Displacement: | 4,000 tonnes |
Length: | 134 m (440 ft)(CCTV report) |
Beam: | 16 m (52 ft) (CCTV report) |
Propulsion: | CODAD, 4 x SEMT Pielstick 16 PA6 STC diesels, 5700 kW (7600+ hp @ 1084 rpm) each |
Speed: | 30 kn estimated |
Range: | 3,800 miles estimated |
Sensors and processing systems: |
Type 382 Radar (Updated from Type 381 "Sea Eagle S/C") 3D air/surface
search radar |
Electronic warfare and decoys: |
Type 922-1 radar warning receiver HZ-100 ECM & ELINT system |
มุมมองของผม
กองทัพเรือยังไม่ควรมีเรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศ เพราะภารกิจทับซ้อนกับของกองทัพอากาศ
ส่วนคุณลักษณะเรือฟริเกตในอนาคตของกองทัพเรือ
ระวางขับน้ำ 3,500 - 4,000 ตัน
ความเร็วสูงสุดที่ระวางขับน้ำเต็มที่ 28 - 30 น๊อต
อาวุธ
- ปืนใหญ่ขนาด 127 ม.ม. 1 กระบอก
- ปืน 30 หรือ 40 ม.ม. 2 กระบอก (แท่น)
- SSM 8 ท่อยิง
- Aspide 1 แท่น 8 ท่อยิง (แบบที่ติดบน ร.ล.สุโขทัย)
- CIWS เป็นแบบอาวุธนำวิถี (Simbad)
- แท่นยิงตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำ 2 แท่นยิง (1 แท่น 3 ท่อยิง)
- ฮ.ปราบเรือดำน้ำ
- มีโรงเก็บ ฮ.
- ส่วนระบบควบคุมการยิง เรด้าร์ โซน่า และอุปกรณ์ EWF ต่างๆให้เป็นระบบที่สอดคล้องกับการมีประจำการอยู่เพื่อลดภาระในการซ่อมบำรุง
- ออกทะเลได้ 30 - 45 วัน
เท่านี้ก็หรูมากแล้ว
เราลอง ลิสรายชื่อ กองทัพอากาศของเพื่อนบ้านดูกันจริงๆดีไม๊ว่า
ประเทศไหนมีเครื่องบินและ ASM อะไรบ้างที่จะคุกคามกองเรือของไทยได้บ้าง
ส่วนตัวก็เชียร์ให้ท.ร.มีเรือที่ติดตั้งแซมระยะกลาง 20-50ก.ม. ไว้ต่อตีอากาศยานข้าศึก เพื่อป้องกันด่านแรก ซึ่งหากมีแต่เรือที่ติดตั้งระบบป้องกันระยะประชิด คงไม่ดีนักเพราะเหมือนการวัดดวงใครครั้งเดียว แถมป้องกันในระยะใกล้เรือจนเกินไป ถ้าเรามีลูกยาวพอก็อาจจะสอยบ.ข.ข้าศึกได้ก่อนเขาจะลั่นไกยิงจรวดใส่เรือฝ่ายเรา ซึ่งหากเราไม่มีแซมระยะไกลนั้น ก็เท่ากับว่าปล่อยให้ข้าศึกบินวนอยู่ในระยะหวังผลยิงจรวดถล่มเรือเราไปเรื่อยๆโดยที่เราป้องกันจรวดได้อย่างเดียว
สำหรับภัยคุกคามท.ร.บ้านเราจริงๆคือชาติที่ใช้ บ.ข.จำพวก ซู-30 จากรัสเซียทั้งหลาย เพราะ บ.ข.จากรัสเซียมีอาวุธโจมตีเรือผิวน้ำ ค่อนข้างเยอะมากให้เลือกใช้ เคเอช-31/35 หรือ 3เอ็ม-80 มอสคิต รวมถึงบรามอสของอินเดียน่ะครับ ซึ่งล้วนแต่แรงๆทั้งนั้น
ซู-30 ใครมีประจำการบ้าง
แล้ว เคเอช-31/35 หรือ 3เอ็ม-80 มอสคิต ยืนยันที ใครมีประจำการบ้าง
ผลก็จะเหมือนกองทัพไทยที่ว่า
Jas 39 C/D ติดตั้ง RBS 15 ได้ แต่ไม่ได้ซื้อมาใช้ด้วย....
ยืนยันด้วยข้อมูลจริงๆทีเถอะครับ ถ้าได้ลิ้งค์แหล่งข่าวด้วยจะดีมาก
มันมาแล้วครับ มาเยอะซะด้วยสิ
ทาง Stockholm International Peace Research Institute เขาบอกมา
^
^
เยี่ยมครับ....
แล้วแนวโน้มการใช้กำลังระหว่าง ไทย มาเลเซีย มีระดับไหน แล้วศักยภาพของกองทัพอากาศไทย สูงพอที่ป้องกัน ป้องปราม ได้หรือไม่
ศักยภาพของกองทัพอากาศไทย และกองทัพเรือไทย เป็นรองของมาเลเซียอยู่พอสมควร โดยเฉพาะ R-27 และ AA-12 รวมกันแล้ว 300 ลูก
ส่วนกองทัพเรือก็ไม่ได้มี CIWS ติดตั้งบนเรือทุกลำ ส่วนเรือป้องกันภัยทางการไม่ต้องฝันถึงกันเลย แค่ระบบปล่อยอาวุธราคาก็สุดโหดแล้ว (VLS)
คำถาม....
บนสภาพของความเป็นจริงที่เป็นอยู่ กองทัพอากาศ และกองทัพเรือ จะมีแนวทางป้องกันตัวเองอย่างไร
กองทัพเรือ มีโครงการที่จะจัดหาเรือฟริเกต จำนวน 2 ลำ
โดยจะเป็นเรือที่มีสมรรถนะสูงด้านการป้องกันภัยทางอากาศ
ซึ่งก็ไม่เป็นการทับซ้อนกับกองทัพอากาศ
แต่อย่างไร/ใดๆ/เรื่องอะไร ทั้งสิ้น ครับ
การที่จะจัดหาอาวุธเพื่อความมั่นคงแลสวัสดิการของตนเองไม่จำเป็นว่าจะต้องไปมีปัญหากับใคร แต่จัดหามาเพื่อความมั่นใจและอุ่นใจว่าเรามีและสามารถใช้งานอาวุธนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ต้องรอว่ามีภัยมาคุกคามแล้วจึงสรรหามาอาจจะไม่ทันการ เช่น การต่อเรือหนึ่งลำย่อมใช้เวลานานกว่าที่เครื่องบินจัดหาอาวุธมาติด ถ้ารอว่าข้างเคียงจัดหาอาวุธที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นภัยคุกคามแล้วจึงจัดหา กว่าจะได้ของมา กว่าจะฝึกจนใช้งานได้ก็คงสายเกินแก้หากเกิดปัญหาระหว่างกันขึ้นมา มีปืนแล้วใช้งานเป็นโจรขึ้นบ้าน ย่อมใช้งานปืนนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ กับ ได้ข่าวว่าจะมีโจรขึ้นบ้านแล้ววิ่งหาซื้อปืนกว่าจะได้โจรขึ้นบ้านเรียบร้อย เพื่อนสนิทใจดีให้ยืมปืนก็ดันใช้ไม่เป็นเพราะไม่เคยใช้ปืนแบบนี้คุมคุ้มกันหรือไม่ ปัจจุบันผลประโยชน์ ทรัพยากร พลังงาน และเศรษฐกิจ มันสร้างความขัดแย้งได้ตลอดเวลาถึงแม้ว่าปัจจุบันมันจะยังเป็นมิตร ดังนั้น การที่จะมีโครงการเรือฟริเกตสมรรถนะสูงป้องกันภัยทางอากาศไว้ก่อนก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร การตั้งโครงการขึ้นมาใช่ว่าจะต้องจัดหาให้ได้เสมอไปเพราะมันอยู่ที่ฝ่ายจัดการเรื่องงบประมาณเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่เชื่อว่าการที่จะตั้งโครงการขึ้นมาสักโครงการย่อมจ้องมีเหตุผลว่าทำไมจึงต้องมี ไม่ใช่แค่อย่ากมีแล้วตั้งโครงการ
ความประมาทเป็นหนทางสู่ความตายครับ ตอนนี้เรามัวแต่ประมาทชะล่าใจเพื่อนบ้านไป ปุ๊บปั๊ปเกิดอะไรมาแล้วจะเตรียมตัวไม่ทัน
ในเรื่องการจัดหาระบบโจมตีเรือรบติดตั้งอากาศยาน เพื่อนบ้านตอนนี้ยังไม่ได้จัดหาก็จริงอยู่ แต่อย่าลืมเขามีความพร้อมในการจัดหามากกว่าเรา หากเขาเล็งเห็นว่าสถานการณืไม่ค่อยดี เขาก็สามารถจัดหาด้วยงบประมาณไม่รออนุมัติ เหมือนบ้านเรา
อีกอย่างเรือรบดีๆลำเดียวอาจจะไม่เพียงพอพลิกเกมให้เหนือกว่าได้ ซึ่งปริมาณในการป้องกันของเรือทุกลำคือสิ่งสำคัญ รวมถึงการฝึกทำงานร่วมกันในสภาวะต่าง ระบบป้องกันมีหลายระดับอยู่ที่ว่าท.ร.จะเลือกแบบใด รวมถึงฝึกการใช้งานมากแค่ไหนน่ะครับ
การจัดหาอาวุธนั้นไม่จำเป็นว่าต้องไปมีปัญหากับใคร ผมเห็นด้วยแต่แน่ใจได้อย่างไรว่า ใครเค้าจะไม่มีปัญหาอะไรกับเรา
ตามแผนการจัดหาเรือฟริเกตสมรรถนะสูง แน่ใจเหรอครับว่าจะเป็นเรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศ
ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือเรือชั้นนเรศวร และ เรือชั้นพระพุทธยอดฟ้า ถูกจัดเป็นเรือชุดหลักๆในการคุ้มกันเรือธง แต่เรือทั้งสองชุดต่างมีจุดด้อยในเรื่องการป้องกันภัยทางอากาศ และการป้องกันตัวเอง
การจัดหาระบบโจมตีเรือรบติดตั้งอากาศยาน เพื่อนบ้านตอนนี้ยังไม่ได้จัดหาก็จริงอยู่ แต่อย่าลืมเขามีความพร้อมในการจัดหามากกว่าเรา ม่ใช่ว่าพร้อมแล้วจะซื้อได้เลยนะครับ ต้องสั่งต้องรอ ไม่เหมือนเดินเข้า เซเว่น (ไม่ได้ค่าโฆษณาใดๆทั้งสิ้น) ไปหยิบแล้วจ่ายตัง มันมีช่วงระยะเวลาที่จะทำอะไรได้อีกเยอะ
1. แนวทางคุณ Puriku เป็นไปได้มากที่สุด ให้เรือฟริเกตติดตั้งระบบ CIWS ทุกลำ
2. ส่วนกองทัพอากาศต้อง อัพเกรด F-16 และ Jas 39 ให้ใช้ BVRAAM ได้ทุกลำ
2 โครงการเร่งด่วนในมุมมองของผม สำหรับกองทัพไทย
"การจัดหาอาวุธนั้นไม่จำเป็นว่าต้องไปมีปัญหากับใคร ผมเห็นด้วยแต่แน่ใจได้อย่างไรว่า ใครเค้าจะไม่มีปัญหาอะไรกับเรา"
นั่นแหละครับ ผมถึงมองว่าการตั้งโครงการจัดหาอาวุธเสียแต่เนิ่นๆเป็นสิ่งจำเป็นโดยอ้างอิงหลักการและเหตุผล ส่วนโครงการจะได้ดำเนินการตามมาทีหลังหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งสมมุติว่ามันเกิดไม่ได้จะต้องวางแผนรองรับอย่างไร
ส่วนในสถานการณ์ปัจจุบันนั้น ผมมองว่า เรื่อชุด ร.ล.นเรศวร นั้นมีการออกแบบรองรับการติดตั้งระบบอาวุธนำวิถีแต่ป่านนี้ก็ยังไม่ได้ติดเสียที ก็ควรจะมีการเริ่มต้นนำเนินการไปก่อนช่วงที่รอเรือฟริเกตสมรรถสูงป้องกันภัยทางอากาศชุดใหม่ดีกว่าปล่อยเนื้อที่ให้เสียเปล่าๆโดยไม่ใช้ประโยชน์ การที่จะติดตั้ง ESSM ในเรือชุด ร.ล.นเรศวร จึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำ
ส่วนเรือชุด ร.ล.พระพุทธยอดฟ้า นั้นเท่าที่ดูแล้วจะเน้นไปในทางปราบเรือดำน้ำเป็นหลักด้วยจรวดแบบ แอสร็อค จึงไม่ได้เน้นไปที่การป้องกันภัยทางอากาศ จะมีเพียงแต่ ฟาลังก์ เท่านั้นที่ไว้สำหรับป้องกันระยะประชิด และการจะปรับปรุงเพื่อติดอาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยานดูจะไม่คุ้มค่าเพราะเป็นเรือที่เก่า
แต่ทั้งนี้จะไม่ขอเอ่ยถึงจรวดพื้นสู่พื้นและปืนเรือที่มีอยู่ในเรือฟริเกตอยู่แล้ว
ผมเห็นด้วยที่กองทัพเรือต้องมีเรือป้องกันภัยทางอากาศ เพราะหากต้องพึ่งกองทัพอากาศอาจจะไม่ทันการ และสามารถป้องกันภัยกองเรือได้อีกด้วย
จากข้อมูลของคุณ : xxxd3v1llexxx
ส่วนตัวผมว่า KDX I จากเกาหลี น่าจะเหมาะสมกับกองทัพเรือไทย
ปรับเปลี่ยนอาวุธนิดหน่อย
1.Goalkeeper ด้านหลังถอดออก ติด Aspide แทน ด้านหน้าติด Phalanx แทน
2.ปืนใหญ่ 127 ม.ม. เปลี่ยนจากของอิตาลี เป็นของอเมริกา
เพราะ ระบบ VLS แพงมาก ประกอบกับ ปืนใหญ่ 127 ม.ม. Aspide และ Phalanx มีประจำการอยู่แล้ว
KDX II ใหญ่และแพงไปหน่อย (ถึงอยากให้จัดหาก็เถอะ)