เมื่อเสือบินอวดโฉมเหนือฟ้าสยาม
โดย...พ.อ.อ.รัชต์ รัตนวิจารณ์
.......................................................................................
วันที่ 24 ตุลาคม 2484 เครื่องบินขับไล่แบบ พี-40 จากหน่วยบินอาสาสมัครอเมริกัน หรือ"เสือบิน" (American Volunteer Group = AVG or " FLYING TIGER") จำนวน 3 เครื่องที่ถูกดัดแปรให้เป็นเครื่องบินขับไล่ลาดตระเวณ ทำการบินโดย Robert Sandell (ผู้บังคับฝูงบิน Adam & Eves ) , John Newkirk (ผู้บังคับฝูงบิน Panda Bears ) และ Arvid Olson (ผู้บังคับฝูงบิน Hells Angels ) บินล้ำน่านฟ้าของประเทศไทยทางเหนือลึกเข้ามาถึงสนามบินสุเทพเพื่อทำการถ่ายภาพสนามบิน ระยะสูง
10 ธันวาคม พ.ศ.2484 เครื่องบินขับไล่แบบ พี-40 ของฝูงบิน ฟายอิงค์ไทเกอร์ 1 เครื่องดัดแปรเป็นเครื่องบินลาดตระเวณติดกล้องถ่ายภาพ ทำการบินโดย Lacy Mangloburg และ พี-40 คุ้มกันอีก 6 เครื่อง วิ่งขึ้นจากสนามบินเคดอว์ เมืองตองอู ประเทศพม่า ล้ำน่านฟ้าอีกครั้งเข้ามาถ่ายภาพเหนือสนามบินสุเทพ แต่ไม่พบเครื่องบินญี่ปุ่นที่เชียงใหม่ ส่งผลให้รัฐบาลไทยประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศ
11 ธันวาคม พ.ศ.2484 ในวันนี้เครื่องบิน พี-๔๐ ทำการบินลาดตระเวณถ่ายภาพสนามบินดอนเมืองจากระยะสูง ๒๐,๐๐๐ ฟุต ภาพถ่ายที่ได้พบว่ามีเครื่องบินอยู่ในสนามบินดอนเมืองถึง ๘๐ เครื่อง
รัฐบาลไทยลงนามใน "ข้อตกลงชั่วคราวเพื่อเป็นพันธมิตรทางทหารกับญี่ปุ่น"
13 ธันวาคม พ.ศ.2484 ฝูงบินฟายอิงค์ไทเกอร์ต้องส่ง Charles Bond ทำการบิน พี-๔๐ เข้ามาถ่ายภาพพร้อมเครื่องบินคุ้มกันเหนือสนามบินและพื้นที่ต่างๆในจังหวัดเชียงใหม่อีกแต่ก็ยังไม่พบเครื่องบินญี่ปุ่นแม้แต่เครื่องเดียว
14 ธันวาคม พ.ศ.2484 ประเทศไทยได้ลงนามใน "หลักการร่วมยุทธระหว่างไทยกับญี่ปุ่น"
22 ธันวาคม พ.ศ.2484 จากการที่เครื่องบินฝ่ายตรงข้ามรุกล้ำน่านฟ้าไทยบ่อยครั้ง กองทัพอากาศได้เตรียมการณ์จัดตั้งกำลังทางอากาศตามอัตราศึก ทอ.84 พร้อมไว้ก่อนสงครามอยู่แล้วจึงมีคำสั่งส่งกองบินน้อยผสมที่ 90 ซึ่งมี นาวาอากาศตรีเฉลิม พีระบูล เป็นผู้บังคับการฯ และมีฝูงบินต่างๆที่จัดจาก ฝูงบินที่ 22 จากนครราชสีมา ใช้เครื่องบินขับไล่แบบ ฮ็อว์ค 3 ( บข.10 ) จำนวน 9 เครื่อง และ ฝูงบินที่ 42 จากเนินพลอยแหวน จันทบุรี ใช้เครื่องบินขับไล่แบบ ฮ็อว์ค3 ( บข.10 ) จำนวน 10 เครื่อง มาบรรจุประจำการที่สนามบินสุเทพ โดยแรกนั้นกองทัพอากาศมีคำสั่งให้ กองบินน้อยผสมที่ 80 เข้าที่ตั้งสนามบินเกาะคา ตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2484 ขึ้นตรงต่อกองทัพพายัพ โดยมี นาวาอากาศตรี ปรุง ปรีชากาศ เป็นผู้บังคับการกองบินฯ แต่ในวันที่ 27 เดือนเดียวกัน กองบินน้อยผสมที่ 80 ได้รับคำสั่งย้ายไปประจำที่ สนามบินเชียงราย แทน โดยมีกองบินน้อยผสมที่ 85 เข้าที่ตั้งสนามบินพระบาท จังหวัดลำปาง โดยมีเครื่องบินขับไล่ที่ทันสมัยที่สุดขณะนั้นคือ ฮ็อว์ค ๗๕ และ โอตะ เข้าประจำการแทน
นอกจากนี้กองทัพอากาศยังส่งฝูงบินขับไล่อิสระใช้เครื่องบินขับไล่ปีกสองชั้นแบบ ฮ็อว์ค 2 หนึ่งฝูง มาประจำที่สนามบินสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมี เรืออากาศเอกเฉลิมเกียรติ วัฒนางกูร เป็นผู้บังคับฝูง และอีกฝูงประจำอยู่ที่สนามบินลำพูน เป็นเครื่องบินขับไล่ปีกสองชั้นแบบ ฮ็อว์ค 3 มีเรืออากาศโท สมัย จุทัยรัศม์ เป็นผู้บังคับฝูง นอกจากกำลังทางอากาศของไทยแล้ว ยังมีกองกำลังทางอากาศของญี่ปุ่นประกอบด้วย กองบินขับไล่ 2 กองบิน (กองบินขับไล่ที่ 50 และ 64 ) กองบินละ 3 ฝูง ฝูงละ 25 เครื่อง พร้อมกับกองบินทิ้งระเบิดหนักอีก 1 ฝูงบิน (ไม่ทราบชื่อฝูงบิน) จำนวน 27 เครื่อง ทั้งหมดกระจายกำลังประจำอยู่ที่สนามบินลับในอำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง ในสนามบินสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ และสนามบินเชียงราย
นับตั้งแต่นั้นมากองทัพอากาศอังกฤษและอาสาสมัครสหรัฐฯ(FLYING TIGER) ก็เริ่มเข้าโจมตีเป้าหมายทั้งทางทหารของไทยและญี่ปุ่นรวมไปถึงเป้าหมายทางพลเรือนและทางยุทธศาสตร์ของไทยมากมายที่ถูกกองทัพอากาศอังกฤษโจมตีจนได้รับความเสียหายและมีประชาชนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก
11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2485 เครื่องบินแบบ LYSANDER ของกองทัพอากาศอังกฤษ 6 เครื่อง ภายหลังจากทิ้งระเบิดบริเวณจังหวัดเชียงราย และสนามบินเชียงรายเมื่อวาน วันนี้เข้าโจมตีสนามบินสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่เป็นครั้งแรก
17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2485 เครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ BLENHEIM ของกองทัพอากาศอังกฤษ จำนวน 7 เครื่องเข้าโจมตีสนามบินสุเทพ ด้านกองบินน้อยผสมที่ 80 สั่งการให้เครื่องบินโจมตีปีกสองชั้นแบบ คอร์แซร์ (บจ.1) ของฝูงบินที่ 32 ขึ้นสกัดกั้นด้วยสมรรถนะที่ด้อยกว่าไม่สามารถไล่ตามทันได้
18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2485 ภายหลังจากการถูกฝ่ายอังกฤษโจมตีสนามบินสุเทพ กองทัพอากาศจึงสั่งการให้เครื่องบินขับไล่แบบ ฮอว์ค-75 ( บข.11 ) จำนวน 3 เครื่อง จากฝูงบินที่ 16 กองบินน้อยผสมที่ 90 สนามบินลำปาง มาปฏิบัติการป้องกันภัยทางอากาศที่สนามบินสุเทพ วันนี้เองขณะที่ เรืออากาศตรีนิล สุขสะอาด และ เรืออากาศตรีทองอยู่ เกียรติบุตร กำลังบินรักษาเขต พบเครื่องบินข้าศึก 1 เครื่อง แต่ไม่สามารถไล่สกัดกั้นได้ทัน
5 มีนาคม พ.ศ. 2485 กองทัพอากาศอังกฤษส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ Blenheim จำนวน 8 เครื่อง มาทิ้งระเบิดสนามบินลำปาง โดยมีเครื่องบินขับไล่แบบ Hurricane จำนวน 6 เครื่อง และ เครื่องบินขับไล่แบบ Buffalo จำนวน 4 เครื่อง พร้อมกับเครื่องบินขับไล่แบบ พี-40 จากฝูงฟลายอิงค์ไทเกอร์ อีกจำวนหนึ่ง แต่สภาพอากาศมีหมอกแดดมากทำให้เครื่องบินทิ้งระเบิดและเครื่องบินขับไล่คุ้มกันตามหากันไม่พบ และไม่สามารถตรวจการเห็นสนามบินลำปางได้ ทั้งหมดจึงยกเลิกภารกิจกลับไปลงที่สนามบินน้ำสางและสนามบินฮีโฮ
16 มีนาคม พ.ศ. 2485 กองทัพอากาศอังกฤษ ส่งเครื่องบิน 2 เครื่องยนต์ (ไม่ทราบชนิด ) เข้ามาลาดตระเวณบริเวณจังหวัดเชียงราย ฝูงบิน 41 กองบินน้อยผสมที่ 80 ส่งเครื่องบินขับไล่แบบ ฮอว์ค 3 ขึ้นสกัดกั้น แต่ติดตามไล่ไม่ทัน
24 มีนาคม พ.ศ. 2485 เวลา ๐๗๐๐ เครื่องบินขับไล่แบบ พี-40 ฟลายอิงค์ไทเกอร์ 6 เครื่อง จากฝูงบิน Adam & Eves มี Robert Neale , Gregory Boyington , Charles Bond , William Mcgarry , Edward Rector และ William Bartling เป็นนักบิน จากสนามบินคุนมิงค์ เข้าโจมตีสนามบินสุเทพ ที่ขณะนั้นมีทั้งเครื่องบินของกองทัพอากาศไทย และกองทัพญี่ปุ่น จำนวนมาก โดยในภายหลังนักบินอาสาอเมริกัน AVG เหล่านี้อ้างว่าทำลายเครื่องบินญี่ปุ่นได้ถึง ๔๐ เครื่อง แต่ความจริงแล้วญี่ปุ่นสูญเสียเครื่องบินขับไล่แบบ Ki-43 ฮายาบูซา เพียง ๓ เครื่องเท่านั้น ในขณะเดียวกันเครื่องบิน พี-๔๐ ของ William Mcgarry ถูกปืนต่อสู้อากาศยานของญี่ปุ่นยิงได้รับความเสียหาย บินออกไปทางทิศตะวันตกข้ามดอยสุเทพ และตกลงในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน นักบินสามารถโดดร่มออกมาได้และถูกฝ่ายไทยจับตัวได้ ส่งมาอยู่ที่กรุงเทพ ภายหลังได้ความช่วยเหลือจากเสรีไทยส่งออกนอกประเทศได้สำเร็จ
อนึ่งในวันเดียวกันนี้ เครื่องบินของอีกกลุ่ม แต่แยกออกมาโจมตีสนามบินเชียงรายไม่พบเครื่องบินญี่ปุ่นที่เชียงรายจึงมุ่งหน้าเข้าโจมตีสนามบินเชียงใหม่เป็นระลอกสอง แต่หัวหน้าหมู่บินพาเลยไปถึงจังหวัดลำพูน และพบขบวนลำเลียงของทหารญี่ปุ่น ( ความจริงเป็นเพียงวัวเทียมเกวียนของชาวบ้านที่ออกไปทำงานในตอนเช้า ) หมู่บิน ฟลายอิงค์ไทเกอร์ทั้ง ๔ เครื่อง เข้าโจมตีขบวนดังกล่าวในระดับต่ำ โดยเครื่องบินของ Jack Newkirk บินชนยอดไม้ตกลงระเบิดนักบินเสียชีวิตอยู่ริมถนนดังกล่าว (ปัจจุบันคือหน้า ศาลากลางจังหวัดลำพูน ) โดยหมู่บินที่เหลือรายงานว่านักบินเครื่องดังกล่าวถูกปืนต่อสู้อากาศยานทหารญี่ปุ่นยิงตก
เครื่องบินขับไล่แบบ P-40 E เครื่องที่ถูกยิงตกดังกล่าวในปีพุทธศักราช ๒๕๓๔ ทางจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้ติดต่อชมรมอนุรักษ์อากาศยานไทย กองบิน 41 ซึ่งตั้งขึ้นในปีเดียวกันนี้ เข้าไปสำรวจและขนย้ายซากเครื่องบินดังกล่าวออกมาจากป่าทึบของจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยในครั้งแรกที่ได้รับการแจ้งและมีการขนย้ายออกมานั้นยังไม่มีใครทราบว่าเป็นเครื่องบินอะไร แต่เมื่อมีการตรวจพบป้ายโลหะแสดงข้อมูลเครื่องบินที่ซากเครื่องบินดังกล่าวจึงพบว่าเป็นเครื่องบินแบบ พี-๔๐ หมายเลข 15452 ซึ่งเป็นของนักบินคนดังกล่าว โดยปัจจุบันนี้ซากเครื่องบิน ดังกล่าวถูกนำมาตั้งแสดงเป็นนิทรรศการอยู่ที่ชมรมอนุรักษ์และพัฒนาอากาศยานไทยกองบิน ๔๑ ขณะนี้
6 กันยายน พ.ศ. 2485 วันนี้ เครื่องบินทิ้งระเบิดหนักแบบ ๔ (กิ-21 นากาชิมา) หมายเลข 6 จำนวน 1 เครื่อง พร้อมนักบินและเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องรวม 7 นาย ประกอบด้วย
- เรืออากาศเอก เรียน มานิจ เป็นนักบิน
- เรืออากาศโท เนียม แสไพศาล เป็นต้นหน
- พลฯ โกมล บุนนาค เป็นช่างวิทยุ
- พลฯ เลิศ หาญยุทธ เป็น ช่างเครื่อง
- พลฯ เฉลิม ราภัย เป็นช่างถ่ายภาพ
- พลฯ โนรี สงเคราะห์ เป็นพลปืนหลัง
- จ่าอากาศเอก ละมูล ชีวสุวรรณ เป็นพลปืนหลัง
ทำการบินลาดตระเวณระยะไกลเข้าไปในดินแดนข้าศึก เพื่อเตรียมการทิ้งระเบิดครั้งใหญ่ก่อนจะเข้ายึดเชียงตุง โดยติดเครื่องหมายกองทัพญี่ปุ่น แต่เนื่องจากอากาศปิด เครื่องบินจึงประสบอุบัติเหตุชนภูเขาริมแม่น้ำโขง ในเขตพื้นที่มณฑลยูนาน เจ้าหน้าที่ทั้งหมดเสียชีวิต
14 ตุลาคม พ.ศ. 2485 กองทัพอากาศมีคำสั่งให้ ฝูงบินทิ้งระเบิดที่ 61 นำเครื่องบินทิ้งระเบิดหนักแบบ ๔ (กิ-21 นากาชิมา)จำนวน 6 เครื่อง ลำเลียงอาหารสด และพืชผักจากทางเหนือ ทำการบินขึ้นจากกองบินใหญ่ผสมภาคพายัพ จังหวัดลำปาง มาทำการทิ้งอาหารต่างๆให้กับทหารอากาศที่ดอนเมือง เนื่องจากขณะนั้นได้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพ
2 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2486 เครื่องบินขับไล่แบบ พี-40 จากกองทัพอากาศที่ 10 กองทัพอากาศสหรัฐฯ เข้าโจมตีสนามบินเชียงตุง สามารถทำลายเครื่องบินของกองทัพอากาศไทยจากฝูงบิน 21 และ ฝูงบิน 43 ประกอบด้วยเครื่องบินโจมตีปีกสองชั้น แบบ คอร์แซร์ ( บ.แบบ ๒๓) จำนวน 7 เครื่อง และเครื่องบินขับไล่ปีกสองชั้น ฮอว์ค 3 ( บ.แบบ ๑๗ ) จำนวน 3 เครื่อง ได้รับความเสียหาย กำลังทางอากาศของไทยจึงถอนตัวทางภาคพื้นออกมา โดยในวันที่ 5 กองกำลังทางอากาศดังกล่าวก็เข้าโจมตีขบวนลำเลียงของไทยที่ถอนตัวออกมาระหว่างทาง เชียงตุง - เชียงราย หลายครั้ง
พฤษภาคม พ.ศ.2486 เครื่องบินทิ้งระเบิดของอังกฤษแบบ Beaufighter จำนวน 2 เครื่อง เข้าโจมตีสนามบินเชียงใหม่ สามารถทำลายเครื่องบินญี่ปุ่นเสียหายหลายเครื่อง ส่วนเครื่องบินรบของกองทัพอากาศไทยที่จอดซ่อนอยู่ในป่าละเมาะ ( บริเวณบ้านพักผู้บังคับการ กองบิน 41 ในปัจจุบัน ) จึงไม่ได้รับความเสียหาย
20 พฤศจิกายน พ.ศ.2486 เครื่องบินทิ้งระเบิดของกองทัพอากาศสหรัฐฯแบบ บี-24 ไม่ทราบจำนวน สังกัดฝูงบินทิ้งระเบิดที่ 308 กองทัพอากาศที่ 14 เข้าโจมตีสนามบินสุเทพ และสนามบินลำปาง ไม่ทราบความสูญเสียชัดเจน
31 ธันวาคม พ.ศ.2486 เวลา 1510 - 1730 เครื่องบินทิ้งระเบิดของกองทัพอากาศสหรัฐฯแบบ บี-24 จำนวน 25 เครื่อง สังกัดกองทัพอากาศที่ 14 เข้าโจมตีสถานีรถไฟลำปางซึ่งเป็นแหล่งชุมชนหนาแน่น และขณะนั้นกำลังพลทหารม้าญี่ปุ่นจำนวนมากกำลังเตรียมเคลื่อนย้ายกำลังทางรถไฟ ผลการโจมตีมีทหารญี่ปุ่นและประชาชนชาวลำปางเสียชีวิตหลายร้อยคน แม้กองทัพอากาศไทยจะส่ง บ.แบบ 15 ( Ki-27 โอตะ) จำนวน 6 เครื่อง ขึ้นสกัดกั้นแต่ก็ไม่สำเร็จ เป็นการสกัดกั้นเครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดใหญ่เป็นครั้งแรกของกองทัพอากาศไทย
5 มีนาคม พ.ศ. 2487 เครื่องบินทิ้งระเบิดของสหรัฐฯแบบ บี-25 จำนวน 8 เครื่อง จากกองทัพอากาศที่ 14 ทำการทิ้งระเบิดสนามบินสุเทพ ผลการทำลายของกองทัพอากาศสหรัฐฯ วันนี้ เครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดกลางของญี่ปุ่น ในสนามบินสุเทพเสียหาย 7 เครื่อง โดยมีเครื่องบินขับไล่ได้รับความเสียหายในเหตุการณ์เดียวกันนี้ 1-2 เครื่อง นอกจากนี้บ้านพักและถังเก็บน้ำในสนามบินก็ได้รับความเสียหายจากการโจมตีในวันนี้ด้วยเช่นกัน
8 เมษายน พ.ศ. 2487 เครื่องบินขับไล่ของกองทัพอากาศอังกฤษแบบ Beaufighter จำนวน 4 เครื่อง จากฝูงบินที่ 211 ได้รับคำสั่งให้เข้าโจมตีสนามบินสุเทพ แต่นักบินหาสนามบินไม่พบ ทั้งหมดจึงเปลี่ยนเข้าโจมตีสถานีรถไฟบ้านป่าเส้า ซึ่งเกิดเพลิงไหม้ กองทัพอากาศส่งเครื่องบินขับไล่แบบ ฮอว์ค 3 ขึ้นจากสนามบินลำพูน 2 เครื่อง เรืออากาศตรีแสวง เพ็ชร์พินิจ นำเครื่องวิ่งขึ้นสกัดกั้น โดยมี จ่าอากาศเอกสนอง ชีวานุคระ วิ่งขึ้นตามหลัง เครื่องบินขับไล่สองเครื่องยนต์ของอังกฤษ เห็นเครื่องบินขับไล่เครื่องยนต์เดียวปีกสองชั้นของ เรืออากาศตรีแสวง เพ็ชร์พินิจ บินอยู่เหนือจังหวัดลำพูน จึงดำลงยิงเครื่องบินขับไล่ของกองทัพอากาศไทย นักบินไทยทำการบินเลี้ยวฉีกตัวหลบหลีกออกทันที แต่ด้วยความที่นักบินรีบขึ้นสกัดกั้นยังไม่ได้ใส่สายรัดตัว นักบินจึงหลุดออกจากเครื่องบินซึ่งไม่มีประทุนครอบห้องนักบิน แต่สามารถกระตุกร่มชูชีพลงสู่พื้นได้แม้จะบาดเจ็บที่ศีรษะเล็กน้อย
5 มิถุนายน พ.ศ. 2487 สหรัฐฯปฏิบัติการด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดพิสัยไกลเป็นครั้งแรกแบบ บี-29 จำนวน 100 เครื่อง บรรทุกลูกระเบิดเพลิงเครื่องละ
11 พฤศจิกายน พ.ศ.2487 เวลา 1220 - 1237 เครื่องบินขับไล่ของกองทัพอากาศสหรัฐฯแบบ พี-38 จำนวน 8 เครื่อง จากฝูงบินที่ 499 และแบบ พี-51 จำนวน 9 เครื่อง จากฝูงบินที่ 25 กองบินที่ 51 กองทัพอากาศที่ 14 วิ่งขึ้นจากสนามบินในประเทศจีนเพื่อเข้าโจมตีสนามบินลำปาง แต่ขณะเดินทางทั้งหมดได้เข้าโจมตีรถไฟที่วิ่งอยู่ก่อน ฝูงบิน 15 กองบินน้อยผสมที่ 85 จึงส่งเครื่องบินขับไล่แบบ โอตะ Ki-27 (บข.12 ) จำนวน 5 เครื่องโดยมี เรืออากาศเอกเฉลิมเกียรติ วัฒนางกูล (บ.หมายเลข 1 ) เรืออากาศเอกคำรบ เปล่งขำ ( บ.หมายเลข 6 ) พันจ่าอากาศเอก จุลดิศถ์ เดชกุลชร ( บ.หมายเลข 4 ) พันจ่าอากาศเอกวาสน์ สุนทรโกมล (บ.หมายเลข 3 ) และ จ่าอากาศเอกธาดา เบี้ยวไข่มุก (บ.หมายเลข 7 ) เป็นนักบินขึ้นต่อสู้กับเครื่องบินของกองทัพอากาศสหรัฐฯทั้ง 17 เครื่อง (บันทึกประวัติศาสตร์ของไทยระบุว่ากองทัพสหรัฐฯใช้เครื่องบินทั้งหมด 21 เครื่อง) การรบหรือยุทธเวหาครั้งนี้แสดงถึงความกล้าหาญของนักบินไทยที่จะปกป้องพื้นแผ่นดินไทยและชาวลำปาง จนได้กำหนดชื่อยุทธเวหาครั้งนี้ว่า "ยุทธเวหาเหนือนครลำปาง 5 ต่อ 21 " ผลการรบครั้งนี้เครื่องบินของไทยถูกยิงตกทั้งหมด โดยพันจ่าอากาศเอกวาสน์ สุนทรโกมล เสียชีวิต ที่เหลือปลอดภัย เครื่องบินขับไล่ของสหรัฐฯแบบ พี-51 ถูก เรืออากาศตรีคำรบ เปล่งขำ ยิงตก 1 เครื่อง (เรืออากาศตรีคำรบ เปล่งขำ เดิมชื่อทองคำ ประวัติเคยยิงเครื่องบินขับไล่แบบ Morane ของ กองทัพอากาศฝรั่งเศสตก 1 เครื่อง ขณะเข้าโจมตีสนามบินนครวัต ในวันที่ 10 มกราคม พุทธศักราช 2484 ) และมีเครื่องบินแบบ พี-51 อีกอย่างน้อยสองเครื่องที่ได้รับความเสียหายจากฝีมือนักบินไทย
พ.ศ.2488
มีนาคม พ.ศ. 2488 (กิจการด้านการบินพานิชย์) เครื่องบินขับไล่ของกองทัพอากาศสหรัฐฯแบบ พี-51 จากกองบิน 2 ยิงเครื่องบินโดยสารแบบ แฟร์ไซลด์ 24 เจ ของสายการบิน บริษัทขนส่ง จำกัด ซึ่งทำการบินระหว่าง เชียงใหม่ - แม่ฮ่องสอน - แม่สะเรียง - เชียงใหม่ ตก
5 เมษายน พ.ศ. 2488 (กิจการด้านการบินพานิชย์) เครื่องบินโดยสารแฟร์ไซลด์ 24 เจ ของสายการบิน บริษัทขนส่ง จำกัด ซึ่งทำการบินระหว่าง เชียงใหม่ - แม่ฮ่องสอน - แม่สะเรียง - เชียงใหม่ เครื่องสุดท้ายของบริษัท ถูกเครื่องบินขับไล่ของกองทัพอากาศสหรั
พ.ศ.2488
มีนาคม พ.ศ. 2488 (กิจการด้านการบินพานิชย์) เครื่องบินขับไล่ของกองทัพอากาศสหรัฐฯแบบ พี-51 จากกองบิน 2 ยิงเครื่องบินโดยสารแบบ แฟร์ไซลด์ 24 เจ ของสายการบิน บริษัทขนส่ง จำกัด ซึ่งทำการบินระหว่าง เชียงใหม่ - แม่ฮ่องสอน - แม่สะเรียง - เชียงใหม่ ตก
5 เมษายน พ.ศ. 2488 (กิจการด้านการบินพานิชย์) เครื่องบินโดยสารแฟร์ไซลด์ 24 เจ ของสายการบิน บริษัทขนส่ง จำกัด ซึ่งทำการบินระหว่าง เชียงใหม่ - แม่ฮ่องสอน - แม่สะเรียง - เชียงใหม่ เครื่องสุดท้ายของบริษัท ถูกเครื่องบินขับไล่ของกองทัพอากาศสหรัฐฯแบบ พี-51 จากกองบิน 2 ยิงตก ทำให้บริษัทต้องเลิกกิจการลงเพราะไม่มีเครื่องบินเหลือเลย
9 เมษายน พ.ศ. 2488 เครื่องบินขับไล่แบบ พี-51 มัสแตงของ สหรัฐฯ ประมาณ 40 เครื่อง เข้าโจมตีสนามบินดอนเมือง เรืออากาศตรีช่วย ศรีสมพงษ์ และ เรืออากาศตรีสนั่น คฤหเดช นำเครื่องบินขับไล่ขึ้นสกัดกั้นสองเครื่องแต่ถูกยิงได้รับความเสียหายต้องร่อนลงฉุกเฉิน ผลการถูกโจมตี กองทัพอากาศเสียเครื่องบินขับไล่แบบ ฮอว์ค-2 จำนวน 5 เครื่อง เครื่องบินโจมตีคอร์แซร์ 1 เครื่อง และนาโกย่า 1 เครื่อง จนท.เสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บรวม 8 คน ในวันเดียวกันนี้ สหรัฐฯ เข้าโจมตีที่สนามบินโคกกระเทียม กองทัพอากาศเสียเครื่องบิน 15 เครื่อง
29 กรกฎาคม พ.ศ. 2488 เครื่องบินทิ้งระเบิดของกองทัพอากาศอังกฤษแบบ บี-24 ทำการทิ้งระเบิดสถานีรถไฟบางกอกน้อย มีรายงานว่าระเบิดที่ทิ้งในครั้งนี้มีขนาดใหญ่มาก ถือเป็น การทิ้งระเบิดประเทศไทยครั้งสุดท้าย