ของอย่างงี้ซื้อมาไม่ใช่ดูที่เงินอย่างเดียวครับว่ามีพอไหม ที่สำคัญคือคุณภาพที่ได้มาจะคุ้มกับเงินที่ต้องเสียไปหรือไม่

ส่วนตัวคิดว่า...ทำไมเราซื้อมือสองตลอดเลยหว่า(ฮา) แต่ก็เข้าใจนะครับว่าของมันแพง ตอนนี้ก็เป็นโอกาสดีที่ราคาตก ได้ยินว่าทร.ก็สนใจเหมือนกัน

2 ลำของมาเลย์ที่พึ่งมาประจำการ ราคาประมาณ 40,000 ล้านบาทไทย ส่วนของตรุกี มือ 2ราคาที่เสนอขายถ้าจำไม่ผิดคิดเป็นเงินไทยจะประมาณลำละ17,000 ล้านบาท ลองคิดดูละกันครับ แต่ในใจผมถ้าเป็นมือ 2ของเกาหลีใต้ก็น่าสนเหมือนกันครับ  ส่วนมือ 1ขอให้มองที่เยอรมันกับสวีเดนจะน่าสนใจมากกว่าครับ

น่าสนใจเหมือนกันนะครับ Type 214 ของกรีซ ไม่ใช่ของเก่ามาก เรือที่จะขาย คือ papanikolis ปล่อยลงน้ำเมื่อปี 2004 นี่เอง เรือยังอยู่ที่เยอรมัน เห็นว่าจะตั้งราคาขาย (แค่) 350 ล้าน ยูโร (ประมาณ 15,000 ล้านบาท) นับว่าถูกสำหรับเรือรุ่นใหม่ขนาดนี้ แต่อย่างว่าไทยจะเอาเงินที่ใหนมาซื้อ และอาจต้องมาปรับปรุงให้เข้ากับอากาศบ้านเราอีก

ถ้าซื้อแบบที่เอาสินค้าทางการเกษตรไปแลกเช่นข้าวแบบนี้จะมีโอกาสมากรึเปล่าครับ

แบบว่ามันอาจช่วยลดภาระของทั้ง2ฝ่าย

กรณีเรือดำน้ำ ทร.คงมองภาพรวมถึงค่าใช้จ่ายในการฝึกกำลังพลประจำเรือ และเจ้าหน้าที่สนับสนุนบนบก รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ที่จำเป็น มากกว่าจะพิจารณาแค่ราคาเรือเป็นลำๆ ครับ เพราะถึงไทยเราจะเป็นประเทศแรกในภูมิภาคที่มีเรือดำน้ำประจำการ แต่ก็เว้นว่างมาจนปัจจุบันแทบไม่เหลือองค์ความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติการของเรือดำน้ำอีกแล้ว ถึงแม้ว่าจะยังคงมีการส่งคนไปเรียนหลักสูตรการปฏิบัติการของเรือดำน้ำบ้าง แต่ก็เป็นจำนวนน้อยและไม่มีโอกาสได้นำความรู้ที่ได้เรียนมาฝึกปฏิบัติจริงอย่างต่ิอเนื่อง ซึ่งการจัดหาเป็นโครงการแพคเกจ น่าจะได้ความคุ้มค่ามากกว่าเลือกช้อปของถูกแยกชิ้น (ตัวเรือ, หลักสูตรฝึกอบรม, สิ่งอำนวยความสะดวกบนบก) แล้วจับมายำรวมกันเองครับ

ค่าเงินบาทแข็งขึ้นไม่ได้หมายความว่าเราจะรวยขึ้นนะครับ

แต่เราก็ซื้อได้ถูกลงไม่ใช่หรือครับ ในกรณีของค่าเงินที่ไม่เท่ากัน

เมือตอนเย็นผมดูข่าวมาครับ ในข่าวเขาค่าเงินบาทของเราจะแ็ข็งขึ้น

ถือโอกาสนี้เลยดีไหมครับขอซื้อu214ของกรีซต่อแล้วให้เกาหลีใต้

ปรับปรุงให้ไม่แน่อาจจะได้มือสองจากเกาหลีใต้ไม่ว่าจะเป็นรถถัง(ของนาวิก)

หรือเรือดำน้ำก็ได้นะครับ

ข่าวนี้คงช่วยอธิบายเพิ่มเติมได้นะครับว่าค่าเงินบาทแข็งขึ้นไม่ได้หมายความว่าเรารวยขึ้น ต่อให้แข็งไปถึงใกล้เคียงกับตอนปี39-40 ก่อนวิกฤตต้มยำกุ้ง เราก็ยังไม่รวยขึ้นครับ

ชี้วิกฤติกรีซดูดเม็ดเงินไหลทะลักเข้าเอเชีย เตือน ธปท.รับมือเงินบาทแข็ง

ธปท.ระบุวิกฤติหนี้กรีซไม่กระทบสถาบัน การเงินไทย เผยมีสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อตรงให้กรีซแค่ 341 ล้านบาท ด้านนักวิชาการนิด้า-หอการค้าไทยเตือนแบงก์ชาติรับมือบาทแข็ง 

นายเกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สายเสถียรภาพสถาบันการเงิน กล่าวว่า หลังติดตามการลงทุนในพันธบัตรต่างประเทศ การให้สินเชื่อและการฝากเงินกับสถาบันการเงินต่างประเทศของระบบสถาบันการเงินไทย ล่าสุดพบว่าระบบธนาคารพาณิชย์ไทยมีเงินลงทุน เงินฝาก และเงินให้สินเชื่อกับต่างประเทศทั้งสิ้น 280,000 ล้านบาท หรือ 2.8% ของสินทรัพย์รวมของระบบธนาคารพาณิชย์เท่านั้นและหากคิดเงินเฉพาะเงินที่ไปลงทุนในสินเชื่อและฝากเงินในกรีซโดยตรงนั้น มีเพียงสาขาของธนาคารพาณิชย์ ไทยแห่งหนึ่งที่มีสาขาในสิงคโปร์ ได้ให้สินเชื่อกับบริษัทสัญชาติกรีซโดยตรงเพียง 341 ล้านบาทเท่านั้น 

"หากเกิดเหตุการณ์ในต่างประเทศที่ลุกลามจากวิกฤติหนี้ในประเทศกรีซ และประเทศในยุโรป ธปท.จึงไม่กังวลถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับระบบธนาคารพาณิชย์ไทย เพราะมีเงินทุนที่เกี่ยวข้องน้อยมาก" 

นายสุชาติ สักการโกศล ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจ ในประเทศ ธปท. กล่าวว่า ผลกระทบจากวิกฤติหนี้กรีซจะกระทบมาถึงเศรษฐกิจไทยมากหรือน้อยแค่ไหน คงต้องพิจารณาให้ชัดก่อนว่าความเสียหายที่เกิดจากวิกฤติครั้งนี้มากหรือน้อยและลุกลามไปแค่ไหน กองทุนที่ตั้งขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเพียงพอ จะประคองเศรษฐกิจยุโรปไม่ให้ชะลอตัวรุนแรงได้หรือไม่ "ในส่วนที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากที่สุด น่าจะเป็นการส่งออก แต่เท่าที่ทราบ เราส่งไปยุโรปประมาณ 10% และส่งออกไปยังกรีซโดยตรงไม่มาก ส่วนที่จะกระทบต่อเนื่องคงต้องรอให้เหตุการณ์นิ่งสักระยะ จึงจะประเมินผลกระทบได้อย่างชัดเจน" 

รศ.ดร.มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) เปิดเผยว่า วิกฤติทางการเงินของประเทศกรีซที่เริ่มลุกลามสู่ประเทศสเปนและโปรตุเกส ส่งผลให้สถาบันการจัดอันดับความน่าเชื่อถือประกาศปรับลดอันดับเครดิตของประเทศเหล่านี้ลง ทำให้มีความเป็นไปได้ที่นักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดเงินยุโรป อาจโยกเงินและเพิ่มสัดส่วนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดเงินเอเชียแทน เพื่อหาผลตอบแทนจากการลงทุนที่มากขึ้น 

สถานการณ์ดังกล่าวทำให้แนวโน้มค่าเงินสกุลเอเชียมีทิศทางแข็งค่ามากขึ้นจากการไหลเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งรวมถึงค่าเงินบาทของไทยที่ อาจแข็งค่าขึ้นจากระดับปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 32.33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และหากค่าเงินบาทแข็งค่ามากเกินไปย่อมส่งผลต่อการส่งออกที่ไทยยังต้องพึ่งพิงในสัดส่วนที่สูงถึง 70% ของจีดีพี ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการพยุงเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ระดับ 4.5% 

"ผลกระทบที่เกิดจากวิกฤติการเงินยุโรป อาจไม่ กระทบโดยตรงกับประเทศไทย แต่ยังต้องจับตามองสถานการณ์อย่างใกล้ชิดทั้งตลาดหุ้น อัตราดอกเบี้ย การส่งออก และค่าเงินบาท โดยเฉพาะเรื่องของค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ซึ่งแบงก์ชาติอาจต้องเข้ามาดูแลเสถียรภาพของค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าเกินไป จนส่งผลเสียต่อการแข่งขันในการส่งออกสินค้าของไทย" 

นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า หากปัญหาวิกฤติครั้งนี้จำกัดอยู่เฉพาะในกรีซ จะกระทบการส่งออกสินค้าไทยไปยุโรป 0.1% แต่หากผลกระทบลามไปโปรตุเกสด้วย จะกระทบการส่งออก 0.2-0.4% และกรณีเลวร้ายสุด หากผลกระทบของกรีซลุกลามไปยังโปรตุเกส สเปน ไอร์แลนด์ และอิตาลี จะกระทบการส่งออก 1.2-1.5% คิดเป็นมูลค่า 2,533 ล้านเหรียญสหรัฐฯ.

http://www.thairath.co.th/content/eco/82389

อืมเข้าใจแล้วครับ  ผมแค่อยากให้มีเรือดำน้ำไว้ใช้เท่านั้นเองครับ

 แล้วคิดว่าเรือดำน้ำของเราถ้ามีจะเป็นรุ้นไหนครับ