พอลองพิจารณาจาก งบประมาณ ถ้าใน 5 ปีนี้ ถ้า ทร. ยังไม่สามารถจัดหา เรือดำน้ำมาได้...ผมก็มองในมุมและความเห็นเดียวกับ คุณ PINJI และ คุณ RMUK และคุณ sam
งบประมาณความต้องการของ ทร. ที่นอกเหนือจาก เรือดำน้ำ แล้ว
ยังมีเรือ OPV เรือฟริเกต สมรรถนะสูง ในขณะนี้ ปัจจุบัน ทร. มี อากาศยาน ปราบเรือดำน้ำ เพียง P-3T จำนวน 2 ลำ (อีก 1 ลำ ไม่ทราบว่าเปลี่ยนจาก บ.ลำเลียง เป็น บ.รบ หรือยัง ? )กับ ฮ.ปด.ที่ปรับปรุงใหม่ จำนวน 3 ลำ ที่ต้องใช้ครอบคลุมภาระกิจทั้ง 2 ฝั่งทะเล คือ อันดามัน กับ อ่าวไทย...รวมแล้ว ทร. มีอากาศยาน ที่จะสามารถตรวจจับ และต่อต้านเรือดำน้ำได้ ประมาณ 5 ลำ...
นอกนั้น ทร. ต้องใช้ เรือผิวน้ำ ต่อต้านเรือดำน้ำ แบบประจัญหน้า ปัจจุบันก็มีประมาณ 9 ลำ ที่พอจะมีศักยภาพ คือ เรือชั้นพุทธฯ จำนวน 2 ลำ ชั้น รัตนโกสินทร์ จำนวน 2 ลำ และชั้น ตาปี จำนวน 2 ลำ กับชั้น คำรณสินธุ จำนวน 3 ลำ
ในขณะที่ มีเรือดำน้ำประจำการอยู่ในภูมิภาคนี้ คือ มาเลเซีย 2 ลำ สิงคโปร์ 4 ลำ อินโดฯ 2 ลำ รวม 8 ลำ
และในอนาคต มาเลเซียจะมี 4 ลำ สิงคโปร์จะมี 2 ลำ อินโดฯ ไม่ต่ำกว่า 4 ลำ และเวียดนามประมาณ 4 ลำ รวม 14 ลำ
ทร. อาจจะต้องกลับข้าง งบประมาณ จาก จัดหางบประมาณ 40,000 ล้านบาท เพื่อเรือดำน้ำจำนวน 2 ลำ แล้วถึงจะจัดหางบประมาณอีกที่ผมคาดว่า ไม่น่าจะต่ำกว่า 40,000 ล้านบาท อีกเช่นกัน สำหรับการจัดหา OPV ไม่ต่ำกว่า 3 ลำ และ เรือฟริเกตสมรรถนะสูง อีก 2 ลำ...ในลำดับต่อมา...
การกลับข้าง คือ ทร. อาจจะต้องใช้งบประมาณที่อาจจะมากขึ้น อาจจะประมาณ 40,000 - 50,000 ล้านบาท โดยการจัดหา เรือ OPV หรือ เรือที่มีคุณสมบัติตรวจจับหรือต่อต้านเรือดำน้ำได้ และเรือฟริเกต แบบมัลติโรล คือ ต่อต้านอากาศยาน ผิวน้ำ และใต้น้ำ รวมถึง อากาศยาน ที่มีความสามารถต่อต้านเรือดำน้ำ ประมาณ 1-2 ฝูงบิน (ทั้งปีกแข็ง และปีกหมุน)...รวมถึงอุปกรณ์ตรวจจับสัญญาณใต้น้ำ...ก่อนการจัดหา เรือดำน้ำ...
จะทำให้ ทร. มีศักยภาพเรือผิวน้ำ และอากาศยาน ครบตามความต้องการก่อน แล้วจึงจัดหา เรือดำน้ำ มาในคราวหลัง...
เนื่องจาก มาเลเซีย ก็จะมีการจัดหา เรือฟริเกตใหม่อีก 2 ลำ และเรือ OPV ใหม่อีก 6 ลำ ที่มีความสามารถต่อต้านเรือดำน้ำ รวมถึงอากาศยานประจำเรือ...ในระยะอันใกล้นี้ อีกเช่นกัน...
ซึ่งถ้า ทร. จะรองบประมาณจัดหา เรือดำน้ำ ก่อน...ก็จะทำให้ ทร. ต้องตามหลังในเรื่อง เรือผิวน้ำ อีกตามมา...
ทร.เสนอความต้องการเรือดำน้าไว้ในแผนยุทธศาสตร์ และแผนจัดหาระยะยาว มาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้วครับ ไม่ใช่เริ่มมาปลุกอะไรขึ้นมาตอนนี้ ไม่ใช่มัวแต่ทำอะไรกันอยู่อย่างที่คุณกับตันนีโมบอก แต่ลองนึกภาพเวลาเสนอโครงการที่มีมูลค่ารวมมากกว่างบประมาณประจำปีโดยรวมของหน่วยงานดูซิครับว่ารัฐบาลจะให้ง่ายๆใหม ทร.ได้รับ งป.ประมาณ ๓๐,๐๐๐ล้าน+ต่อปี แต่โครงการจัดหา ด. ๒ลำมูลค่าประมาณ ๕๐,๐๐๐ล้านบาท(ของมาเลย์ที่ซื้อไปแล้วแพงกว่านี้อีก -ราคาตอนนี้นะครับ)ให้ผ่อน ๑๐ ปีก็ยังปีละ๕,๐๐๐ ล้าน ปกติสำนักงป.ไม่ให้ก่อหนี้ระยะยาวขนาดนั้น ทอ.ยังพอทำได้โดยแบ่งเป็น ๒ ระยะ ซื้อกริปเปน ระยะละ ๖ ลำ ระยะละ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ทร.ก็พอจะแบ่งเป็นระยะๆละลำได้ แต่ก็คงจะแพงขึ้นอีกเพราะบริษัทต่อเรือไม่ต้องการทำที่ละลำ ส่วนใหญ่ เขาจะสร้างพร้อมกันโดยสร้างเหลื่อมกันเล็กน้อย ค่าใช้จ่ายจะลดลงมาก
แต่ที่กล่าวมานี้ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้เลยในเรื่องการจัดการด้าน งป. ที่สำคัญกว่าคือรัฐบาลมีความเข้าใจถึงความสำคัญของโครงการ และจะให้การสนับสนุนหรือไม่ ที่ผ่านมาไม่เคยให้ความสำคัญ และไม่ส่งเสริมเพราะเห็นว่ามันแพง ไม่ก่อให้เกิดผลผลิตที่เป็นรูปธรรม จึงขอให้ชะลอไว่จนถึงบัดนี้ จนกระทั่งเห็นว่าในอาเซียนเหลืออีกไม่กี่ประเทศแล้วที่ยังไม่มี ด.หรือมีแนวโน้มที่จะจักหาในระยะเวลาอันใกล้นี้( ที่มีแล้วคือ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย กำลังสั่งซื้อคือ เวียดนาม และพม่าส่งคนไปเรียนแล้ว )ดังนั้นจึงเหลือไทย กับกัมพูชา บรูไนและ ฟิลิปปินส์ ที่ยังไม่มี) ตอนนี้จึงเริ่มจะมีคนนอก ทร.เห็นว่าประเทศชั้นนำในอาเซียนเขาทิ้งเราไปไกลแล้วจึงพอมีเสียงสนับสนุนมากขึ้น แต่ก็ยังคงไม่ง่ายหรอกครับ ปี งป. ๕๔ ก็เสนอขึ้นไปอีก แต่ก็ยังไม่ได้ มาเลเซียเขาทุ่มให้เหล่าทัพใดเหล่าทัพหนึ่งเป็นช่วงๆ โครงการ ด.เขาถึงเกิดขึ้นได้ เช่น ๕ ปีนี้เทเงินให้ ทร.เพื่อให้จัดหาเรือดำน้ำ ทร.ได้มากกว่า ทบ. ๕ ปีต่อจากนี้ ทุ่มให้ ทอ. แต่ของเราไม่ครับได้เท่าไรก็เป็นสัดส่วนเท่าๆกันทุกปี ไม่มีทางที่ ทร. หรือ ทอ.จะได้งป.มากกว่า ทบ.
คงต้องรออีกระยะหนึ่ง อาจต้องรอให้พม่า หรือ กัมพูชา สั่งซื้อเสียก่อน รัฐบาลอาจจะยอมเสียเงินก็ได้ครับ
ลำดับเหตุการณ์ การเสียโอกาสของ ทร. กับ เรือดำน้ำ ครับ
ปี 2534 เกิด รปห. นายกฯชาติชาย เกิดสูญญากาศทางการเมือง ( เป็นนายกฯ สมัยที่ ทร. ได้รับการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญ จนถึงมีแนวโน้มจะมีการพิจารณา เรือดำน้ำ)
ปี 2535 เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง พ.ค.ทมิฬ
ปี 2536 2537 เกิดสูญญากาศทางการเมืองอีกครั้ง
ปี 2538 สมัย นายกฯ บรรหาร ทร. ได้รับการอนุมัติจัดหาเรือดำน้ำจาก สวีเดน จำนวน 2 ลำ แต่ถูกทำแท้งซะก่อน (เป็นโอกาสเดียว และโอกาสสุดท้ายของ ทร. ในห้วงระยะตั้งแต่ปี 2538 จนถึงปัจจุบัน ที่จะมีเรือดำน้ำมากที่สุด)
ปี 2539 เริ่มเกิดปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ
ปี 2540 เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤติการณ์ต้มยำกุ้ง (ทร.สิงคโปร์ เริ่มประจำการ เรือดำน้ำ)
ปี 2541 2543 ประเทศไทย ประคับประคอง ให้พ้นจากการล้มละลาย
ปี 2544 เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว
ปี 2545 2547 เศรษฐกิจมีการเติบโต และมีความมั่งคง
ปี 2548 เริ่มมีการวางแผนพัฒนากองทัพจัดเป็นแผนระยะยาว ควบคู่กับแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ เริ่มมีการพูดถึง โครงการเรือดำน้ำ อีกครั้งหนึ่ง และมีแนวโน้มจะได้รับการอนุมัติ
ปี 2549 มีการ รปห. อีกครั้ง เกิดสูญญากาศทางการเมือง
ปี 2550 2553 เกิดความวุ่นวายทางการเมือง และการแก่งแย่งอำนาจทางการเมือง (ทร.มาเลเซีย เริ่มประจำการ เรือดำน้ำ)
และถ้าในอีกระยะ 5 ปี ข้างหน้า ทร. ยังไม่สามารถจัดหา เรือดำน้ำ เข้าประจำการได้
ปี 2558 ทร.อินโดนีเซีย มีประสบการณ์ เรือดำน้ำ ในภูมิภาคนี้ เป็นระยะเวลากว่า 34 ปี
ปี 2558 ทร.สิงคโปร์ มีประสบการณ์ เรือดำน้ำ ในภูมิภาคนี้ เป็นระยะเวลากว่า 18 ปี
ปี 2558 ทร.มาเลเซีย มีประสบการณ์ เรือดำน้ำ ในภูมิภาคนี้ เป็นระยะเวลากว่า 6 ปี
ปี 2558 ทร.เวียดนาม กำลังจะเริ่มหรือเตรียมการเข้าประจำการเรือดำน้ำ
และถ้า ทร.จัดหาเรือดำน้ำ หลังปี 2558 ทร.จะมีระยะห่างประสบการณ์ เรือดำน้ำ ในภูมิภาคนี้ กับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นระยะเวลากว่า 1 3 ทศวรรษ
ผมจึงมองว่า ถ้าในระยะ 3 5 ปีนี้ ทร. ยังไม่มีแนวโน้มของเรือดำน้ำ ผมว่า ทร. คงต้องเปลี่ยนแนวการต่อต้านเรือดำน้ำใหม่ โดยพัฒนากองเรือผิวน้ำ (จัดหาเรือผิวน้ำเพิ่มเติมให้ครบจำนวนตามความต้องการ และเพิ่มเติมภาระกิจสงครามใต้น้ำด้วย (ทั้งสงครามทุ่นระเบิดและเรือดำน้ำ)) และ อากาศยาน (จัดเป็นฝูงบินตรวจจับและต่อต้านเรือดำน้ำ) รวมถึงอุปกรณ์ตรวจจับแนวใต้น้ำ ซึ่งในแง่งบประมาณน่าจะสามารถทะยอย เป็นโครงการงบประมาณต่อเนื่องในระยะ 5 8 ปี ได้ และหลังจากมีเรือผิวน้ำครบ และอากาศยาน เพียงพอต่อภาระกิจ ก็จะเหลือเพียงงบประมาณจัดหาเรือดำน้ำ อย่างเดียว โดย ทร. อาจจะมีระยะเวลากว่า 15 20 ปี ที่ว่างเว้นไม่ต้องจัดหางบประมาณสำหรับเรือผิวน้ำใหม่อีก
แล้วเมื่อไหร่จะมีมาไทยมั้งจังครับอยากเห็นกองทัพเรือไทยมีอย่างต่ำๆก็
A 19 T แล้วร่วมพัฒนา A26 ไปกับสวิเดน รวมไปถึงอาวุธอื่นๆ เพราะเราชื้ออาวุธจากเขา เขาก็ท่ายทอดเทคโนโลยีและอื่นๆอีกเป็นการลงทุนที่คุ้ม เห็นแล้วหน้าเป็นห่วง กองทัพเรือขาดแคนสุดๆ
Malaysia reveals value of Scorpene deal
The Malaysian Defence Ministry has confirmed that the procurement of its two new Scorpene submarines has cost MYR6.7 billion (USD2.1 billion). The deal includes MYR4.3 billion for the submarines, MYR148 million for support and test equipment and MYR869 million for 40 SM-39 Block II Exocet anti-ship missiles and 30 BlackShark torpedoes, according to a statement to MP Chua Tian Chang reported by Malysian media on 22 June
first posted to http://jni.janes.com - 23 June 2010]
ข่าวจาก Janes มาเลเซียเตรียมจะจัดหาล็อต 2 อีก 2 ลำ
ของ ทร.ไทย ขนาดมือ 2 ยังไม่มีแวว ในระยะอันใกล้...
นับวัน เรือดำน้ำ ในภูมิภาคนี้ จะมีเพิ่มมากขึ้น ตามลำดับ ทั้ง เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ที่กำลังจะจัดหาเพิ่มเติม
ถ้าในระยะอีก 5 ปีนี้ ทร. ยังไม่สามารถจัดหาเรือดำน้ำมาได้...ความห่างของประสบการณ์สงครามใต้น้ำของ ทร. กับประเทศเพื่อนบ้าน สำหรับการปฏิบัติการในน่านน้ำของภูมิภาคนี้ ก็จะห่างขึ้นไปเรื่อย ๆ ทุกที...
ผมว่า ดีไม่ดี ทร. อาจจะต้องเปลี่ยนแนวสำหรับสงครามใต้น้ำ จาก เรือดำน้ำ กับ เรือดำน้ำ มาเป็นระบบ เรือผิวน้ำ และ อากาศยาน ต่อต้านเรือดำน้ำ และระบบตรวจจับแนวใต้น้ำ แทน เรือดำน้ำ...
ผมว่า ภายใน 10ปีนี้ ด.ของ ทร. มาแน่ครับ จะหนึ่ง หรือสอง เท่านั่นเอง ตอนนี้เอา งป.ไปเสริมสร้างด้านอื่นๆก่อนครับ พอเสริมสร้างอาวุธด้านอื่นๆ จนได้ที่แล้ว คงไม่พ้น ด. แน่นอน เพราะว่ากันตามจริง ประเทศเราก็ไม่ได้จนถึงขนาดซื้อ ด.ไม่ได้หรอกครับ เพียงแต่ต้องค่อยๆบริหาร งป.ที่มีอยู่อย่างจำกัดนี้ ให้รัดกุมที่สุด และเอาไปพัฒนาชาติด้านอื่นๆก่อน แต่ ด.เนี่ย ช้าเร็วยังไงก็มาแน่นอน ฟันธง!!!! ผมว่า ทร. จะได้ ด.ก่อนที่บอลไทยจะไปบอลโลกแน่นอนครับ อิอิ นั่นช้ากว่าเยอะ ^ ^