเลว

ถ้าเราดีเสียอย่างเดียว ใครเขาจะเลวร้อยแปดพันเก้า

ก็เรื่องของเขา

ถ้าเราดีแล้ว ก็หาคนเลวไม่ได้
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

โดยคุณ O.B. เมื่อวันที่ 04/03/2010 21:30:51


ความคิดเห็นที่ 8


ประทานโทษ................เวปมาสเตอร์หรือท่านใด ????????????????????

 

ลบข้อความกระทู้ ที่บอกว่าการเป็นพระ แบบมีภรรยาได้ของผมออก........................

 

ขอความกรุณานำกลับมาใส่ไว้ดังเดิมเดี๋ยวนี้...................

 

คุณกำลัง ประมาท และดูถูกความคิดของผมมาก..................(ผมโกรธจริงๆ อันนี้พูดจริงไม่ใช่เล่น)

 

ถ้าไม่สามารถนำกลับมาใส่ได้ กรุณาแสดงตัวมาเดี๋ยวนี้............

 

ผมจะสั่งสอน(เรื่องเกี่ยวกับธรรมะ)คุณเอง

โดยคุณ กบ เมื่อวันที่ 10/06/2010 09:53:50


ความคิดเห็นที่ 9


อารมณ์พระโสดาบัน
            ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย เวลานี้ท่านทั้งหลายได้สมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อไปนี้ขอได้โปรดฟังคำแนะนำ อารมณ์ของพระโสดาบัน
            สำหรับวันนี้จะได้พูดถึงอารมณ์ของท่านที่ทรงความเป็นพระโสดาบัน ท่านทั้งหลายจะได้ทราบไว้ว่า คนที่เป็นพระโสดาบันแล้วมีอารมณ์เป็นยังไง ส่วนใหญ่คนทั้งหลายมักจะมีความรู้สึกว่า คนที่เข้ามาเจริญพระกรรมฐาน หรือสมถภาวนา หรือ วิปัสสนาญาณ และเริ่มเข้ามาเจริญแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องตัดหมดนั้นเป็นความรู้สึกผิดของท่านผู้มีความคิดอย่างนั้น
            ความจริงการเจริญพระสมณธรรมมีอารมณ์เป็นขั้น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านที่ทรงจิตเป็น ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิหรือ อัปปนาสมาธิ สำหรับอัปปนาสมาธินี้หมายถึงอารมณ์ฌาน ตั้งแต่ฌานที่ 1 ถึงฌานที่ 8 อารมณ์ประเภทนี้จะระงับได้เพียงนิวรณ์ 5 ประการ แต่ก็เป็นเพียงระงับเท่านั้นไม่ใช่ตัด ถ้ายังมีความประมาทจิตคิดชั่ว ฌานก็สลายตัว เป็นอันว่าผู้ทรงฌานโดยเฉพาะอย่างยิ่งฌานโลกีย์ ยังไม่มีความหมาย ในการเจริญสมณธรรมในพระพุทธศาสนา ถึงแม้ว่าท่านผู้นั้นจะได้มโนมยิทธิก็ดี ได้อภิญญา 5 ในอภิญญา 6 ก็ดี ได้ 2 ในวิชชาสามก็ดี ก็ยังไม่มีความหมายในการตัดอบายภูมิ ท่านที่จะตัดอบายภูมิได้จริง ๆ ก็คือ ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป
            คำว่า พระโสดาบัน แปลว่า ผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน
            ฉะนั้นพระโสดาบันก็ยังตัดอะไรไม่ได้หมด เป็นแต่เพียงว่ามีอารมณ์ชนะสังโยชน์ 3 ประการเบื้องต้น แต่เพียงอย่างอยาบเท่านั้น อารมณ์ชนะสังโยชน์ 3 ประการเบื้องต้นก็คือ             1. สักกายทิฏฐิ ที่มีความรู้สึกว่าสภาพร่างกายหรือว่าขันธ์ 5 เป็นเรา เป็นของเรา เรามีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 มีในเรา เฉพาะอย่างยิ่งในด้านสักกายทิฏฐินี้ พระโสดาบันลดลงมาได้เพียงเล็กน้อย ยังมีความรู้สึกว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเราอยู่ แต่ทว่ามีอารมณ์ไม่ประมาท มีความรู้สึกอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ที่ท่านกล่าวว่าบรรดาพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี เป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิเล็กน้อย คำว่าสมาธิเล็กน้อย คือ อารมณ์สมาธิของท่านผู้เจริญฌานสมาบัติ มีอารมณ์ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป ยังไม่ถึงฌาน 4 ก็สามารถจะเป็นพระโสดาบันได้
            สำหรับที่ว่ามีปัญญาเล็กน้อย ก็เพราะว่ายังไม่สามารถตัดขันธ์ 5 ได้เด็ดขาดด้วยกำลังของจิต ยังมีความรู้สึกว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา แต่ทว่าความรู้สึกของท่านมีความดีอยู่หน่อยหนึ่งว่าเราจะต้องตาย ยังไง ๆ ก็ต้องตายแน่ เหมือนกับที่เปสการีมีอารมณ์คิดถึงคำสั่งสอนของสมเด็จพระธรรมสามิสร ที่ทรงตรัสว่า
            ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ท่านทั้งหลายจงอย่ามีความประมาทในการสร้างความดี
            นี่ความรู้สึกของพระโสดาบันในด้านสักกายทิฏฐิ มีอยู่จุดนี้เข้าใจไว้ด้วย มีคนพูดกันว่าถ้าเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน จะต้องสามารถระงับทุกขเวทนาได้หมด ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ร้อน ไม่หนาว นี่ไม่ใช่ความจริง ร่างกายยังมีความรู้สึก ร่างกายยังมีมีจิตเป็นเครื่องรักษา ร่างกายยังมีวิญญาณรู้การสัมผัส ถึงแม้ว่าพระอรหันต์ก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดีก็ยังรู้สึก รู้สึกเจ็บ รู้สึกปวดเหมือนกัน
            นี่ว่ากันถึงอารมณ์ของพระโสดาบัน เมื่อจิตเข้าถึงพระโสดาบันแล้ว มีความไม่ประมาทในชีวิต มีความรู้สึกเสมอว่าเราจะต้องแก่ เราจะต้องตาย แล้วก็ขึ้นชื่อว่าความตายนี้ไม่มีนิมิตเครื่องหมาย ไม่ใช่ว่าจะไปกำหนดอายุการตายว่าต้องตายเท่านั้นเท่านี้ จะตายตั้งแต่ความเป็นเด็ก หรือ ความเป็นหนุ่มเป็นสาว ความเป็นคนแก่ อาการที่จะตาย อาจจะด้วยโรคภัยไข้เจ็บ อาจจะตายด้วยอุบัติเหตุ หรือตายเช้า ตายสาย ตายบ่าย ตายเที่ยง ตายกลางคืน ตายดึก ตายหัวค่ำก็เอาแน่นอนไม่ได้
            ฉะนั้น พระโสดาบันจึงไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าถ้าเราจะตายก็เชิญ แต่เราจะตายอยู่กับความดี อารมณ์ของพระโสดาบันที่จะคัดค้านคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินศรีนั้นไม่มี คือว่าเป็นคนไม่สงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่เป็นอันดับที่ 2 ที่เรียกว่า วิจิกิจฉา พระโสดาบันตัดสังโยชน์ตัวที่ 2 ได้ คือ ความสงสัย ที่เรียกว่า วิจิกิจฉา ขึ้นชื่อว่าความสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีในพระโสดาบัน เกิดขึ้นด้วยกำลังของปัญญา ที่พิจารณาหาความจริงว่า
            พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปัจจัยให้เกิดความสุข
            และอันดับ 3 สีลัพพตปรามาส พระโสดาบันย่อมทรงศีลบริสุทธิ์ตามฐานะของตัว คำว่า ฐานะของตัวก็หมายความว่า ถ้าเป็นฆราวาสก็มีศีล 5 เป็นปกติ มีศีล 5 บริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา ไม่มีเจตนาในการทำลายศีล รักษาศีลบริสุทธิ์ ไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง ไม่ยุให้บุคคลอื่นทำลายศีล แล้วก็ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว เป็นอันว่าพระโสดาบันเป็นผู้มีความทรงอารมณ์อยู่ในศีลเป็นสำคัญ หนักหน่วงในเรื่องของศีล ยอมตัวตายดีกว่าศีลขาด
            ที่กล่าวมานี้หมายความว่า สังโยชน์ 3 ประการนี่ พระโสดาบันปฏิบัติมีจิตเข้าถึงตามนี้ นี่ก็พูดกันไปว่าก่อนที่จะเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันจากโลกียะเป็นโลกุตตระ ตอนนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกว่า โคตรภูญาณ ขณะเมื่ออารมณ์จิตของท่านผู้ปฏิบัติเข้าถึงโคตรภูญาณ
            คำว่าโคตรภูญาณ นี่ก็หมายความว่า จิตของท่านผู้นั้น ยังอยู่ในระหว่างโลกียะกับโลกุตตระ
            แต่ทว่าอารมณ์ตอนนี้จะไม่ขังอยู่นาน บางท่านจิตจะทรงอยู่เพียงแค่ชั่วโมงหนึ่ง หรือไม่ถึงชั่วโมง และบางท่านก็อยู่ถึงอาทิตย์สองอาทิตย์ถึงเป็นเดือนก็มี สุดแล้วแต่ความเข้มแข็งของจิต ในช่วงที่จิตเข้าถึงโคตรภูญาณ ท่านกล่าวว่า ในขณะนั้นอารมณ์จิตของนักปฏิบัติ จะมีความรักพระนิพพานอย่างยิ่ง คือมีความรู้สึกอยู่เสมอว่ามนุษย์โลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี ไม่เป็นแดนแห่งความสุข ถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์ มันก็ทุกข์ตลอดเวลา ถ้าเกิดเป็นเทวดาก็พักทุกข์ชั่วคราว หรือ พรหมก็เช่นเดียวกัน ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีแล้วก็จะต้องจากเทวดา จากพรหมมาเกิดเป็นคนบ้าง บางรายก็เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นอันว่าเขตทั้ง 3 จุด ไม่มีความหมายสำหรับใจ
            จิตใจของท่านที่มีอารมณ์เข้าถึงโคตรภูญาณ ใจมีความต้องการอย่างเดียวคือ พระนิพพานเป็นปกติ
            แต่ทว่าพอจิตพ้นจากโคตรภูญาณไปแล้ว ก้าวเข้าสู่ความเป็นพระโสดาบันเต็มที่ ที่เรียกว่า โสดาปัตติผล ตอนนี้อารมณ์จิตของท่านละเอียดขึ้นมานิดหนึ่ง นอกจากจะรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ แล้วก็มีความรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันเป็นของธรรมดา
            การนินทาว่าร้ายที่จะปรากฏขึ้นกับบุคคลผู้ใดกล่าวถึงเรา จิตดวงนี้มีความรู้สึกว่า ธรรมดาของคนที่เกิดมาในโลกมันเป็นอย่างนี้ ความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้น การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเกิดขึ้น มีความรู้สึกหนักไปในด้านของธรรมดา แต่ทว่าธรรมดาของพระโสดาบัน ยังอ่อนกว่า ธรรมดาของพระอรหันต์มาก
            ฉะนั้น ท่านที่เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน จึงยังมีความรักในระหว่างเพศ ยังมีการแต่งงาน ยังมีความอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลง ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า ท่านกล่าวไว้แล้วว่า พระโสดาบันมีสมาธิเล็กน้อย และก็มีปัญญาเล็กน้อย หากว่าท่านทั้งหลายจะถามว่า ถ้าคนยังมีความรักในเพศ ยังมีการแต่งงาน ยังมีการอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลงก็ดูเหมือนว่าพระโสดาบันก็คือ ชาวบ้านธรรมดา
            แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น ความรักในระหว่างเพศก็ดี ความอยากรวยก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี ของพระโสดาบันอยู่ในขอบเขตของศีล เรารักในรูปโฉมโนมพรรณ มีการแต่งงานกันได้ระหว่างสามีภรรยาของตนเอง ยอมเคารพในสิทธิซึ่งกันและกัน จะนอกใจสามีและภรรยา ขึ้นชื่อว่า กาเมสุมิจฉาจาร จะไม่มีสำหรับพระโสดาบัน จะทำให้ครอบครัวนั้นมีอารมณ์เป็นสุข
            และประการที่ 2 พระโสดาบันยังมีความโกรธ ท่านโกรธจริง พูดเป็นที่ไม่ถูกใจท่านก็โกรธ ทำให้ไม่เป็นที่ไม่ถูกใจท่านก็โกรธ แต่ทว่าพระโสดาบันมีแต่อารมณ์โกรธ ไม่ประทุษร้ายให้เขามีการบาดเจ็บ และไม่ฆ่าคนหรือสัตว์ที่ทำให้ตนโกรธ ให้ถึงแก่ความตาย เป็นอันว่าความโกรธหรือความพยาบาทของท่าน อยู่ในขอบเขตของศีล จิตโกรธแต่ว่าไม่ทำร้าย คือ แตกต่างกับคนธรรมดาตรงนี้
            สำหรับด้านความหลงของพระโสดาบัน ที่ขึ้นชื่อว่าหลง เพราะยังมีความรักในเพศ ยังมีความอยากรวย เมื่อสักครู่นี้ข้ามคำว่าอยากรวยไป การอยากรวยของพระโสดาบัน คือ ต้องการความรวยในด้านสุจริตธรรมเท่านั้น เรียกว่า การทุจริตคิดร้ายคดโกงบุคคลอื่นใด ไม่มีในอารมณ์จิตของพระโสดาบัน ประกอบอาชีพด้วยความสุจริต เพราะอาศัยยังรักในความสวยสดงดงาม คือ รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่าเพศยังมีอยู่ ยังมีความอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลง เพราะว่ายังคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ยังมีของสวยของงาม การถือตัวถือตนแบบนี้ จึงเชื่อว่ายังมีความหลง แต่ความหลงของพระโสดาบันนั้น ไม่สามารถจะนำบุคลผู้นั้น ในเวลาแล้วไปสู่อบายได้
            จุดนี้ขอบรรดาท่านทั้งหลายผู้รับฟัง จงจำไว้ว่า ความจริงอารมณ์ของพระโสดาบันนั้น ไม่แตกต่างกับชาวบ้านธรรมดาเท่าไรนัก ชาวบ้านธรรมดา ยังมีความรักในเพศ ยังมีสามี ภรรยา แต่ทว่ายังมีการนอกใจภรรยา สำหรับพระโสดาบันไม่มี ชาวบ้านอยากรวยก็ยังมีการคบคิดกันคดโกง การโกงมีการยื้อแย่งฉกชิงวิ่งราวดูทรัพย์ สำหรับพระโสดาบันนี่ ถ้าต้องการรวยก็รวยด้วยการสุจริต หากินด้วยความชอบธรรม ต่างกันตรงนี้
            พระโสดาบันยังมีความโกรธ ชาวบ้านโกรธแล้วก็ปรารถนาจะประทุษร้าย ถ้ามีโอกาสก็ประทุษร้ายบุคคลที่เราโกรธ ถ้าสามารถจะฆ่าได้ก็ฆ่า สำหรับพระโสดาบันมีแต่ความโกรธ การประทุษร้ายไม่มี การฆ่าการประหารไม่มี นี่ต่างกันกับชาวบ้าน
            พระโสดาบันยังมีความหลง ตามที่ได้กล่าวมาด้วยอาการที่ผ่านมาแล้ว แต่ทว่าพระโสดาบันก็ไม่ลืมคิดว่า เราจะต้องตาย เมื่อเราตายแล้ว เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ตอนนี้พระโสดาบันไม่เสียใจ ไม่เสียดาย ถือว่าถ้าตายเราจะมีความสุข นี่ขอท่านทั้งหลายจำอาการอารมณ์จิตที่เข้าถึงพระโสดาบันไว้ด้วย
            ตอนนี้จะขอพูดอีกนิดหนึ่งถึงอารมณ์ความจริงของพระโสดาบัน ที่เรียกกันว่า องค์ของพระโสดาบัน
            คำว่า องค์ ก็ได้แก่ อารมณ์จิตที่ทรงไว้อย่างนั้นอย่างแนบแน่นสนิท นั่นก็คือ
            1.พระโสดาบันมีความเคารพในพระพุทธเจ้าอย่างจริงใจ ไม่คลายในความเคารพในพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะมีเหตุผลใด ๆ เกิดขึ้น ใครจะมาจ้างให้รางวัลมาก ๆ ให้กล่าวว่าพระพุทธเจ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระธรรมไม่ใช่พระธรรม พระสงฆ์ไม่ใช่พระสงฆ์ แม้แต่พูดเล่นพระโสดาบันก็ไม่พูด ทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าท่านมีความเคารพในพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระธรรม มีความเคารพในพระอริยสงฆ์อย่างจริงใจ แต่ทว่าระวังให้ดี ถ้าพระสงฆ์เลว พระโสดาบันไม่ใส่ข้าวให้กิน
            ตัวอย่าง ภิกษุโกสัมพี มีความประพฤติชั่ว ตอนนั้นฆราวาสที่เป็นพระอริยเจ้านับหมื่น ไม่ยอมใส่ข้าวให้กิน เพราะถือว่าเป็นโจรปล้นพระพุทธศาสนา เป็นผู้ทำลายความดี ไม่ใช่ว่าเป็นพระอริยเจ้าแล้วละก็ จะเมตตาไปเสียทุกอย่าง ท่านเมตตาแต่คนดีหรือว่าบุคคลผู้ใดมีความประพฤติชั่วท่าน แนะนำแล้วสามารถจะกลับตัวได้ พระโสดาบันก็เมตตา ถ้าเขาชั่วแนะนำแล้วไม่สามารถจะกลับตัวได้ พระโสดาบันก็ทรงอุเบกขา คือ เฉยไม่สงเคราะห์ โปรดจำอารมณ์ตอนนี้ไว้ให้ดี
            2. ในประการต่อไป พระโสดาบันมีศีลบริสุทธิ์ ขอพูดย่อให้สั้น เพราะองค์ของพระโสดาบันก็คือ
            (1) มีความเคารพในพระพุทธเจ้า
            (2) มีความเคารพในพระธรรม
            (3) มีความเคารพในพระอริยสงฆ์
            นี่จัดเป็นองค์ที่มี 3 ประการ
            (4) และสิ่งที่จะแถมขึ้นมาก็คือรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ทำทุกสิ่งทุกอย่างไม่หวังผลตอบแทน ไม่หวังความดีมีชื่อเสียงในชาติปัจจุบัน มีความรู้สึกต้องการอยู่อย่างเดียวว่าเราทำความดีทุกอย่างเพื่อพระนิพพานเท่านั้น อารมณ์จิตตอนนี้ขอบรรดาท่าพุทธบริษัทภิกษุ สามเณรทุกท่านต้องจำไว้ จงอย่าไปคิดว่าพระโสดาบันเลอเลิศไปถึงอารมณ์อรหันต์โดยมากมักจะคิดว่าอารมณ์ของพระอรหันต์เป็นอารมณ์ของพระโสดาบัน ก็เลยทำกันไม่ถึง นี่เป็นการคิดผิด ความจริงการเป็นพระโสดาบันเป็นง่าย มีอารมณ์ไม่หนักที่หนักจริง ๆ ก็ คือ ศีลอย่างเดียว
            ต่อไปนี้ขอพูดถึงอาการของพระโสดาบันที่จะพึงได้ พระโสดาบันจัดเป็น 3 ขั้น คือ
            1.สัตตักขัตตุง สำหรับที่ท่านเป็นพระโสดาบันมีอารมณ์ยังอ่อน จะต้องเกิดและตายในระหว่างเทวดาหรือพรหมกับมนุษย์อีกอย่างละ 7 ชาติ เป็นมนุษย์ชาติที่ 7 และเข้าถึงความเป็นอรหัตผล
            2. ถ้ามีอารมณ์เข้มแข็งปานกลาง ที่เรียกกันว่า โกลังโกละ อย่างนี้จะทรงความเป็นเทวดาหรือมนุษย์อีกอย่างละ 3 ชาติครบเป็นมนุษย์ชาติที่ 3 เป็นพระอรหันต์
            3.สำหรับพระโสดาบันที่มีอารมณ์เข้มแข็งเรียกว่า เอกพิชี นั่นก็จะเกิดเป็นเทวดาอีกครั้งเดียว มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็เป็นพระอรหันต์
            4.ที่พูดตามนี้ หมายความว่า ท่านผู้นั้นเมื่อเป็นพระโสดาบันแล้วเกิดใหม่ไม่ได้พบพระพุทธศาสนา จะต้องฝึกฝนตนเองอยู่เสมอทุกชาติ แต่ว่าความเป็นมิจฉาทิฏฐิในชาติต่อ ๆไป จะไม่มีแก่พระโสดาบัน เพราะว่า พระโสดาบันไม่มีสิทธิที่จะไปเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน จะเกิดได้แค่ช่วงแห่งความเป็นมนุษย์กับเทวดาหรือพรหมสลับกันเท่านั้น
            เป็นอันว่าพระโสดาบันนี่ ถ้าท่านทั้งหลายพิจารณาให้ดีแล้ว ก็มีความรู้สึกว่าเป็นของไม่ยาก
            หากว่าท่านจะถามว่า พระโสดาบันทั้งสัตตักขัตตุง โกลังโกละ และเอกพีชี มีอารมณ์ต่างกันอย่างไร
            ก็จะขอตอบว่า พระโสดาบันขั้นสัตตักขัตตุง มีจริยาคล้ายชาวบ้านธรรมดามาก ยังมีอารมณ์รุนแรงในความรัก ยังมีอารมณ์รุนแรงในความโลภ ในความโกรธ ในความหลง แต่ทว่าเป็นผู้มั่นคงในศีล ไม่ละเมิด
            สำหรับพระโสดาบันขั้นโกลังโกละ ขั้นโกลังโกละนี้มีอารมณ์เยือกเย็นมาก หรือว่ามีความมั่นในคุณพระรัตนตรัย มีศีลมั่นคงมาก ความจริงเรื่องศีลนี่มั่นคงเหมือนกัน แต่ว่าจิตท่านเบาบางในด้านความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความคำนึงถึงอารมณ์อย่างนี้มีอยู่แต่ก็น้อย ถ้ามีคู่ครองเขาจะโทษว่า กามคุณท่านจะลดหย่อนลงไป ความสนใจในเพศ ความสนใจในความโลภ อารมณ์แห่งความโกรธ อารมณ์แห่งความหลงมันเบา กระทบไม่ค่อยจะมีความรู้สึก
            สำหรับพระโสดาบันขั้นเอกพีชี ในตอนนี้อารมณ์ของท่านผู้นั้น จะมีอารมณ์ธรรมดาอยู่มาก ขอท่านทั้งหลายโปรดอย่าลืมว่า พระอริยเจ้าจะเป็นฆราวาสก็ดี จะเป็นพระก็ดี จะเป็นเณรก็ดี จะเป็นคนมีจิตละเอียด ไม่ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา และไม่ขัดคำสั่ง ไม่ฝ่าฝืนกฎระเบียบวินัยและกฏหมาย อันนี้เป็นอารมณ์ของพระโสดาบัน ที่ท่านทั้งหลายจะพึงทราบ
            สำหรับเอกพิชีนี่ ความจริงมีอาการจิตใจใกล้พระสกิทาคามี แต่ทว่าสิ่งที่จะระงับไว้ได้นั้น กดด้วยกำลังของศีล มีความรู้สึกว่าเราจะต้องประคับประคองศีลของเราให้แจ่มใสอยู่เสมอ มองดูความรักในระหว่าเพศ หรือว่าความร่ำรวย หรือว่าความโกรธ หรือหลงในระหว่างเพศ หลงในสภาวะต่าง ๆ เห็นว่าเป็นของไร้สาระ มีอารมณ์เบาในความปรารถนาในสิ่งนั้น ๆ แต่ทว่าก็ยังมีความปรารถนาอยู่
            เอาละ บรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครู เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ วันนี้คงไม่ได้อารมณ์แห่งการปฏิบัติ แต่ทว่าอารมณ์แห่งการปฏิบัติ ในความเป็นพระโสดาบันท่านฟังกันมาแล้วสองคืน ผมเองมีความรู้สึกว่า ท่านทั้งหลายคงจะรู้สึกว่าง่ายสำหรับท่าน แต่ถ้าหากว่าเห็นว่าอารมณ์ของพระโสดาบันยากนี่ ถ้าเป็นพระเป็นเณร ผมไม่ถือว่าเป็นพระเป็นเณร ผมถือว่าเป็นเถน เถนในที่นี้หมายความว่ามี สระเอ นำหน้า มีถอถุง และ นอหนู เขาแปลว่าหัวขโมย คือ ขโมยเอาเพศของพระอริยเจ้ามาหลอกลวงชาวบ้าน ตามปกติพระกับเณรนี่ต้องทรงศีลบริสุทธิ์อยู่แล้ว
            เอาละ พุดไปเวลามันเกินไป 1 นาที ก็ขอพอไว้แต่เพียงนี้ หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะเข้าใจ ต่อแต่นี้ไปขอท่านทั้งหลายตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น จะอยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม นั่งก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ นอนก็ได้ตามอัธยาศัย ทรงกำลังใจควบคุมความเป็นพระโสดาบันของท่านไว้ จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านเห็นว่าสมควร สวัสดี

 

คัดลอกมาจากเวป พลังจิต.....................

 

โดยคุณ กบ เมื่อวันที่ 10/06/2010 10:02:01


ความคิดเห็นที่ 10


สรุปคือ พระโสดาบัน  เป็นพระสงฆ์แท้ (เหมือนท่าน โกทัญญ) ที่ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วเห็นธรรม(การเกิดดับของอารมณ์) คือความรู้สึกว่ามีกายยึดมั่นในกาย รู้สึกเมื่อไร ก็หายตั๊บ (คำพูดท่านอาจารย์ชา) ไปทุกที เหมือนโกรธจัด พอรู้สึกปั๊บ มันก็หายตั๊บ ไปทันที่ มันเลยไม่มีอารมณ์ นั้นปรากฎ......................

 

โสดาบันยังมีกิเลสอยู่อีกพอควร ที่ละได้คือ ละกายไม่มีอารมณ์กายอย่างเดียว..................(ศิล 5 แบบ ยิ่งยวด และการหายลังเลสงสัยในธรรม (ก็เห็นแล้วว่า อารมณ์เมื่อเกิดแล้วหายตั๊บได้ การถึงแก่สิ้นกิเลส คือหมดทุกอารมณ์จึงไม่ใช่เรื่องโกหก) เป็นของแถมที่ตามมา)

 

โสดาบันยังละกามไม่ได้..............

ยังทำให้ความกำหนัด แบบแข็งปั๊งฟัดเป๋ง หาย ตั๊บ ไปไม่ได้....................(ต้องระดับอานาคามีขึ้นไป แข็งปั๊บ ดับปุ๊บ เหี่ยวทันที)  ท่านโสดาบันเหล่านั้นจึงยังเสพกาม มีเมีย มีสามี (เช่นนางวิสาขา เป็นโสดาบัน แต่โลกท่านดกมาก)  เพียงแต่ท่านถือศีล 5 เหนือชีวิต (ท่านเห็นแล้วว่าศีลคือการทำให้ทางสู่นิพานไม่มีขวากหนาม) .................. มีต่อ

 

โดยคุณ กบ เมื่อวันที่ 10/06/2010 10:10:45


ความคิดเห็นที่ 11


แก้..............เช่นนางวิสาขา เป็นโสดาบัน แตลูกท่านดกมาก)

 

ดังนั้นท่านจึงรักษาศีลข้อ3 คือกาเมสุมิจฉา ได้แบบ 100 เปอร์เซนต์......................... คือสันโดษในกาม มีเมียแต่น้อย คือมีคนเดียว  มีไว้แก้อย่างว่าจริงๆ.................... ส่วนเรื่องนอกลู่นอกทาง มีกุ๊ก มีกิ๊ก ท่านไม่กล้า......................

 

ในชีวิตจริง ท่านอาจเดีนชนไหล่ หรือเหยียบหัวแมทีนกับพระโสดาบันในตลาด แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว................... ซึ่ง ท่านเองก็รู้สึกโกรธ แต่ท่านจะไม่อาฆาต เพราะจะเป็นบาป แม้โกรธเพียงไหนท่านก็จะไม่ตามมาเบิ๊ดกระโหลก เพราะท่านรู้ว่าผิดศีลข้อแรกเต็มเปา......................

 

พระโสดาบัน ละความรู้สึมีกาย ทำให้อารมณ์กายดับวูบได้

พระสกิทาคามี คล้ายโสดาบัน แต่อารมณ์เบาบางกว่า

พระอนาคามี ละ ทำอารมณ์โกรธ อารมณ์กาม (คือเสพกาม และรสชาติอาหาร รวมถึงสิ่งสวยงามเพราะพริ้งพลิดเพลิน) หาย ต๊าปไปได้ ที่สำคัญคือ ท่านถือ ศีล 8 เป็นข้อวัตร

สามพระที่ว่านี้ ไม่จำเป็นต้องห่มผ้าเหลือง  นุ่งกางเกง ขี่มอตะไซด์ไปตลาดได้

สุดท้ายคือพระอรหันต์..............ดับหมดทุกอารมณ์   ท่านหลวงตาบัวกล่าวว่า ถ้าพระอรหันต์เหยียบงู ท่านจะสะดุ้งโหยง แล้วภายในชั่วแว็บเยวนั้น อารมณ์ก็จะหาย แต่ธาตุขันภายนอกอาจยังไม่ขาด อาจมีสั่นไหวตระหนก แต่อารมณ์จริงหายหมดแล้ว..................

ที่สำคัญคือ พระอรหันต์ ถ้ายังดำรงค์ขันธ์อยู่ ท่านจะเป็นภิกษุ และ สามเณรเท่านั้น

 

 

นี่.....................เอาหล่ะ ใครที่ลบข้อความผม ขอให้แสดงตัวออกมาเดี๋ยวนี้........................... แหมๆๆๆๆๆ     จะให้ว่ายังไงดี

 

 

ผมเชิญชวนให้เป็นพระ.......................ไม่ใช่ให้ไปเป็นภิกษุ แบบมีเมียได้  ไอ้อย่างหลังนี่ นรก.............................

 

 

โดยคุณ กบ เมื่อวันที่ 10/06/2010 10:27:59


ความคิดเห็นที่ 12


ขอบคุณท่านกบที่นำข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาเผยแพร่ในบอร์ดนี้ ขออนุโมทนาด้วยครับ

คนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจว่า พระโสดาบัน นั้นหมายถึงการเข้าถึงสภาวะธรรม ในระดับพระอริยขั้นต้น (หรือที่เรียกว่า เริ่มเข้าสู่กระแสนิพพานแล้ว) ด้วยการสามารถละสังโยชน์เบื้องต่ำได้ 3 ข้อ กล่าวง่ายๆ คือ สามารถลดอัตตา คือ ลดการยึดติด ว่านี่ตัวกูของกู (เห็นว่าทุกสิ่งมีเกิดก็ย่อมมีดับไปตามสภาพของมัน)  ต่อมาก็คือ ลดความลังเลสังสัยในพระรัตนตรัย ว่าถ้ายึดพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ (เอาแค่พระสุปฏิบันโน ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็พอแล้ว แต่ถ้าโชคดีได้พบพระอริยสงฆ์ด้วย ก็ถือเป็นว่าเป็นวาสนาของแต่ละบุคคลนะครับ)

ส่วนข้อสุดท้าย คือ พระโสดาบันเป็นผู้ถือศีลบริสุทธิ์ คือ ถือศีลจริงๆ ไม่ใช่ถือ แบบทำตามกันมา หรือ ถือเพราะคิดว่าเรามีศีลสูงกว่าผู้อื่น

ดังนั้น การเป็นพระโสดาบัน (การเข้าสู่กระแสนิพพาน) จึงยังไม่ใช่สภาวะท่านตัดกิเลสได้ทั้งหมด เพียงแต่ก็เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่า สิ่งใดมีเกิดสิ่งนั้นก็มีดับ (กฎของไตรลักษณ์) ส่วนพระอรหันต์นั้น ท่านไปถึงขั้นที่ว่า สิ่งใดไม่เกิด สิ่งนั้นก็ไม่มีดับ เลยทีเดียว (หมดสิ้นกิเลสแล้ว)

ฉะนั้น ที่ท่านกบว่า (ขอเดานะครับ เพราะไม่เห็นข้อความที่ถูกลบไป) การเป็นพระแบบมีเมียได้ นั้นหมายถึง ปถุชนคนธรรมดา ที่บรรลุธรรมขั้นโสดาบัน กล่าวคือ เป็นคนที่มีศีลมีธรรม เข้าใจตัวตนและสิ่งรอบข้างตามสภาวะธรรมแล้ว (รู้อารมณ์ตนเอง และสิ่งต่างๆ ว่ามีเกิดมีดับ) และยึดมั่นในพระรัตนตรัย (เป็นสัมมาทิฏฐิ) นั่นเอง

ส่วนพระภิกษุที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จนบรรลุธรรมขั้นโสดาบัน นั้น ก็เป็นกรณีของเรื่องการเป็นผู้บวชเรียนในพุทธศาสนา ที่มีศีล 227 ข้อกำกับอยู่แล้ว จึงไม่เกี่ยวกับสภาพของเรื่องฆราวาสครับ

อนึ่งผู้ที่บรรลุธรรมระดับพระอนาคามี นั้น ต้องเป็นนักบวชสถานเดียว เพราะฆราวาสธรรม (ศีล 5 หรือ ศีล 8) ยังไม่เพียงพอสำหรับท่านครับ อย่างน้อยก็ต้องศีล 10 ขึ้นไป
อันนี้หมายถึงระดับสามเณรก็เป็นพระอนาคามีได้ ใครที่เคยอ่านพุทธประวัติ ที่เกี่ยวกับ
พระสาวก บางท่าน ก็พอจะทราบว่า บางท่านเป็นพระอนาคมี ตั้งแต่ เป็นสามเณร หรือเริ่มทำพิธีปลงผมเพื่ออุปสมบทเลยทีเดียว  

 

 


 

โดยคุณ che เมื่อวันที่ 10/06/2010 12:28:20


ความคิดเห็นที่ 13


สาธุ สาธุ สาธุ

สวัสดีครับ คุณเช

 

ไม่นึกว่า จะได้พบผู้แสวงหาธรรมแท้ ในที่นี้ครับ...................

 

เคยอ่านบทความของสุปัติปัณโน ท่านฤาษีลิงดำกล่าวว่า........................ การเป็นโสดาบันเป็นเรื่องไม่อยาก  ขอแต่ว่าเครื่องผยุงธรรม(ธรรมชาติชั้นสูง) คือศีล (ศีลเปรียบเหมือนเรือ ธรรม(การได้สัมผัสรับรู้ธรรม) เป็นเหมือนของที่บรรทุก เรือที่จะนำไปใส่ธรรมระดับโสดาบันคือศีล5 แบบไม่ด่าง ไม่รั่ว  และที่สำคัญ ใช้สมาธินิดหน่อย ถ้าฟลุ๊ค อาจไม่ต้องถึงขั้น ฌาณ แค่อุปจารสมาธิ เพ่งดีๆ ก็อาจพอเห็นสภาวธรรมแท้ได้..........................

ส่วนตัว ทุกวันนี้ เรื่องศีลทำได้จริงๆแค่ 2 ข้อ อีกสามข้อ ยังลูกคนลูกผี................ คือข้อแรกแม้ไม่ฆ่าสัตว์เป็นที่แน่นอนแล้ว อันนี้ยืนยันได้ทำมานานจะเข้าสันดานแล้ว โดยเพาะกับเดรัจฉาน แต่เวลากับมนุษย์ด้วยกัน โจ๋รู้สึกจี๊ดทีไร ปากมันยังแกว่งเข้าไปจะรับเท้า แม้ไม่เคยคิดจะฆ่าใคร แต่โกรธจัดขอให้ได้สักฉาดจะรู้สึกพอใจ...................  เรื่องคู่ครอง  แต่งงานแล้ว และปวารณา จะไม่ขอนอกใจ ที่ทำนี้ไม่ได้คิดแต่ว่าเป็นศีล นึกว่าเป็นเวรกรรม   เรานอกใจเขา เขารู้หัวใจสลาย เขาไม่รู้เรากระหยิ่มดีใจ  ..........

 อกเขาอกเรา เราไม่อยู่บ้าน ดอกรักเล่นชู้ เรารู้หัวใจเราแทบสลาย เราไม่รู้ หัวมีเขาชาวบ้านเรียกว่า ฟาย  ฉนั้นทุกท่านอย่าได้ผยองได้ใจ  แต่ที่ผ่านมาลายเก่ายังไม่หมด สายตาก้อล่อก็ติคยังติดเป็นสันดาน เอามันปากสะใจ สุดท้ายตามมาถึงเตียงนอน ตีกันเชียงหักหลบ แค่ลูบคลำ แต่ติดเบรคไม่เข้าฮอร์ส  เล่าให้เพื่อนฟังบอกมาผิดเวลา ย้อนหลังห้าปีไม่มีปัญหาของชิวๆ บางคนบอกโง่ บางคนบอกฟาย บางคนไม่เชื่อ  ทุกใจอยู่นานสารภาพกับหล่อน เป็นเรื่องให้งอนไปสักพัก ...........ไม่ขาดแต่รูโหว่เลยข้อนี้..................มีต่อ

โดยคุณ กบ เมื่อวันที่ 11/06/2010 03:12:40


ความคิดเห็นที่ 14


เรื่องโกหกไม่ต้องพูด ก่อนบวช 1 ปี สัญญาจะรักษาข้อนี้ให้ได้  แทบจะไม่โกหก จนสึกจากบวช เป็นมาได้สักพักเข้าสู่สังคมระบบงาน มันก็กร่อน ทุกวันนี้ถ้าเป็นเรื่องงาน ตลบแตลงตอแหลไม่ต้องพูดถึง พูดหยาบสบด กร่นด่าครบชุด ชิบหาย เควี้ย ห่า สารพัดเต็มปาก......... แต่ยังพูดความจริงกับกัลยาณมิตร อย่างน้อยเพื่อนแท้ข้างกายคือเมียเรา จะไม่โกหก........................

 

ลักทรัพย์ ...................... เกลียดที่สุดคือการถูกขโมย     ทุกครั้งที่ผมติดกุญแจบ้าน ผมจะมีบาปติดที่ใจ คือทุกครั้งที่ติดกุญแจผมจะสาปแช่งขโมย  เพราะมรึงแท้ๆ ที่ให้กรูต้องยุ่งยาก ยืนหอบกระเป๋าติดกุญแจ ยืนเย่ง ขะเหยงๆ เป็นทุกข์ ถ้าไม่มีพวกมรึงกรูคงไม่ลำบากดังนี้.............................. พยาบาทอาฆาต พลอยเป็นปาบ เวรกรรม จริงจริ๊ง...............

ในงานทุกวันนี้ โกงกันทั้งวงการ (งานวิศวกรรมก่อสร้าง) รวยกันเอารวยกันเอา........................ ตามน้ำ ทวนน้ำ ฝางน้ำ มีหมด.......................

แต่ที่รู้สึกตะหงิดๆ ทุกวันนี้คือการโยก.................. เป็นนายคน เลี้ยงคนเลี้ยงลูกน้อง....................... ครั้นจะให้บรรลุถึงศีล ลูกน้องมันจะเห็นดีด้วยหรือเปล่า........................  เงินดี งานเดิน ต้องมีตบรางวัล..................... มนุษย์เงินเดือนก็เท่าน้ ใหนส่งบ้านส่ง แม่ ส่งเมีย   ให้เลี้ยงพวกมรึงด้วยเงินตัวเองเห็นที่ต้องพับเสื่อใส่กระเป๋า

โดยคุณ กบ เมื่อวันที่ 11/06/2010 03:38:43


ความคิดเห็นที่ 15


หนักนัก ก็หาบิลมาโยก เอาเงินมาจ่าย ใช้เลี้ยง..................

ขโมยนายจ้างมาให้ลูกน้อง............................... ปาบหน่ะบาปแน่.................. "เช็ดแม่ !!!"    สบดหยาบ ระยำในใจมืดบอด..............."เมื่อไหร่กรูจะรวย ซะที  ไม่ต้องทำมาหาแดร.........ก   จะได้ไกลจากความระยำพันนี้".................................

เวรกรรม เวรกรรม........................ นี่รึ................... เรือของผม ที่จะนำไปใส่   ธรรมชาติอันเลิศล้ำ ขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า..............

ท้อใจละเหี่ย และน้อยใจ.....................

 

 

โดยคุณ กบ เมื่อวันที่ 11/06/2010 03:47:52


ความคิดเห็นที่ 16


เอ...........ท่านเช ครับ.....................ชักแรง รู้สึก สติขาด ตัวหนังสือมันพาอารมณ์ไป  ........... หลงสังขาร พลอยปรุงไปกับอารมณ์เสียแล้ว..............

 

 

เอาเป็นว่าอ่านเล่นๆ แก้กลุ้มกันนะครับ อย่าถือสา หาสาระ อะไรกะผมมากนัก  วันไหนเจอตัวเองจะๆ จะมาเล่ามาบอก..............

 

ท้ายนี้ ยังคิดว่า เรือลาดตระเวณหนัก ขนาดศีล8 น่าจะมีระวางขับพอที่จะพยุง ธรรมชาติระดับ อานาคามีได้ครับ.............

เนื่องจาก ลว.หนัก ชั้นศีล8  มีอาวุธหลักที่เด็ดขาดในการกำจัดกามที่ลอยลำอยู่ข้างหน้า อยู่3ข้อ .............คือ การงดอาหารเย็น งดการนอนในที่นุ่ม และงดการร่วมประเวณี.........................

และตามที่กล่าว พระเจ้าสุธโธธนะ พระราชบิดาของ พระสิทธัทถะ ซึ่งภายหลังก็คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า........  พระเจ้าสุทโธธนะ นี้ก็เป็นพระอานาคามี ครับ....................... สุดท้ายทรงประชวน พระพุทธเจ้าเห็นว่าน่าจะเป็นวาระสุดท้ายจึงเสด็จเยี่ยม    ทรงแสดงธรรมจนท่านเห็นธรรมชั้นสูงสุด สำเร็จเป็นอรหันต์  หลังจากนั้น อีก 7 วันก็ ปรินิพาน...............มีต่อ  

โดยคุณ กบ เมื่อวันที่ 11/06/2010 04:02:03


ความคิดเห็นที่ 17


สำหรับเด็กๆ หรือเณรเล็กๆ ได้เห็นธรรมจนบรรลุ ท่านผู้รู้หลายท่านว่ามีเยอะครับ....................

ส่วนหนึ่งเป็นพระอริยะขั้นต้นเช่นโสดาบัน (พระอานาคามีหลังจากสิ้นแล้วจะไปเกิดในที่สูงชั้นพรหม และสำเร็จอรหันต์ในชั้นนั้น ไม่กลับมาโลกอีกแล้ว)  กลับมาเกิด เมื่ออายุขัยได้วัยราว 7 ขวบ จะเห็นธรรมได้เองโดยธรรมชาติ และจะละกิเลสได้ตามกำลังบุญ บางท่าน ยังเป็นพระโสดาบันอีกจนสิ้นอายุไข บางท่าน สำเร็จเป็นอรหันต์เลยก็มี ซึ่งท่านก็จะบรรพชาเป็นสามเณร...............

เรื่องแปลก ที่ได้รับฟังมา ไม่ยืนยันจากผู้รู้ ว่า................... เมื่อ ปุถุชนใด สำเร็จเป็นอรหันต์ ต้องเข้าสู่การเป็นนักพรตในพุทธศาสนาภายใน 7 วัน   มิเช่นนั้น ท่านจะต้องดับขันธ์ นิพพานลง................. บ้างว่า ปกติศีล 5 หรือ 8 ไม่สามารถรับได้ (เอาเรือพิฆาตไปติดปืน 16 นิ้วระดับนิวเจอร์ซี่)  บ้างว่า เมื่อท่านเลือกจะไม่เป็นนักพรตแล้ว ท่านก็จะไม่เป็นฆารวาส เพราะถ้าท่านไม่เปิดเผยหรือบอกใคร หากมีผู้ประมาทล่วงเกินโดยวิสาสะ คือไม่ทราบจริงๆว่าท่านเป็นอรหันต์ บุคคลนั้นจะบาปยิ่งนัก    ท่านจะรู้ตนเองว่า ธรรมชาติเลิศล้ำที่มีอยู่นี้ จะสร้างภัยให้คนอื่น จึงต้องละขันธ์ไป

 

จบ

โดยคุณ กบ เมื่อวันที่ 11/06/2010 04:14:53


ความคิดเห็นที่ 18


พระเจ้าสุทโธธนะ นี้ก็เป็นพระอานาคามี ครับ....................... สุดท้ายทรงประชวน พระพุทธเจ้าเห็นว่าน่าจะเป็นวาระสุดท้ายจึงเสด็จเยี่ยม    ทรงแสดงธรรมจนท่านเห็นธรรมชั้นสูงสุด สำเร็จเป็นอรหันต์  หลังจากนั้น อีก 7 วันก็ นิพาน  แก้ตรงนี้ด้วยครับ
โดยคุณ กบ เมื่อวันที่ 11/06/2010 04:22:11


ความคิดเห็นที่ 19


ขอบคุณครับท่านกบ  ท่านกล่าวเรื่องพระอนาคามีไว้ถูกต้องแล้วครับ

ผมขอเพิ่มเติมสักอีกเล็กน้อยเพื่อเป็นกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติธรรมครับ
ว่าพระอนาคามี เมื่อท่านละสังขารแล้ว ส่วนใหญ่ท่านก็จะไปปฏิบัติธรรมต่อที่พรหมชั้นสุทธาวาส และนิพพานในพรหมชั้นนี้ครับ แต่ก็มีบางท่านที่ไปนิพพานในพรหมชั้นที่สูงกว่านี้


 

ท่านที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

http://www.daowadung.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=226101


โดยคุณ che เมื่อวันที่ 11/06/2010 06:57:20