1เรือพิฆาตและเรือฟริเกตในปัจจุบันมีความแตกต่างกันอย่างไรครับในด้าน
-ภารกิจ หรือ
-เทคโนโลยี อาวุธ
2.อนาคตต่อไปในความเห็นของทุกท่านประเทศไทยจะสามารถจัดสร้าง..เรือฟริเกตหรือเรือพิฆาตเองได้หรือไม่และเมื่อใด...
จากเริ่มแรก 2.1เรือตรวจการใกล้ฝั่ง สู่
2.2 เรือตรวจการไกลฝั่ง...แบบมีที่จอดเฮลิเคอปเตอร์ แต่ไม่มีโรงเก็บ.....(ยังห่างชั้นจากจากเรือ "มิไร" อยู่นะ ฮาๆ)
3.เทคโนโลยีอาวุธต่างๆที่จะติดตั้งในเรือรบของเรา.จะสามรถผลิตได้ในประเทศได้ไหม ต้องหรือสมควรจัดหาจากประเทศใด..และควรติดตั้งสิ่งใด....
...อยากมีเรือติดขีปนาวุธพร้อมต่อต้านเรือดำน้ำและอีจิสครบเซ็ตสักลำ........ลำเดียวก็พอในตอนนี้..ฮาๆๆๆ
เรือฟริเกตชั้นเพอร์รี ประเทศสหรัฐ
http://www.tnews.co.th/html/read.php?hot_id=6522
เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น Holland ประเทศ เนเธอร์แลนด์
http://aagth1.exteen.com/20080802/holland
เรือชั้น Kuang Hua VI ของ ทร.ไตหวัน (ติดตั้ง จรวด Hsiung Feng II รัศมีระยะ 170 ก.ม.)
http://www.thaiarmedforce.com/distribution/viewtopic.php?f=6&t=1015&start=0
แถมอีกอัน...
เรือลาดตระเวณชั้นเอจิส (AEGIS) ของกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลของประเทศญี่ปุ่นยุคปัจจุบัน ชื่อ "มิไร" (DDG-182 Mirai, มิไร แปลว่า "อนาคต") ....
ลูกเรือ DDG-182 Mirai (สังกัด JMSDF)
ตัวละครเอกของเรื่องนี้ คาโดมัตสึมียศเป็นนาวาโทแห่งกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลของญี่ปุ่น ตำแหน่งต้นเรือและรองผู้บังคับการเรือมิไร (ต่อมาเมื่อนาวาเอกอุเมสึซึ่งเป็นผู้บังคับการเรือได้รับบาดเจ็บจึงได้เลื่อนขึ้นเป็นผู้บังคับการเรือแทน)
ต้นปืนประจำเรือมิไร ยศนาวาตรีแห่งกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลของญี่ปุ่น ในช่วงแรกของเรื่องเป็นนายทหารที่ไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอดีต แต่ด้วยคำหว่านล้อมของคุซากะำทำให้มาซายุกิเปลี่ยนใจไปเข้ากับจักรวรรดิญี่ปุ่น แม้คาโตมัตสึจะห้ามแล้วก็ตามแต่มาซายูกิก็เชื่อความคิดตัวเองและยึดอำนาจไปจากเรือทำให้คาโตมัตสึต้องยอมลงจากเรือเพื่อรักษาความสงบไว้
ต้นหนประจำเรือมิไร ยศนาวาตรีแห่งกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลของญี่ปุ่น
นาวาเอกแห่งกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเล ผู้บังคับการเรือ (กัปตัน) และเป็นผู้มีอำนาจสั่งการสูงสุดของเรือมิไร เขให้ความเอาใจใส่ต่อลูกเรือและให้ความสำคัญสูงสุดต่อการรักษาชีวิตกำลังพลของตนเองได้ คนที่เคยทำงานกับอุเมสึต่างเรียกเขาว่า "ตะเกียงที่จุดในเวลากลางวัน" (昼行灯, ฮิรุอันดง) จากนิสัยของเขาที่เป็นคนเรียบง่ายและไม่ใคร่จะระวังสิ่งรอบข้างตนเองนัก หลังจากเรือมิไรได้ย้อนอดีตกลับมาสู่สงครามโลกครั้งที่สองอย่างลึกลับ อุเมสึได้เสนอต่อลูกเรือของตนไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ในสงครามครั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของประวัติศาสตร์
อุเมสึชาญฉลาดในการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล ไม่ว่าเมื่อเรือมิไรจะถูกโจมตีหรือลูกเรือของตนจะตัดสินใจเข้าร่วมรบกับจักรพรรดินาวีญึ่ปุ่นก็ตาม ระหว่างที่เรือมิไรปฏิบัติการถอนกำลังทหารญี่ปุ่นในหมู่เกาะอลูเตียน (Aleutian Islands) อุเมสึได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างหนัดระหว่างที่เรือมิไรสู้กับเรือรบชั้นแอตแลนตาของสหรัฐอเมริกา เขาจึงต้องเข้ารับการรักษาตัวที่เมืองโยโกสึกะและมอบอำนาจตำแหน่งผู้บังคับการเรือให้แก่คาโดมัตสึ ต่อมาเมื่ออุเมสึทราบข่าวว่าคุซากะมีแผนการสร้างระเบิดปรมาณูจึงเดินทางไปยังเมืองนานกิงพร้อมกับเรือโทคิซารากิแห่งจักรพรรดินาวีญี่ปุ่นเพื่อหยุดยั้งแผนการของคุซากะแต่ไม่สำเร็จและเสียชีวิตระหว่างพยายามขัดขวางการเคลื่อนย้ายยูเรเนียมความเข้มข้นสูงของคุซากะ
เรือเอกแห่งกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลและแพทย์ประจำเรือมิไร เธอเป็นลูกเรือหญิงเพียงคนเดียวบนเรือลำนี้ เธอมีทัศนคติที่เป็นกลางและไม่สนใจในการร่วมถกเถียงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นเพราะเธอเห็นว่าการรักษาพยาบาลผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งที่เธอให้ความสำคัญมากที่สุด
เรือเอกแห่งกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเล นักบินประจำเครื่องบินขึ้นลงทางดิ่ง "อุมิโดริ" (MVSA-32J Umidori) ของเรือมิไร เขาเป็นคนที่มีนิสัยจริงจังและบางครั้งก็ขาดความอดทนต่อการอยู่ในระเบียบวินัย หลังการย้อนอดีตมาสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ไม่กี่วัน ซาดาเกะและโมริ พลปืนประจำเครื่องอุมิโดริ ได้รับคำสั่งจากคาโดมัตสึให้ทำการลาดตระเวนในแถบโองาสะวาระเพื่อพิสูจน์ว่าตนอยู่ในยุคสงครามโลกจริงหรือไม่ เขาได้ตัดสินใจบินลาดตระเวนเหนือพื้นที่ดังกล่าวเพียง 500 ฟุต ทำให้ซาตาเกะและโมริถูกโจมตีจากเครื่องบินทะเลขับไล่แบบ 2 ของกองทัพจักรวรรดิ 2 ลำ และเป็นเหตุในโมริเสียชีวิต ซาตาเกะจึงโทษตัวเองว่าเพราะการตัดสินใจผิดพลาดของตนจึงทำให้โมริต้องเสียชีวิต ภายหลังเมื่อเรือมิไรปฏิบัติการร่วมกับจักรพรรดินาวีในการถอนกำลังทหารในน่านน้ำนิวกินี กองทัพสหรัฐอเมริกาได้ทุ่มกำลังฝูงบินขนาดใหญ่ทำลายเรือมิไร ซาตาเกะจึงนำเครื่องบินอุมิโดริขึ้นรบเพื่อคุ้มกันเรือจากการถูกทิ้งระเบิดและได้นำเครื่องบินของตนเข้าขวางลูกระเบิดที่กำลังจะพุ่งเข้าใส่เรือมิไรเนื่องจากปืนกลประจำเครื่องบินไม่สามารถใช้งานได้ หลังการรบปรากฏว่าซาตาเกะหายสาบสูญ
นาวาตรีเหล่าทหารสื่อสารแห่งจักรพรรดินาวีญี่ปุ่น ได้รับความช่วยเหลือจากนาวาโทคาโดมัตสึแห่งเรือมิไรหลังจากที่เครื่องบินซีโร่ที่ตนนั่งมาถูกยิงตกทะเลระหว่างเดินทางจากมิดเวย์เพื่อส่งมอบบันทึกการรบในยุทธนาวีมิดให้แก่กองบัญชาการกองทัพเรือผสม การที่เขาได้รับความช่วยเหลือจากคาโดมัตสึทำให้เขาได้รับรู้ถึงอนาคตของญี่ปุ่นในอนาคต ซึ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงครามและฟื้นตัวขึ้นมาใหม่อีกครั้งด้วยอิทธิพลของสหรัฐอเมริกา คุซากะจึงเกิดความรู้สึกปฏิเสธต่ออนาคตของญี่ปุ่นยุคหลังสงครามที่เขาได้เห็น และต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์อนาคตใหม่ให้ญี่ปุ่นยุคหลังสงครามยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้โดยไม่พบกับความพ่ายแพ้ และปราศจากอิทธิพลของการปกครองของทหาร โดยเขาเรียกชื่อญี่ปุ่นใหม่ในความคิดของตนว่า "ซีปัง" คุซากะจึงเริ่มทำการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์หลายเหตุการณ์ ทั้งโดยการลงมือด้วยตัวเองและยืมมือคนอื่นให้ช่วย เพื่อให้เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เขาได้รับรู้มาถึงเร็วกว่าที่บันทึกไว้ พร้อมทั้งยังคิดที่จะสร้างระเบิดปรมาณูให้สำเร็จก่อนสหรัฐอเมริกา โดยเป้าหมายคือการใช้เป็นเครื่องมือในการเจรจาสันติภาพกับสหรัฐอเมริกาด้วย
เรือเอกแห่งจักรพรรดินาวีญี่ปุ่น เขาเป็นนายทหารสื่อสารฝีมือดี และเป็นนักเรียนนายเรือรุ่นน้องของคุซากะและนับถือในตัวคุซากะมาก หลังการหายสาบสูญของนาวาตรีคุซากะที่มิดเวย์และมีข่าวเกี่ยวกับการปรากฏตัวของเรือลึกลับ ทำให้เขาเกิดความสงสัยว่าเรื่องทั้งสองจะมีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่ จึงทำการตรวจสอบจนกระทั่งพบกับคุซากะและคาโดมัตสึที่สิงคโปร์ และนำไปสู่การพบกับเรือมิไร ในระยะที่เขาได้อยู่ในเรือมิไรนั้น เขาเกือบจะคว้านท้องตัวเองเพราะถือว่าตัวเองเป็นเชลยจากการที่เรือมิไรทำการยิงปืนเรือขัดขวางการยิงถล่มกองทัพสหรัฐอเมริกาที่กัวดาคาแนลของเรือประจัญบานยามาโตะ เขารับปากที่จะเดินทางไปยังเยอรมนีเพื่อลอบสังหารอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำนาซีเยอรมนี ตามคำขอของคุซากะซึ่งต้องการจะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ แต่ไม่สำเร็จ เขาสามารถหลบหนีฝ่ายเยอรมนีออกมาได้แต่ถูกยิงบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
นายพลเรือเอกแห่งจักรพรรดินาวีญี่ปุ่น ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพเรือผสมของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เขามีความสนใจในเรือมิไรเป็นอย่างมากนับตั้งแต่พบเห็นเรือลำนี้โผล่ขึ้นมาอยู่กลางกองเรือที่เดินทางไปร่วมยุทธนาวีที่มิดเวย์และสามารถเอาตัวรอดจากการสกัดกั้นของเรือรบจักรวรรดิได้ ศักยภาพของเรือมิไรจึงทำให้ยามาโมโตะต้องการจะให้เรือลำนี้เข้าร่วมรบในกองทัพเรือผสมเพื่อให้ญี่ปุ่นเอาชนะกองทัพสหรัฐอเมริกาและหาทางเปิดการเจรจาสันติภาพได้
เรื่องย่อ
เรือลาดตระเวณชั้นเอจิส (AEGIS) ของกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลของประเทศญี่ปุ่นยุคปัจจุบัน ชื่อ "มิไร" (DDG-182 Mirai, มิไร แปลว่า "อนาคต") ได้บังเอิญย้อนเวลากลับไปยังสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง และต้องเผชิญหน้าทั้งกับกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น และกองทัพของสหรัฐอเมริกา โดยมีตัวละครหลักคือนายทหารเรือของจักรพรรดินาวีญี่ปุ่น คุซากะ ทาคุมิ ได้รู้ถึงอนาคตของประเทศญี่ปุ่นจากฐานข้อมูลในเรือมิไร จึงได้พยายามเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์โดยพยายามให้ญี่ปุ่นเร่งสร้างอาวุธนิวเคลียร์ให้ได้ก่อนอเมริกา เพื่อให้ญี่ปุ่นรอดจากการแพ้สงคราม ให้ญี่ปุ่นใหม่กลายเป็นประเทศในฝันตามชื่อ "Zipang"
เอามาดูให้ขำๆนะฮับ^^
(DDG-182 Mirai, มิไร แปลว่า "อนาคต"
คำนี่น่าจะอ่านออกเสียงเป็นอีกอย่างที่ไม่ใช่คำว่า " มิไร "
ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยครับ
(DDG-182 Mirai, มิไร แปลว่า "อนาคต" คำนี่น่าจะอ่านออกเสียงเป็นอีกอย่างที่ไม่ใช่คำว่า " มิไร " ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยครับ |
โดยคุณ : mint |
------------------------------------
เขียนอย่างนั้น อ่านอย่างนั้นถูกต้องแล้วคะ
.......ผมก้อไม่ค่อยรู้นะคับ ถามจากเพื่อนที่เป็นทหารเรือ เค้าก้อบอกว่า ความจริงมันก้อเป็นเรืออย่างเดียวกัน ระหว่างเรือพิฆาต กับ เรือฟรีเกต ต่างกันตรงขนาดและระบบอาวุธที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย หน้าที่ยังคงเดิมคับ คือทำหน้าที่เป็นเรือคุ้มกันกองเรือเวลาเดินทางในสมรภูมิ หน้าที่รองคือทำหน้าที่เรือปืน ระดมยิงชายฝั่งระยะปานกลางถึงใกล้ นอกนั้นก้อทำหน้าที่ไล่ล่าข้าศึกในทะเล.....
......เรือคุ้มกันอีกประเภท มีขนาดเล็กกว่าฟรีเกต คือเรือคอร์เวต ติดอาวุธคล้าย ๆ กัน แต่ไม่มากเท่าฟรีเกต เพื่อนเล่าว่า เทียบได้กับเรือตอร์ปิโดสมัยก่อน จัดเป็นเรือคุ้มกันที่ทำหน้าที่พุ่งเข้าโจมตีข้าศึกก่อน อาศัยขนาดเล็ก ความเร็วสูง ติดอาวุธหนัก และทำหน้าที่คุ้มกันชั้นใน เพื่อป้องกันระยะประชิด หากว่าฟรีเกตเกิดพลาดท่าโดนอาวุธข้าศึกจนหย่อนสมรรถนะการป้องกันไป....
......เรือลาดตระเวน กับ เรือประจัญบาน ก้อคือเรืออย่างเดียวกันอ่ะคับ ต่างกันที่ขนาดและระบบอาวุธเหมือนกัน......
......เรือประจัญบานสมัยสงครามโลกลำใหญ่มหึมา ติดปืนขนาดใหญ่จำนวนมาก ปืนเล็กปืนน้อยอีกทั่วลำ ลุยเดี่ยวได้เลย ใครก้อเข้าไม่ติด ยกเว้นเรือดำน้ำอ่ะคับ.....
......เรือประจัญบาน ยังเป็นสัญลักษณ์ทางอำนาจของประเทศมหาอำนาจในยุคสงครามโลก และก้อเป็นเอกลักษณ์การจัดกำลังรบ ที่แยกชั้นได้ว่า กองทัพของประเทศนั้น เยี่ยมยุทธ หรือกระจอกงอกง่อยดังนี้คับ.....
......ประเทศมหาอำนาจ และประเทศที่เจริญร่ำรวยใช้กองทัพเรือเป็นกองทัพหลัก....
......ประเทศที่กำลังพัฒนา จนถึงด้อยพัฒนา ใช้กองทัพบกเป็นกองทัพหลัก......
......มีอิสราเอลเพียงประเทศเดียวที่นอกสาระบบ คือใช้กองทัพอากาศเป็นกองทัพหลัก จะใช้กองทัพบกก้อคนน้อย ตายสักหมื่นสองหมื่นคนก้อแทบหมดกองทัพแล้ว แล้วเวลารบกันนี่ กองทัพที่ตายมาก สูญเสียมากที่สุดก้อคือกองทัพบกล่ะคับ......
.....นักบินอิสราเอลนี่ จะว่าเก่งที่สุดหลังสงครามโลกก้อว่าได้คับ ขนาดว่าอาหรับเจอเครื่องบินรบอิสราเอลม่ะไร แค่มิก 25 เจอกะ เอฟ.4 มิกก้อโกยเมฆกระจายแล้วคับ ถ้าเอฟ.4 ลำนั้นมีนักบินอิสราเอลนั่งอยู่.....