กรณีเว็บไซต์ค้นหาข้อมูลยักษ์ใหญ่ "กูเกิล" ปีนเกลียว เบี้ยวสัญญากับจีน ขอเลิกคัดกรองผลค้นหาข้อมูล อย่างพวกคำลามก คำละเอียดอ่อนต่อความมั่นคงและอื่นๆ ตาม ก.ม.จีนขีดเส้นกำกับ และย้ายเว็บบริการไปอยู่ในฮ่องกง หวังพ้นตาข่ายตรวจสอบเซ็นเซอร์ ยังดูไม่ออกว่ากูเกิลจะได้ไม่คุ้มเสียหรือไม่?

ต้นตอปัญหาเกิดมาร่วม 2 เดือนที่ผ่านมา กูเกิล กล่าวหาถูกทางการจีนเซ็นเซอร์และยังถูกแฮ็กเกอร์ ซึ่งกูเกิลอ้างว่ามีแหล่งก่อการในจีน เจาะล้วงข้อมูล เมื่อถึงทางตันจึงประกาศปิด "Google.cn" เว็บกูเกิล เวอร์ชั่นภาษาจีน ในกรุงปักกิ่ง และเปลี่ยนเส้นทางเดินในโลก "ไซเบอร์" ของผู้ใช้ในแผ่นดินใหญ่ไปยัง "Google.com.hk" เว็บกูเกิลในฮ่องกงแทน หลังเข้ามาเจาะตลาดจีนเมื่อ 4-5 ปีก่อน จนปัจจุบันขึ้นแท่น ครองเจ้าตลาดเว็บค้นหาข้อมูลใหญ่อันดับ 2 ในจีน

รองจากเว็บ "Baidu.com" ของจีน

การตัดสินใจย้ายรังไปฮ่องกงไปทื่อๆของกูเกิล โดยยังไม่ผ่านการอนุมัติจากทางการจีนอย่าง เป็นทางการ ได้รับเสียงเชียร์หนาหูจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนค่ายโลกตะวันตก แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าจะเป็นการดีหรือเป็นการร้ายต่อกูเกิล

ส่วนปฏิกิริยาจากฝ่ายจีน ดูจะยังไว้ท่า! ไม่ เกรี้ยวกราดให้เสียฟอร์ม บอกนิ่มๆจะจัดการปัญหากูเกิลตามหลักกฎหมาย และว่ากูเกิลทำผิดเต็มๆ ทำตัวเองแท้ๆ ยันไม่กระทบสัมพันธ์จีนกับสหรัฐฯ เว้นแต่จะถูกขยายเป็นเรื่อง "การเมือง"

ฟากนักวิเคราะห์ออกมาชี้ชัดว่าการที่กูเกิลเลือกฮ่องกงเป็นรังใหม่ เพราะต้องการคงการบริการที่รวดเร็วทันใจลูกค้าขาเน็ต ขี้ใจร้อน! ไว้ อันจะเป็นการดีกว่าหันไปพึ่งเว็บที่มีฐานในสหรัฐฯที่อยู่ไกลโพ้น! อีกหนึ่งผลดี คือ กูเกิลยังบอกกลุ่ม "ผู้ถือหุ้น" กับ "ลูกค้าลงโฆษณา" ได้เต็มปากว่ากูเกิลยังวนเวียนอยู่ในจีน

อีกทั้งคงเป็นเพราะจีนมีฐานผู้ใช้อินเตอร์เน็ตมากที่สุดในโลก ตัวเลขล่าสุดอยู่ที่ 384 ล้านคน เห็นอย่างนี้แล้ว กูเกิลคงไม่ยอมละทิ้งชิ้นปลามันให้ใครสะด๊วบ! โล่งคอ คิดสั้น! ย้ายรังยกพวงออกจากจีนไปเลย

กูเกิลเป็น 1 ในกองปัญหาปวดหมองของจีน นอกเหนือเรื่องค่าเงินหยวนและคดีความคาใจกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ กรณีดำเนินคดีข้อหาจารกรรมข้อมูลการค้าและรับสินบนกับพนักงานของ บ.เหมืองแร่รายใหญ่ของโลก "ริโอ ทินโต"

และด้วยปัญหาที่ว่ามา เชื่อว่าจีนคงพยายาม แก้ไขอย่างละมุนละม่อม เพื่อว่าจะไม่เป็นการทุบ "หม้อข้าว" ตัวเอง ในช่วงนี้ที่ตัวเลขเศรษฐกิจประเทศบานเอาๆ.

เกรียงศักดิ์ จุนโนนยางค์

http://www.thairath.co.th/column/oversea/worldwide/72545

สรุปว่าเรื่องนี้ผลประโยชน์ต้องมาก่อนของทั้งคู่ แต่คิดว่าไม่น่าจะบานปลายครับ ตราบใดที่ผลประโยชน์ค้ำคอทั้ง 2ฝ่าย