หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


เศษฐกิจ:ตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ส่อเค้าล่ม!

โดยคุณ : sam เมื่อวันที่ : 16/04/2010 11:15:37

กระทรวงพลังงานส่งสัญญาณรัฐบาลไม่ผลักดัน โรงไฟฟ้านิวเคลียร์  หลังนายกรัฐมนตรี สั่งให้ทำแผนพีดีพีสำรอง หวังใช้เป็นข้อเปรียบเทียบในการตัดสินใจจะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หรือไม่ในต้น ปีหน้า ด้าน"ณอคุณ"ยันแผนสำรอง จะทำให้ประเทศมีความเสี่ยงความมั่นคงด้านพลังงาน ประชาชนจ่ายค่าไฟฟ้าสูงขึ้น

 แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า จากกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ได้สั่งกระทรวงพลังงาน ไปจัดทำแผนสำรองแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย ปี2553-2573 หรือพีดีพี 2010 ที่ได้เห็นชอบไปเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2553 ขึ้นมาใหม่ ในกรณีที่แผนพีดีพีไม่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 5 โรง รวมกำลังการผลิตขนาด 5,000 เมกะวัตต์ ที่จะเริ่มจ่ายไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไปนั้น จะมีทางเลือกการจัดหาไฟฟ้าให้กับประเทศได้อย่างไร
 โดยในส่วนของกระทรวงพลังงานมองว่า การจัดทำแผนพีดีพีสำรองขึ้นมานี้ น่าจะเป็นการส่งสัญญาณได้ทางหนึ่งว่ารัฐบาลชุดนี้ จะไม่ผลักดันให้มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เกิดขึ้น เนื่องจากพื้นที่ที่เหมาะสมในการตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ตามผลการศึกษาที่จะ สรุปได้ประมาณเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนนี้ จะอยู่ในภาคใต้ เช่น จังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ยังไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชน หากมีการตั้งในพื้นที่ภาคใต้ จะทำให้เกิดการต่อต้านและมีผลต่อคะแนนเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือก ตั้งช่วงปลายปีหน้าได้ หากไม่มีการยุบสภาเสียก่อน
 อีกทั้ง การจัดทำแผนพีดีพี ที่ผ่านมาไม่เคยมีการจัดทำแผนสำรองขึ้นมาเหมือนกับครั้งนี้ จึงเป็นการยืนยันได้ว่า รัฐบาลจะเลือกแผนพีดีพีสำรองนี้ขึ้นมาเป็นแผนพีดีพีหลักที่จะใช้กำหนดในการ จัดหาไฟฟ้าของประเทศต่อไป เพื่อลดแรงกดดันจากประชาชน และส่วนหนึ่งทำให้รัฐบาลตัดสินใจง่ายขึ้นต่อการดำเนินงาน
 "ทางกระทรวงพลังงาน อยู่ระหว่างจัดทำแผนพีดีพีสำรองอยู่  คาดว่าจะแล้วเสร็จในเร็วๆ นี้ เพราะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของกพช.ที่จะมีขึ้นในการประชุมครั้งหน้า ซึ่งยังไม่กำหนดวันออกมา หากกพช.เห็นชอบแผนพีดีพีสำรองนี้ จะถูกนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจของรัฐบาลในช่วงต้นปีหน้า ว่าจะพิจารณาอนุมัติให้มีการก่อสร้างโรงฟ้านิวเคลียร์ได้หรือไม่ เมื่อกระทรวงพลังงานสามารถมีทางเลือกการจัดหาไฟฟ้าให้ โดยไม่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ก็น่าจะเป็นทางออกของรัฐบาลที่จะเลือกแผนพีดีพีสำรองนี้ขึ้นมาใช้"แหล่ง ข่าวกล่าว
 นายณอคุณ สิทธิพงศ์  รองปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า หากประเทศไม่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เข้ามาตามแผนพีดีพีที่กพช.อนุมัติไปแล้ว จะทำให้ต้องไปพึ่งการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่กำลังการผลิตของประเทศมีจำกัด ต้องนำเข้าก๊าซจากพม่า และแอลเอ็นจีที่มีราคาแพงเข้ามา รวมถึงการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาเสริมมากขึ้นอีก จากที่กำหนดไว้ 2 ประเทศไม่เกิน 25 % ของกำหนดการผลิตทั้งหมด นั่นหมายความว่าความมั่นคงด้านพลังงานของไทยจะไปผูกอยู่กับต่างประเทศเป็น หลัก ซึ่งถือเป็นความเสี่ยง หากเกิดข้อขัดแย้งระหว่างประเทศขึ้นมาหรือมีเหตุสุดวิสัยไม่สามารถส่งไฟฟ้า หรือก๊าซให้กับไทยได้
 นอกจากนี้ การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน มีข้อจำกัดที่ไม่สามารถใช้เป็นฐานการผลิตไฟฟ้าให้กับประเทศได้ เนื่องจากไม่มีความแน่นอนทางการผลิต อีกทั้ง หากส่งเสริมให้เข้ามาในระบบมากยิ่งขึ้น จะส่งผลให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าสูงขึ้นตาม เนื่องจากภาครัฐได้เพิ่มอัตรารับซื้อไฟฟ้าหรือ Adder เพื่อจูงใจให้เอกชนเข้ามาลงทุน
 โดยจะเห็นได้จากผลการศึกษาพบว่า หากมีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนประเภทต่างๆ ในปริมาณ 11,067.8 เมกะวัตต์ จะทำให้มีผลกระทบต่อค่าเอฟที 8 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งหากรวมราคาก๊าซแอลเอ็นจีที่นำเข้ามาอีก จะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าในอนาคตปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย

ข่าว:จากฐานเศษฐกิจ

ps.น่าเป็นห่วงอนาคตด้านพลังงานของไทยจริงๆ ที่เราต้องหาพลังงานอย่างอื่นมาใช้แทนก๊าซธรรชาติในอ่าวไทยที่นับวันจะหมดลง เบื่อการเมืองกับ NGO





ความคิดเห็นที่ 1


อุตฯเหล็กเวียดนามเบียดไทยตกชั้น
เวียดนามเหยียบคันเร่งลงทุนอุตฯเหล็ก จับมือ "ดานีลี่" สร้างโรงเหล็กรีดร้อนกำลังผลิต 2 ล้านตันต่อปี หวังลดนำเข้า รองรับการบริโภคเหล็กเพิ่ม 12-15% ต่อปี "ดานีลี่" เผยเป็นตลาดใหม่มาแรงติดกลุ่ม 5 อันดับแรก ไทยไม่ติดฝุ่น ชะงักการเมือง-มาบตาพุด 
 นายบุญนาค โมกข์มงคลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ดานิลี่ ฟาร์อีสต์ จำกัด ผู้ออกแบบ และผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์สำหรับอุตสาหกรรมเหล็กระดับโลก สัญชาติอิตาลี ที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทย เพื่อป้อนตลาดในกลุ่มประเทศในเอเชีย ยกเว้นสาธารณรัฐประชาชนจีน เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ดานิลี่กรุ๊ปได้ร่วมลงทุนกับบริษัทเวียดนาม สตีล คอร์ปอเรชั่นฯ (VNsteel) ของรัฐบาลเวียดนาม ตั้งโรงเหล็กรีดร้อนแห่งแรกขึ้นที่เวียดนาม เพื่อลดการนำเข้าเหล็กของเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันต้องอาศัยการนำเข้าถึง 75% ของการใช้เหล็กทั้งหมด
 สำหรับสัดส่วนการลงทุนในครั้งนี้ ทางดานีลี่กรุ๊ป เป็นผู้ถือหุ้น 19.9% ของเงินลงทุนทั้งหมด 550 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 17,600 ล้านบาท คำนวณที่อัตราแลกเปลี่ยน 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ) กำลังการผลิตประมาณ 2 ล้านตันต่อปี ใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 3 ปี นับตั้งแต่ปี 2553
 "รัฐบาลเวียดนามประกาศว่าจะลงทุนทั้งเหล็กรีดร้อนและเหล็กรีดเย็น เพราะเศรษฐกิจเวียดนามโตเร็วมาก และยังมีอัตราการบริโภคเหล็กต่อหัวค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประชากรทั้งหมด คือมีอัตราการบริโภคเพียง 7-8 ล้านตันต่อปี ประกอบกับเวียดนามกำลังเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเหล็กจึงสามารถขยายตัวได้อีกมาก รัฐบาลเวียดนามจึงรีบวางแผนการลงทุนในอุตสาหกรรมนี้ ประกอบกับการเมืองในประเทศนิ่ง จึงทำให้วางแผนลงทุนได้เร็ว ซึ่งมีความเป็นไปได้หากเวียดนามยังมีอัตราการเติบโตเช่นนี้ ก็จะแซงไทย ที่ยังมีปัญหามาบตาพุดและปัญหาทางการเมือง" 
  ด้านแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศเวียดนาม นายบุญนาคคาดว่าน่าจะขยายตัวได้ 12-15% ต่อปี ทั้งยังมีผู้ผลิตเหล็กหลายราย อาทิ พอสโก เจเอฟอี หรือแม้แต่สหวิริยา และไทยคูนของไทย รวมถึงบริษัทในจีนและเกาหลี ได้ให้ความสนใจเข้าไปลงทุนอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำ การผลิตขั้นต่ำอย่างน้อย 5 ล้านตันต่อปี
 ในส่วนของดานีลี่ ฟาร์อีสต์ กลุ่มประเทศในแถบตะวันออกกลางเป็นตลาดใหญ่ที่ครองอันดับหนึ่งในแง่รายได้ แต่เวียดนามก็เป็นตลาดใหม่ที่ประเมินว่าจะมีการเติบโตดี สร้างรายได้ให้กับดานีลี่ในอันดับต้นๆ รองจากญี่ปุ่นและเกาหลี ขณะที่ประเทศไทยยังมีสัดส่วนรายได้ค่อนข้างห่างไกลจากตลาดที่ทำรายได้สูงสุด 5 อันดับแรกของดานีลี่ เนื่องจากไม่มีโครงการใหม่ในอุตสาหกรรมเหล็กมากกว่า 4 ปีแล้ว
สำหรับรายได้ของดานีลี่ ฟาร์อีสต์  คาดว่าในปี 2553 นี้จะมียอดขายกว่า 20,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ซึ่งมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีการเพิ่มศักยภาพการผลิต เพิ่มผลิตภัณฑ์ ประกอบกับตลาดในบางพื้นที่มีการเติบโตดี เช่น ประเทศในแถบตะวันออกกลาง ญี่ปุ่น เกาหลี และเวียดนาม ส่วนแผนการลงทุนนั้น ในปีนี้มีแผนการลงทุนประมาณ 1,500 ล้านบาท เพื่อลงทุนเครื่องจักรเทคโนโลยีสูง พัฒนาระบบไอที และวิศวกรรมการออกแบบ ทั้งยังมีความต้องการวิศวกรถึง 600 ตำแหน่งด้วย
ข่าว:ฐานเศษฐกิจ
ps: ตอนนี้อุตสาหกรรมด้านการต่อเรือเวียดนามแซงบ้านเราไปเรียบร้อยแล้ว พี่แกต่อเรือขนาดเกิน 10000 ตันได้แล้ว
น่าเสียใจพวกอุตสาหกรรมพื้นฐานของไทยเราโดนพิษการเมืองกับ NGO เล่นงาน ทั้งที่เป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาประเทศทั้งทางเศษฐกิจหรือกิจกรรมงานด้านการทหาร เช่นอู่ต่อเืรือ ยานยนต์ รถไฟ การก่อสร้าง ทำให้มีต้นนทุนการผลิตสูงตามไปด้วย สุดท้ายก็ต้องไปต่อเรือที่ต่างประเทศที่มีราคาถูกกว่าต่อภายในประเทศ
โดยคุณ sam เมื่อวันที่ 15/04/2010 23:06:11


ความคิดเห็นที่ 2


เฮ้อ....ต้องจ่ายค่าไฟแพงแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่น้อ
โดยคุณ น่าคิด เมื่อวันที่ 16/04/2010 00:15:37