เดือนมิถุนายน 1940
เป็นช่วงวิกฤตที่สุดของอังกฤษในสมัยสงครามโลกครั้งที่
2เพราะเป็นช่วงที่อังกฤษถูกทอดทิ้งให้ต่อสู้กับกองทัพนาซีอย่างโดดเดี่ยว
หลังจากที่เยอรมันบุกยึด โปแลนด์,เดนมาร์ค,นอร์เวย์,เนเธอร์แลนด์และเบลเยี่ยมได้
ทั้งยังสามารถขับไล่กองทัพอังกฤษให้ถอยร่นไม่เป็นขบวนออกจากดังเคิร์ก
แล้วยึดฝรั่งเศสทั้งประเทศไว้ในกำมือได้อีกหนึ่งประเทศด้วย
จากชัยชนะดังกล่าว
ทำให้โอกาสที่จะเป็นเจ้าเหนือดินแดนยุโรปตะวันตกของฮิตเล่อร์ดูจะใกล้ความจริงมากขึ้น
ถ้าเพียงแต่เขาสามารถยึดสหราชอาณาจักรและปราบปรามประชาชนชาวอังกฤษผู้แสนผยองในศักดิ์ศรีของชาติให้ยอมหมอบราบคาบแก้วได้เท่านั้น
และแม้ว่าชัยภูมิที่ตั้งของเกาะอังกฤษซึ่งมีช่องแคบอังกฤษมากั้นระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสจะเป็นปราการธรรมชาติชั้นดีก็ตาม
แต่ฮิตเลอร์ก็ยังมั่นใจว่าแสนยานุภาพของกองทัพกางเขนเหล็กของเขาสามารถจะถล่มเกาะอังกฤษให้ราบเป็นหน้ากลองได้ประกอบกับได้รับฟังคำสนับสนุนจากฮิมเล่อร์
ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพกางเขนเหล็ก ซึ่งยืนยันว่า
งานดังกล่าวจะสำเร็จได้ภายในเวลาไม่เกิน 1อาทิตย์ด้วย
ทำให้เขาตัดสินใจยาตราทัพสู่สหราชอาณาจักรทันที
ฮิตเล่อร์อาจจะประเมินการณ์ไม่พลาด
เมื่อพิจารณาจากแสนยานุภาพทางอากาศของอังกฤษ ซึ่งมีเครื่องบินประจัญบานเพียง 750 ลำ
แบ่งเป็นฝูงบินสปิทไฟท์เสีย 20ฝูง ฝูงบินเฮอริเคน 22ฝูง ฝูงบินเบลนไฮม์ 8
ฝูงและฝูงบินดิไฟแอนท์อีก 2ฝูง
ซึ่งเบลน์ไฮน์และดิไฟแอทน์นั้นเป็นเครืองบินที่มีความเร็วต่ำมาก
ในขณะที่กองทัพกางเขนเหล็กของเยอรมันมีเครื่องบินรบที่มีสมรรถนะเยี่ยมยอดถึงกว่า
5,000 ลำ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดไฮเกล 111
เครื่องบินดอร์นิเอร์แบต่างๆหรือเครื่องบินยุงเกอร์ 88
ซึ่งบินด้วยความเร็วสูงสุดถึง 290 ไมล์ต่อ ชม.
นอกจากนี้ก็มียังมีเครื่องบินประจัญบานเมสเซอร์ชมิท 109และ 110 (ME109,ME110)
ไฮเกล113 ฯลฯ
ทว่า
ฮิตเล่อร์ประเมินความสามารถและความกล้าหาญของเสืออากาศอังกฤษต่ำเกินไป
เมื่อศึกถล่มเกาะอังกฤษเปิดฉากแรกขึ้นด้วยการโจมตีเมืองท่าอังกฤษ
เสืออากาศอังกฤษแห่งฝูงบินสปิทไฟร์ได้ใช้ความเร็วของเครื่องบินขับไล่ข้าศึก
โดยมีฝูงบินเฮอริเคนซึ่งบินด้วยความเร็วต่ำกว่าแต่หนักหน่วงกว่าคอยหนุนอีกทีหนึ่งในระยะแรกเยอรมันทำท่าจะมีชัยโดยสามารถรบกินแดนเข้ามาจนถึงใจกลางกรุงลอนดอน
แต่ทว่า เสืออากาศอังกฤษก็ทุ่มเทจิตใจในการปกป้องชาติอย่างถวายหัว ดังนั้นเพียง
4เดือนให้หลังสงครามเวหาเหนือกรุงลอนดอนก็ยุติลงอย่างสิ้นเชิง ในวันที่ 31 ตุลาคม
1940 ผลการรบในครั้งนั้นเยอรมันต้องสูญเสียเครื่องบินรบไปทั้งสิ้น 1,733ลำ
และชีวิตนักบิน 1,495 นาย
ในขณะที่อังกฤษเสียหายน้อยมากเมื่อเทียบกับความอยู่รอดของชาติที่เหล่าเสืออากาศอังกฤษสละชีวิตพิทักษ์รักษาไว้
เซอร์วินสตัน เชอร์ชิลล์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ
ถึงกับกล่าวปราศรัยต่อประชาชนชาวอังกฤษว่า "
ไม่เคยมีความขัดแย้งระหว่างมนุษยชาติครั้งใดที่คนส่วนใหญ่จะเป็นหนี้ชีวิตของคนส่วนน้อยมากมายใหญ่หลวงถึงปานนี้"
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=worason&month=22-05-2010&group=1&gblog=57
บทความนี้ผมเคยนำมาโพสสมัย Wing21ครับ แต่ขอนำมาถ่ายทอดอีกที
ความคิดเห็นที่ 1
มีส่วนประกอบอื่นด้วยครับ สภาพอากาศของอังกฤษเองก็มีผลที่ทำให้ลุฟวาเฟ่ปฎิบัติงานได้ลำบาก และอีกเรื่องคือเครื่องบินครับ เครื่องบินประจัญบานของเยอรมันหลายลำเช่น ME-109,FW-190ที่ไม่โดนยิงตก แต่ไม่สามารถกลับถึงสนามบินในฝรั่งเศสได้ เพราะน้ำมันหมดก่อนต้องร่อนลงทะเลจำนวนหนึ่งรวมไปถึงเครื่องบินทิ้งระเบิดเช่นเครื่องไฮเกน 111 ปืนที่ป้องกันน้อยมากรวมถึงเกราะที่บาง สามารถบรรทุกระเบิดที่บรรทุกได้น้อย ผมไม่เข้าใจทำไมเยอรมันถึงไม่พัฒนาเครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดหนัก เพราะเมื่อเทียบกับที่สัมพันธมิตร เครื่องบินทิ้งระเบิดเช่น B-17,B-24,แลงคาสเตอร์ กับมีเกราะที่หนา ปืนรอบตัว ตรงนี้คงเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เยอรมันไม่สามารถบุกยึดอังกฤษได้ครับ
โดยคุณ
nok 
เมื่อวันที่
22/05/2010 11:32:50
ความคิดเห็นที่ 2
สงครามเวหา คงต้องเป็น การยุทธทางอากาศเหนืออังกฤษ ซินะ
สิ่งที่ทำให้ RAF ชนะ ไม่ใช่ อะไร นอกจาก Radar Network ที่ติด ตามชายฝั่ง
โดยคุณ u3616234 เมื่อวันที่
22/05/2010 21:01:23
ความคิดเห็นที่ 3
เครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดหนักตัวที่เทพสุดเท่าที่เยอรมันมี ในยุคนั้นคือ เอชอี-177ไกรฟ์ ครับ น้ำหนักบรรทุกและระยะทางบินดีกว่า แทบจะเรียกว่าเป็นรองแค่ บี-29 แต่ก็นั้นล่ะออกมาทำการรบครั้งแรกก็ช่วงปลายปี1942-43 รุ่นที่ดีที่สุดออกมาในปี1944 แน่นอนว่ามียุทธการนึงส่งออกไปโจมตีลอนดอน แต่ก็เพราะปัญหาเครื่องยนต์จึงหล่นรายทาง โดนยิงตกน้อย เพราะสามารถบินไต่ระดับความสูงมากกว่า12000ฟุต จากฐานบินไปทิ้งระเบิดลอนดอนได้ นอกจากนั้นยังเป็น เครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดหนักที่เยอรมันเอามาทำภารกิจดำดิ่งแบบสตูก้า ด้วยน่ะครับ
ส่วน บีเอฟ-109นั้นไม่ได้ออกงานเข้าคุ้มกันไปทิ้งระเบิดเนื่องจากติเรื่องพิสัยบิน ผลงานเลยมาให้ บีเอฟ-110 เข้าทำแทน แต่ก็ไปหล่นซะมากเพราะสู้สปริตไฟร์ เฮอร์ริเคนไม่ได้เลย จนต้องปลดมาใช้ลาดตระเวณ ทิ้งระเบิดนั้นเอง
โดยคุณ
MIG31 
เมื่อวันที่
23/05/2010 02:41:33
ความคิดเห็นที่ 4
อังกฤษยุทธวิธีดีเยี่ยมครับแต่ฝีมือประดิษฐ์ของบางครั้งก็ห่วยเหลือเชื่อเช่นถุงผูกเท้าหรือกระโปรงรถถัง - -*
โดยคุณ
Banyat 
เมื่อวันที่
23/05/2010 23:47:03
ความคิดเห็นที่ 5
ถ้าดูตามประว้ติศาสตร์ นักบิน และ กองบิน ของ UK สู้ DE ไม่ได้เลยครับ
แต่คงต้องขอบคุณ ระบบ เตือนภัยทางอากาศ ทำให้ สามารถ rotation (ยังกะ ราฟา) เครื่องบิน กองบินอื่น ๆ มา แทรกได้
จริง ๆ แล้ว UK เกือบแพ้ แล้วครับ แต่ DE เปลี่ยนแผน มา ถล่ม เมืองแทน ทำให้ RAF ฟื้นตัวได้ และ มี พวก FlyBoy จากต่างประเทศ มาช่วย รบ เลยทำให้ รอด
โดยคุณ u3616234 เมื่อวันที่
24/05/2010 10:57:03
ความคิดเห็นที่ 6
สปิทไฟร์ คือเครื่องประจัญบานที่ดีที่สุดของอังกฤษในยุคนั้นรึเปล่าครับ
เคยได้ข้อมูลว่าเป็นรองแค่มัสแต็งนิครับ
โดยคุณ ZipDoZs เมื่อวันที่
06/06/2010 01:31:23