อยากสอบถามเพื่อนสมาชิกทั้งหลายที่ศึกษาวิชาทหารมาด้วยกันนะครับ
1.ท่านเรียนเพื่ออะไรครับ
2.ท่านคิดว่าการจัดกำลังสำรองของเราเหมาะสมหรือยัง ตอบสนองความต้องการทั้งปริมาณและคุณภาพหรือยังนะครับ ขอความเห็นอย่างสร้างสรรค์นะครับ
สำหรับข้อ1.ผมเรียนเพราะ1.ได้เพื่อน(เพราะไม่ใช่เด็กกิจกรรม) 2.ได้จับยุทโธปกรณ์ทางทหาร 3.ทำให้เข้าใจอาชีพทหารมากขึ้น
สำหรับข้อ2.ผมมีความเห็นดังนี้นะครับ
การฝึกไม่สามารถให้ความรู้ได้อย่างสมบูรณ์เพราะ
1.ขาดแคลนเครื่องช่วยฝึก
2.มีกิจกรรมมาทับซ้อนวิชาที่สำคัญ (ปี4-5ผมไม่ได้เรียนวิชาเหล่าเลย ต้องไปซ้อมสวนสนาม เขาให้รามไปทุกคน)
3.ไม่มีสิ่งรองรับเมื่อจบการศึกษา ได้แค่โลหะติดตัวคือติดยศแต่แทบไม่มีความหมาย(ผมว่าผมจะไม่ไปขอว่าที่ร้อยตรีหรอก ไปมันทั้งยศพลทหารนี่แหละครับ สด.8เขาว่างั้นเหล่าม้าสระบุรีด้วย)
ข้อเสนอแนะซึ่งหากมีโอกาสจำรวบรวมข้อมูลทำจดหมายนำเรียนต่อไป
การกำลังพลสำรองที่ครูฝึกบอกว่าคือทหารคนหนึ่งนั้น ผมจึงมีความเห็นดังนี้นะครับเพื่อเป็นการลบมลทิลที่หาว่าเรียนหนีทหารซึ่งบางคนอาจจะคิดเช่นนั้น
การฝึกศึกษาวิชาทหารควรที่จะมีวิชานี้นะครับ
1.ทฤษฎีสงคราม (ดูกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง)
2.แบบธรรมเนียมทหาร
3.ยุทธวิธี รุก รับ ร่น สงครามกองโจร สงครามในเมือง(ลองเข้ากูเกิลแล้วพิมพ์ว่าคู่มือราชการสนามดู)
4.อาวุธศึกษา ฝ่ายเรา ฝ่ายตรงข้าม การใช้งาน คุณลักษณะ การถอดประกอบและการบำรุงรักษา
5.แผนที่เข็มทิศ ระบบหาพิกัดด้วยดาวเทียม
6.การติดต่อสื่อสาร การใช้งานวิทยุ การซ่อมบำรุง การสร้างเครื่องส่งอย่างง่าย รหัสมอร์ส
7.วิชากิจการพลเรือน อุดมการณ์ความรักชาติ จิตสำนึกประชาธิปไตย
8.การปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์
หลักสูตรมีลักษณะดังนี้ ซึ่งบางจังหวัดทำอยู่
ภาคที่ตั้ง
ควรเป็นหลักสูตรรวดเดียวและมีการทดสอบที่เข้มข้น รู้จริงปฏิบัติได้ และมีคุณภาพ
การฝึกภาคสนามควรฝึกเป็นระดับไปดังนี้
ปี1-2ความรู้ระดับพลทหาร
ปี3 ความรู้ระดับนายสิบ
ปี4-5ความรู้ระดับนายทหาร
โดยหลังจากจบการฝึกจะต้องมีการทดสอบเพื่อออกจากการฝึก
มีการให้คะแนนสะสมเก็บไว้
หลังจากจบการศึกษาทั้งระดับปี3หรือปี5นำคะแนนดังกล่าวมาพิจารณารับเข้าราชการในระดับที่ได้รับคุณวุฒิ
สรุป1.หลักสูตรเหมาะสม
2.อุปกรณ์การศึกษาพร้อม
3.มีสิทธิประโยชน์รองรับ คือระบุเลยว่าเรียน รด.เพื่อเป็นทหาร
อาจจะยาวไปหน่อยขออภัยเพื่อนสมาชิก
การกำลังพลสำรองผมจะให้ความหมายรวมถึงเกณฑ์ทหารด้วย
หากเป็นไปได้ จะดีไหมถ้าเราจะรับแต่คนที่อยากเป็นทหารโดยแท้จริงเป็นระบบอาสาสมัครไปเลยแล้วให้สิทธิประโยชน์เขาไปให้ดี โดยทหารได้จาก4ทางคือ
1.นักเรียนนายสิบ/นักเรียนจ่า
2.นักเรียนนายร้อย
3.กำลังพลสำรอง1.ผู้จบ รด.ปี3-5
2.ผมชายไทย20ปีบริบูรณ์ที่สนใจเป็นทหาร
4.อาสาสมัครทหารพราน รับเขาเป็นข้าราชการเลยครับเขาทำเพื่อเราขนาดนี้ไม่ต้องให้เขาต้องสอบนายสิบหรอกยกเว้นเขาต้องการ
เพราะปัจจุบันเราคงต้องลดกำลังทหารลงจึงจำต้องเตรียมกำลังสำรองที่พร้อม 72ชั่วโมงในที่ตั้งมันคงช้าไปต้องเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
หลายคนเคยบอกว่าถ้าเขาเรียกพลคงเกณฑ์เราไปตาย ซึ่งก็ต้องเป็นเช่นนั้นแต่ก่อนที่จะตายต้องแลกมาด้วยความพินาศของข้าศึก
เชิญสมาชิกร่วมแสดงความคิดเห็นครับ
1. เรียนเพื่ออะไร
ตรงๆไม่อ้อมค้อม ไม่อยากไปเป็นพลทหาร
2. เหมาะสมหรือยัง ตอบสนองความต้องการทั้งปริมาณและคุณภาพ
การฝึกของ นศท. เปรียบเทียบกันกับการฝึกทหารใหม่ เปรียบได้กับเด็กเล่นขายของ
ผมจบ นศท.ปี5 ทหารปืนใหญ่ (ฝึกที่ ป.พัน 1 เกียกกาย)
เพื่อนผมจบมาด้วยกัน มันยังอ่านแผนที่ เข็มทิศยังไม่เป็นเลย วิชาปืนใหญ่เองก็เถอะ เนื่องจากตอนฝึก ผมอยู่ในส่วนยิง (พลประจำปืน) เลยมีความรู้แค่การตั้งยิงปืนใหญ่ และวิธีการยิง เท่านั้น ในส่วนของ ศอย. (ศูนย์อำนวยการยิง) ผตน. (ผู้ตรวจการหน้า) วิชาเหล่านี้ผมไม่มีความรู้เลย
ผมเคยเขียนไว้ที่นี่นานแล้วว่าทำไมผมถึงเรียนจนจบหลักสูตร 5 ปี ทั้งที่แค่ไม่ต้องการเป็นพลทหาร
เหตุผลจริงๆเลยก็คือ เสียดายชุดฝึก เพราะตอนจบปี 3 แล้วเพื่อนที่จะเรียนปี 4 ปี 5 ต่อ มันขอชุด เป๋ กระติกน้ำ รองเท้า เข็มขัด หมวก มันขอทั้งเซ็ตเลย
ไอ้ผมก็เสียดายของเลยต้อง ทู่ซี้ เรียนกับมันจนจบ (เป็นเวร เป็นกรรมอะไรไม่รู้) คำสั่งแต่งตั้งยศเป็นว่าที่ร้อยตรี ก็ไม่ได้ไปขอด้วย เพราะไม่ได้คลั่งไคล้อะไรปานนั้น
การฝึกศึกษาเพื่อผลิตคนออกมาให้มีคุณภาพนั้น ประกอบด้วยหลายสิ่ง อยู่เหมือนกัน
- สภาพแวดล้อมของสถานที่ฝึกและศึกษา
- ผู้ถ่ายทอดมีความรู้ (อันนี้เชื่อว่ามีแน่) มีความตั้งใจจะถ่ายทอด (อันนี้ไม่แน่ใจ)
- ตัวผู้เรียนเอง มีความสนใจ ตั้งใจเรียนแค่ไหน
ไม่ได้หมายความว่า ผมจะไม่รักประเทศ ไม่รักแผ่นดินเกิด ผมเป็นคนที่ไม่ชอบอะไรที่มันเป็น พิธีรีตรองมากๆ อย่างตอนรับปริญญาก็เหมือนกัน (ทั้งตรี และโท) ผมก็ไม่รับ (อันนี้หัวเกือบแตก ดีหลบทัน)
มุมมองของผมคือ แค่กระดาษแผ่นเดียว ทำไมขั้นตอนมันมากมายอะไรปานนั้น
สำหรับพลทหารแล้ว หลักสูตรที่หนักที่สุด เหนื่อยที่สุด คงไม่พ้นการถูกคัดเลือกเข้าไปอยู่ กองพันลาดตระเวณ (นย.)
เพราะต้องฝึก
- โรงเรียนทหารใหม่ 3 เดือน
- ศูนย์ฝึกนาวิกโยธิน 3 เดือน
- รบพิเศษ อีก 3 เดือน
รวมแล้ว 9 เดือน นึกสภาพเอาเองแล้วกัน (หูตูบตั้งแต่ยังไม่ลงหน่วย)
ผมจบ ร.ด.ปี5 ประมาณปี37 ติดยศว่าที่เรือตรีประมาณปี 39(ทร.มีอบรมก่อนติดยศอีก 15 วัน )
ที่ จขกท.เสนอมาผมว่าตอนผมเรียนมันมีครบถ้วนหมดนะครับ แม้แต่สิทธิต่างๆในการเข้าศึกษาต่อโรงเรียนทหารหรือรับราชการจะได้เป็นคะแนนพิเศษ แต่ผมจำคะแนนไม่ได้ ผมใช้คะแนน ร.ด.ปี5 สอบรับราชการกองทัพเรือ(ในสายวิชาชีพ) ก็ได้คะแนนนี้แหละเป็นตัวช่วยแถมยังไม่ต้องไปฝึกปรับฐานอีก 3 เดือน(ใจจริงอยากไป แต่ ทร.ไม่ให้ไปเพราะผ่านปี5 มาแล้ว เปลืองงป.)
เรื่องยศ.กองหนุนลืมไปได้เลย...รับราชการจริงก็รับยศจริงตามคุณวุฒิครับ
ผู้สนใจต้องขยันหาข้อมูลการรับสมัครรับราชการครับ เหล่าทัพจะไม่ประกาศโจ่งครึ่มแบบ กพ.(ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน)
ส่วนที่ จขกท.เสนอ เป็นสิ่งที่ดี สร้างสรรค์ครับ แต่ผมจำได้ว่าได้เรียนหมดนะ แต่สมัยหลังๆผมไม่ทราบเหมือนกันว่ามีการลดทอนหลักสูตรลงหรือไม่ครับ ^^
อย่าไปคิดอะไรมากครับ ชื่อมันก็บอกอยู่แล้ว นักศึกษาวิชาทหาร แค่ไปศึกษาวิชาทหารเฉย ๆ ว่าอะไรเป็นอะไร ไปเรียนแค่รู้ ในเบื่องต้น ยังไม่ลึกอะไรมาก
หลักสูตรของทหารอาชิพ จริง ๆ หลักสูตรนึงเขาเรียนกันเป็นปี แล้ว รด. ได้เรียนกี่วัน เรียนกันแค่ อาทิตย์ละ 1 วัน วันนึงเรียนแค่ 5-6 ชม.
ขณะที่ยังเรียนหรือใช้บ่อยก็ยังสามารถใช้ความรู้ความสามารถได้ แต่ถ้าไม่ได้ใช้ก็จะลีมเกือบหมดต้องกลับมาฝึกใหม่ก่อนใช้ สำหรับผมคิดว่าปัญหาของกำลังสำรองคือ การบังคับบัญชาโดยเฉพาะเรื่องรับคำสั่งมักจะมีข้อโต้แย้ง รู้มากกว่าคนสั่ง ศักดิ์ศรีมาก ทำให้แม้นแต่ฝึกยังควบคุมยาก (หมายถึงจาก นศท ไม่ใช่ ทหารกองประจำการ) พูดง่ายฯ ส่วนใหญ่วินัยยังน้อยเห็นได้ชัดตอนฝึกของกสร
เรียนเพื่อ...ให้ได้รับสิทธิ์ยกเว้นในการคัดเลือกเข้าเป็นทหารกองประจำการเป็นเป้าหมายหลัก ( ส่วนใหญ่นะครับ ) ส่วนต่อๆมาก็ เรียนตามเพื่อน ถ้าผ่านการทดสอบร่างกาย หรือ เห็นรุ่นพี่เค้าใส่ชุดแล้วดูเทห์ แมน ไม่เหมือนเครื่องแบบนักเรียนทั่วไป...แต่บางคนบางท่านเรียนในสิ่งที่ตนเองชื่นชอบ....
แต่สิ่งหนึ่งที่จะได้จากการเรียนคือหลักวิชาทหารซึ่งพลเรือนทั่วไปไม่รู้ แต่จะได้มากได้น้อยก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลทั้งสองฝั่ง อย่างที่คุณ น่าคิดว่าไว้.......
ผมจะบอกให้นะครับเราเป็นกำลังพลสำรองไม่ใช่ว่าเราไม่มีความหมายนะครับเพียงแต่ตอนนี้ยังไม่มีใครเห็นคุณค่าของเราแค่นั้นเองครับ ทหารมีอยู่สองประเภท คือทหารกองประจำการ และ ทหารกองหนุน ถ้ามีแต่ทหารกองประจำการ แต่ไม่มีทหารกองหนุน ประเทศมันจะไปเหลืออะไรครับ ถ้าทหารประจำการตายหมดเราก็เป็นทาสเขานั้นแหละครับ เราอย่าไปน้อยใจว่าใครๆก็ไม่รักเรา ร.ด.มันก็แค่เด็กอมมือแค่นั้นระเบียบวินัยแย่ ซึ่งมันก็จริงเพราะคนที่มาเรียนร.ด.ก็เพื่องอายุ 16 ปีแค่นั้นเทียบกับนักเรียนนายสิบแล้วพวกเค้าสตาร์ทกันที่อายุ 18 ปียังอยากหล่ออยากเท่อยู่จะให้อยู่ในระเบียบวินัยอะไรนักก็คงไม่ได้ ปัญหามันอยุ่ที่ว่าจะโทษกันจริงๆ มันก็ต้องโทษทั้งสองฝ่าย กองทัพก็รับแบบไม่ได้คัดเลย ร.ด.เยอะแต่ไม่มีคุณภาพ เรียนก็ไม่ได้ตั้งใจเรียน ส่วนใหญ่เรียนเพื่อหนีทหารไม่อยากเป็นทหารเกณฑ์ ให้ไล่แค่ หมู่ปืนเล็กยังไม่ถูกเลย ครูฝึกไม่ให้ความสำคัญกับการฝึกนัก ลงโทษก็เหมือนกับลงโทษลูกเสือเด็กมันจะไปกลัวอะไร อุดมการณ์ความรักชาติก็ไม่สอนมาสอนตอนเข้าเขาชนไก่แค่วันเดียว เด็กจะไปสนใจอะไรทำไมไม่เอาจริงเอาจังกับเด็กเริ่มแต่วันที่สมัครจนถึงจบออกไปเลย ทำให้ได้ครึ่งนึงของนักเรียนนายสิบก็ยังดี ให้ความสนใจกันหน่อย ถ้าไม่ให้ความสนใจก็ยุบไปซะแค่นั้นเอง ถ้ายังเห็นแก่อนาคตของชาติเราไม่รู้หรอกว่าสงครามจะมีเมื่อไหร่ ตราบใดที่ยังมีผลประโยชน์สงครามย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ
ปืนสมัยใหม่ก็แทบจะไม่ได้จับได้จับแค่ปืนเก่าๆ แล้วจะเอาอะไรไปสู้กับเค้าตอนฝึกได้แต่ปืนไม้เก่าๆ พอออกรบจริงๆให้จับM16 Tar 21 แล้วทหารกองหนุนจะใช้เป็นมั๊ยครับ เพราะไม่มีความคุ้นเคยเลยเห้อ พูดไปก็เหมือนหนังเรื่องยาว ถ้าจะโทษต้องโทษกองทัพที่ไม่เอาจริงเอาจังกับการฝึกเลย
แต่เราจงภูมิใจไว้ว่าเราก็เป็นทหารเหมือนกัน แม้ว่าเราจะเป็นทหารกองหนุนแต่เราก็คือทหารคือผู้ตัดสินอนาคตของชาติ เครื่องแบบเราสามารถใส่ได้แต่เราต้องใส่ให้มันดุกาละเทสะด้วยไม่ใช่แต่งเครื่องแบบไปเที่ยวห้างโดนกระทืบแน่ๆ การวางตัวเราต้องวางตัวให้สมกับที่เราเป็นทหารด้วยนะครับ ไม่ใช่ใส่ชุดทหารนายสิบนายร้อยแล้วทำตัวเละเทะเหมือนพลเรือน แล้วจะมีทหารที่ไหนเค้าให้ความเคารพเราครับ ฝากแค่นั้แหละครับ
1.มีพวกลูกท่านหลานเธอเยอะจนครูฝึกทำอะไรไม่ได้
2.มีพวกหวงอำนาจขนาดหนักไม่ยอมลงจากอำนาจสักที
3.หากมีกำลังสำรองที่มีคุณภาพบางครั้งกำลังสำรองก็มีความสามารถมากกว่าทหารในบางเรื่อง กองทัพก้จะพัฒนาจนทหารหัวโบราณตามไม่ทัน
การเรียน รด.หากเรียนเพื่อไม่อยากเป็นทหาร (ไม่ต้องเกณฑ์ทหาร) ถือว่าผิดเจตนารมณ์ครับ
การเรียน รด. เรียนเพื่อเป็นทหาร
สิทธิที่ผู้เรียนได้รับคือ เมื่อจบ รด.ปี 3 จะได้รับการยกเว้นไม่เรียกเข้ารับราชการทหารกองประจำการ
แต่คุณมีหน้าที่จะต้องเข้ารับราชการทหารในการเตรียมพลทุกประเภท คุณจะมีชื่อยู่ในบัญชีบรรจุกำลังตามแผนป้องกันประเทศ รวม 23 ปี หมายความว่าทันทีที่คุณจบ รด.ปี 3 เมื่อขึ้นทะเบียนและนำปลดแล้ว คุณจะเป็นทหารไป 23 ปี แต่จะอยู่ในสภาพของทหารกองหนุน ราชการทหารเรียกเมื่อใด ต้องไปรายงานตัวเข้ารับใช้ชาติครับ หากหลีกเลี่ยงขัดขืน จะมีความผิดตามกฏหมาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 4 ปี หนักกว่าหนีเกณฑ์ทหารครับ ที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี เพราะถือว่าคุณรับสิทธิไปแล้ว ต้องคำนึงถึงหน้าที่ด้วย
ผู้ที่จบ รด.ปี 3 ถ้าอยากรู้ว่าคุณจะพ้นราชการทหาร วัน เดือน ปีใด ให้ดูหน้าหลังของใบเล็ก ๆ ยาว ๆ ในสมุดประจำตัวทหารกองหนุนเล่มสีเขียว (สด.8) เหนือตราสิงห์แดง ๆ ของผู้ว่าราชการจังหวัดน่ะ บรรทัดสุดท้ายจะกำหนดวันพ้นราชการทหารไว้ ลองดูซิว่าตั้งแต่ปลด ครบ 23 ปี หรือไม่ นานนนนนน.....มาก ราชการไม่ฉลาดน้อยกว่าพวกเราหรอก เป็นการจัดเตรียมกำลังที่ใช้งบประมาณน้อยกว่าเกณฑ์ทหารเข้าไปเยอะ ๆ เราเป็นประเทศที่ร่ำรวยน้อยอ่ะครับ
ตามที่กล่าว หากเราตั้งเจตนารมณ์ว่าเรียนเพื่อไม่เป็นทหาร จึงผิดตั้งแต่ก้าวแรกแล้วครับ เสี่ยงจับใบดำแดงดีกว่า พ้นแล้วพ้นเลย เพี้ยง..............
5555+
"กินขนม ตัดผม กลับบ้าน"
1.ผมเรียนเพราะสนใจด้านการทหาร เรียนต่อปี 4-5 เพราะ เสียด้ายเสื้อแล้วก็อยากไปเขาชนไก่
2.ผมว่าศูนย์ใหญ่ในเมืองหลวงมันไม่ค่อยจริงจังกับการฝึกเท่าไรเลยครับ สู้พวกศูนย์ต่างจังหวัดไม่ได้เลยการลงโทษก็เบามากสงสัยกลัวพวกลูกท่านหลานเธอ ต่างจังหวัดนี่ระเบียบวินัยมาก่อนยิ่งถ้าเจอพวกครูทหารที่บ้าสงครามน่ะ โหสุดยอดไปเลยพี่ แทบอ้วก ผมว่าการมีกองกำลังสำรองเป็นสิ่งที่จำเป็นน่ะครับ มองในแง่ปริมาณผมว่าได้ล่ะ แต่ถ้าคุณภาพผมว่ายังต้องปรับปรุงอีกเยอะครับอย่าที่คุณ champ thai army บอกแหละครับ
"ปืนสมัยใหม่ก็แทบจะไม่ได้จับได้จับแค่ปืนเก่าๆ แล้วจะเอาอะไรไปสู้กับเค้าตอนฝึกได้แต่ปืนไม้เก่าๆ พอออกรบจริงๆให้จับM16 Tar 21 แล้วทหารกองหนุนจะใช้เป็นมั๊ยครับ เพราะไม่มีความคุ้นเคยเลยเห้อ พูดไปก็เหมือนหนังเรื่องยาว ถ้าจะโทษต้องโทษกองทัพที่ไม่เอาจริงเอาจังกับการฝึกเลย " +ผลัดผม m-60 ก็ไม่ได้ยิง พี่แกบอกงบไม่มี
เกิดภาวะสงครามจริงจะเรียกกำลังสำรองมาฝึกทบทวนแล้วส่งไปรบเลยผมว่ามันจะพาไปกันไปตายๆป่าวน่ะเนี้ย
ทำไมไม่เรียนให้จบ ม.6 .หรือ ตรี ก่อน ก็ไปสมัคร เป็นทหารล่ะ ครับ
ถ้าอยากเป็นทหารจริงๆ ก็ต้องรอได้ สิ ส่วนตัวแล้ว รด. ก็ไม่มีวินัยอยู่แล้ว
วุฒิภาวะก็น้อย ไม่มีความรับผิดชอบเท่าไร สู้พลทหาร ไม่ได้เลย ไม่ มีความเป็นมือ อาชีพ เท่าไร ส่วนมากคนมาเป็นทหาร จะมีอายุ 21 up มีความรับผิดชอบสูง มี การศึกษาที่ดี มีวินัย บางสมัครใจมา บางคน ต้องยอมรับสภาพ. ว่าที่ร้อย.รด. กับ พลทหารก็ไม่ต่างกันเท่าไรหนัก พลทหารเป็นได้ทั้ง ผู้นำและผู้ปฏิบัติ และ ผู้ถูกปฏิบัติ ฉะนั้นแล้ว รด.กับพลทหารต่าง กันมากเลยทีเดียว. พวก รด. ก็ รู้อยู่แล้ว ส่วนมาก นักเรียน นาย สิบมาจากพลทหาร ทั้งนั้นคับ. ข้อแตกต่างเห็นได้ชัด เวลาฝึก
.ไม่มีแล้วไรจะเขียนแล้ว ส่วนผมไม่เรียน รด. คับ อ่านหนังสือทางทหารทั่วไปก็รู้แล้ว.
1.ท่านเรียนเพื่ออะไรครับ
ตอบ จะได้ไม่ต้องไปเสี่ยงลุ้นจับใบดำใบแดงหรือยัดใต้โต๊ะไม่ได้กลัวเหนื่อยอะไร หรอก แต่กลัวเริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวช้าหลังจบปริญญาและจะไปสอบเข้าเตรียมทหาร ด้วย
2.ท่านคิดว่าการจัดกำลังสำรองของเราเหมาะสมหรือยัง ตอบสนองความต้องการทั้งปริมาณและคุณภาพหรือยังนะครับ ขอความเห็นอย่างสร้างสรรค์นะครับ
ตอบ สำหรับตัวผมเองผมว่าผมได้มาเยอะมากเลยนะ อาจเป็นเพราะที่ศูนย์ฝึกผมเคร่งมาก มีทั้งพวกผ่านสงครามจริงมามีทั้งพวกจบมนุษย์กบมา (ไม่รู้ทำไมพวกนี้ชอบทำอะไรเพี้ยนๆ) ประกอบกับสนใจด้านนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หนังสือเล่มเขียวเล่มแดงอ่านมันทุกหน้าและเป็นการฝึกรวดเดียวจบไม่ได้ฝึก อาทิตย์ละวันแบบสมัยนี้ ทำให้มันได้อารมณ์มากกว่า ตื่นมาไปฝึกตื่นมาไปฝึกเหนื่อยก็เหนื่อยให้มันหนักๆไปเลย ไม่ใช่เหนื่อยครึ่งวัน อีกหกวันครึ่งสบาย อาจเป็นเพราะเหตุนี้วินัย นศท สมัยนี้เลยแย่มาก
ปล.โรงเรียนนายร้อยของต่างประเทศเขาก็ใช้ปืนเก่าๆแบบ นศท ของเรานี่ละครับเวลาฝึก ขลังดีออกไม่รู้ว่ายิงมากี่ศพแล้ว