หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


รวมเครื่องบินตระกูลซ้าบ

โดยคุณ : tan02 เมื่อวันที่ : 12/09/2010 08:13:28

สวัสดีครับ เนื่องจากกระทู้รวมเครื่องบินตระกูลต่างๆขายดี(ฮา) วันนี้เพื่อฉลองที่อีกไม่นานไทยเราจะได้เป็นเจ้าของน้องยาส39 (หรือแจ๊สนั้นแหละ) ประกอบกับที่ได้ทำเครื่องบินของค่ายมะกันและรัสเซีย เลยมองหาค่ายทางยุโรปบ้าง ก็เลยมาลงเอยที่ค่ายซ้าบของน้องยาส39นี่ละคร้าบ

เรามาทำความรู้จักกับต้นตระกูลและพี่น้องของยาส39 กันเลยครับ

 

Saab 17

ซ้าบ17 หรือซ้าบ บี17 เป็นเครื่องบินลาดตะเวนทิ้งระเบิดขนาดเบา แบบสองที่นั่ง ของสวีเดนที่ผลิตระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง บินครั้งแรกในปี1940 ประจำการในปี1942 และปลดประจำการในช่วงปี1947-1950

ได้มีการส่งออกซ้าบ17 ให้กับฟินแลนด์ ออสเตรีย และเอธิโอเปีย





ความคิดเห็นที่ 1


Saab 18

ซ้าบ18 หรือซ้าบ บี18 เป็นเครื่องบินลาดตะเวนและทิ้งระเบิดขนาดกลางสองเครื่องยนต์ ใช้พลประจำเครื่องสามคน (นักบิน,พลปืน และพลทิ้งระเบิด) บินครั้งแรกในปี1942 ประจำการในทอ.สวีเดน ช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง (ปี1944)  และปลดประจำการในปี1959 (ยุคสงครามเย็น) รวมการผลิตตั้งแต่ปี1944-1948 เป็นจำนวนสองร้อยกว่าลำ

เรียกว่าซ้าบ18 เป็นเครื่องบินที่ผ่านมาสองยุค คือสงครามโลกครั้งที่สองและยุคสงครามเย็น ในปี1948 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายในการผลิต ได้มีการสร้างรุ่นที18บี ซึ่งสามารถยิงจรวดอากาศ-สู่-พื้น แบบแรกของสวีเดนด้วย


โดยคุณ tan02 เมื่อวันที่ 03/09/2010 05:23:47


ความคิดเห็นที่ 2


Saab 21

ซ้าบ21 เป็นเครื่องบินใบพัดขับไล่และโจมตี มีเครื่องยนต์อยู่ด้านหลัง และหางสองหาง บินครั้งแรกในปี1943 ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่มาประจำการเอาเดือนธันวาคม ปี1945 หลังจากสงครามโลกสิ้นสุดไปแล้ว มันจึงเหมือนสองลำแรกที่ไม่เคยออกรบจริง แต่จากท่าทางที่เห็นนี่ น่าจะร้ายกาจน่าดู และไม่น่าจะแพ้ใครง่ายๆ

ซ้าบ21 น่าจะเป็นเครื่องบินใบพัดขับไล่ที่ไฮเทคและดีสุดแล้ว ตั้งแต่สวีเดนเคยสร้างมา(ขนาดนั้น) และเมื่อเข้าสู่ยุคของเครื่องบินเจ็ต ต่อมาได้มีการนำโครงสร้างของซ้าบ21 ไปพัฒนาเป็นเครื่องบินขับไล่ไอพ่น คือซ้าบ21อาร์ แต่ถึงอย่างไรซ้าบ21ก็ยังถูกประจำการต่อไปถึงปี 1949 จึงปลดประจำการ


โดยคุณ tan02 เมื่อวันที่ 03/09/2010 05:34:45


ความคิดเห็นที่ 3


Saab 21 R

หรือ ซ้าบ เจ21 อาร์ (สังเกตสวีเดนจะใช้รหัสเครื่องขับไล่ว่า"เจ" ส่วนเครื่องทิ้งระเบิดใช้ "บี") ตามที่ได้กล่าวไปแล้ว ซ้าบ21อาร์ ก็คือการนำซ้าบ21รุ่นใบพัด มาติดเครื่องเจ็ต เครื่องเจ็ตจึงอยู่ท้ายลำตัวเหมือนเคย ลักษณะคล้ายกับเครื่องเจ็ตของอังกฤษในยุคนั้น เครื่องยนต์ก็ยังใช้ของอังกฤษ

ซ้าบ21อาร์ บินครั้งแรกในปี 1947 และเข้าประจำการในปี1950 ทดแทนซ้าบ21รุ่นเดิมที่ใช้ใบพัด โดยประจำการในฐานะเครื่องบินขับไล่ไอพ่นแบบแรกๆของทอ.สวีเดน อาวุธยังคงเป็นปืนกลและปืนใหญ่อากาศ และจรวดแบบไม่นำวิถีใช้โจมตีภาคพื้นดิน มันถูกผลิตมาหกสิบกว่าลำ ก็ปลดประจำการในปี1956


โดยคุณ tan02 เมื่อวันที่ 03/09/2010 05:43:07


ความคิดเห็นที่ 4


Saab 36

ซ้าบ36 หรือ ซ้าบ เอ36 รู้จักกันในชื่อ โปรเจ็ค1300 (Projekt 1300) เป็นเครื่องบินไอพ่นทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ ที่ออกแบบในยุค1950 แต่พอถึงยุค1960 โครงการวิจัยอาวุธนิวเคลียร์ของสวีเดนได้ถูกยกเลิก ในเมื่อไม่มีนิวเคลียร์ให้บรรทุก โครงการ1300ก็เลยถูกยุบไปด้วย ทำให้มันไม่ได้ถูกสร้างออกมาแม้แต่ต้นแบบ เป็นเพียงเครื่องบินในกระดาษเขียนแบบเท่านั้น

หากมีการสร้างมาจริงมันจะเป็นเครื่องบินทิ้งนิวเคลียร์ แบบที่นั่งเดี่ยว และบรรทุกนิวเคลียร์ได้ลูกเดียวเช่นกัน


โดยคุณ tan02 เมื่อวันที่ 03/09/2010 05:50:54


ความคิดเห็นที่ 5


Saab 38

ซ้าบ38 หรือ บี3แอลเอ,เอ38 และเอสเค38 เป็นเครื่องบินฝึกและโจมตี ที่ออกแบบไว้ในยุค1970 เพื่อทดแทนเครื่องบินฝึกแบบเก่าของทอ.สวีเดน คือซ้าบ105 แต่ก็ไม่ได้เกิดและถูกยกเลิกโครงการในปี1979 โดยยังไม่ทันได้ประกอบสร้างต้นแบบแม้แต่น้อย ยังคงอยู่แต่ในกระดาษ เพราะซ้าบหันไปออกแบบน้องยาส39แทน

แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะหมดประโยชน์ซะทีเดียว แนวคิดส่วนใหญ่ของซ้าบ38 ถูกนำไปพัฒนาเป็นเครื่องบินแบบ เอเอ็มเอ็กส์ ของอิตาลี


โดยคุณ tan02 เมื่อวันที่ 03/09/2010 05:58:57


ความคิดเห็นที่ 6


Saab 105

ซ้าบ105 หรือเรียกในทอ.สวีเดนว่า เอสเค60 เป็นเครื่องบินฝึกไอพ่น บินครั้งแรกในปี1963 และประจำการในปี1967 ใช้เครื่องยนต์สองเครื่อง ผลิตออกมาทั้งหมดเกือบสองร้อยลำ และได้การส่งออกให้กับทอ.ออสเตรียด้วย


โดยคุณ tan02 เมื่อวันที่ 03/09/2010 06:06:37


ความคิดเห็นที่ 7


Saab 210

ซ้าบ 210 ดราเค้น หรือดราก้อน(มังกร)หรือไคท(นกเหยี่ยวไคทมีขนาดเล็ก) เป็นเครื่องบินไอพ่นต้นแบบที่สร้างออกมาเพียงแค่ลำเดียว บินครั้งแรกในปี1952 และอีกครั้งในงานแอร์โชว์ เนื่องในโอกาสครบรอบ700ปี กรุงสตอกโฮล์ม ในปี1953 ตั้งแต่นั้นคนก็ตั้งชื่อเล่นให้มันว่า เหยี่ยวไคทน้อย Lilldraken ("Little-Kite", "Mini-Kite") หรือมังกรน้อย ("Little-Dragon","Mini-Dragon")

ปัจจุบันซ้าบ210 ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์


โดยคุณ tan02 เมื่อวันที่ 03/09/2010 06:23:55


ความคิดเห็นที่ 8


Saab 29

ซ้าบ เจ 29 ทันนาน (Tunnan) หรือรู้จักกันในชื่อว่า"กระบอกบิน" Flygande tunnan ("The Flying Barrel") จากลักษณะภายนอกของมัน ที่โดดเด่นเป็นกระบอกสมชื่อ เป็นเครื่องบินขับไล่ไอพ่นของทอ.สวีเดน บินครั้งแรกในปี1948 และประจำการในปี 1950  และประจำการนานมาก เพราะกว่าจะปลดก็ปาเข้าไปปี1976 เรียกว่าเป็นเครื่องบินขับไล่หลักของทอ.สวีเดนเลยทีเดียว

ผู้ใช้นอกจากสวีเดนมีรายเดียวคือออสเตรีย(ลูกค้าประจำ) และใช้ในนามยูเอ็น ในการรักษาสันติภาพในคองโกด้วย ในรุ่นสุดท้ายคือ เจ29 เอฟ สามารถยิงจรวดนำวิถีไซด์ไวน์เดอร์ได้ ในปี1963 ซึ่งต่อมาสวีเดนผลิตเองภายใต้สิทธิบัตรในชื่อว่า อาร์บี24 และน่าจะเป็นแบบขับไล่ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในยุคนั้นของซ้าบ เพราะผลิตออกมาเกือบเจ็ดร้อยลำ


โดยคุณ tan02 เมื่อวันที่ 03/09/2010 06:34:53


ความคิดเห็นที่ 9


Saab 32

ซ้าบ32 ลานเซน (Lansen) หรือลานซ์(Lance)ซึ่งแปลว่าทวน เป็นเครื่องบินไอพ่นโจมตีสองที่นั่ง และได้มีรุ่นต่างๆไม่ว่าจะเป็นขับไล่,ลาดตะเวน และโจมตีทางอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งมีแนวคิดนำนิวเคลียร์ติดกับรุ่นทิ้งระเบิด แต่โครงการก็เจ๊งบ๊งไปในยุค1960 ตามที่ได้กล่าวไปแล้ว

ซ้าบ32 บินครั้งแรกในปี1952 และประจำการในปี1955 กว่าจะปลดก็ปาเข้าไปปี1997 ในรุ่นหลังๆ นับเป็นเครื่องบินที่ประสบความสำเร็จอีกแบบของซ้าบ ผลิตออกมากว่า450ลำ


โดยคุณ tan02 เมื่อวันที่ 03/09/2010 06:43:08


ความคิดเห็นที่ 10


Saab 35

ซ้าบ เจ35 ดราเคน พัฒนามาจากเจ้าตัวเล็กคือซ้าบ210 ซ้าบ35มีขนาดลำตัวใหญ่และยาวกว่าเดิม และปีกแบบสามเหลี่ยม มีนักบินเดี่ยว เหมือนเอาซ้าบ210มาขยาย เป็นเครื่องบินไอพ่นความเร็วเหนือเสียง2เท่าแบบแรกของสวีเดน บินครั้งแรกในปี1955 ประจำการในปี1960 และปลดประจำการในปี 1999

ซ้าบ35 เป็นเครื่องบินขับไล่ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ผลิตออกมากว่าหกร้อยลำ ส่งออกไปยังออสเตรีย (ใช้ถึงปี2005) ฟินแลนด์(ใช้ถึงปี2000) และเดนมาร์ก(ใช้ถึงปี1993)


โดยคุณ tan02 เมื่อวันที่ 03/09/2010 06:56:05


ความคิดเห็นที่ 11


Saab 37

ซ้าบ37 วิกเก้น เป็นรุ่นพี่ของน้องยาส39 ที่ใครได้เห็นก็ต้องร้องอ้อว่าเป็นพี่น้องกัน(ฮา) เพราะมีปีนคานาร์ดเหมือนกัน และมีปีกสามเหลี่ยมเหมือนๆกันอีก แต่น้องยาส39จะลดหุ่น เอ้ยปีกคานาร์ดลงมาหน่อย ให้เพียวกว่าหุ่นอ้อนแอ่นอรชรกว่า(ฮา) สำหรับน้องวิกเก้นนี่ผมจำได้ว่าเคยเห็นในแทงโก้ตอนเด็ก แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะกระแสเครื่องบินมะกันและรัสเซียแรงทำให้เห่อมากกว่า

กลับมาเข้าสาระกันดีกว่าครับ ซ้าบ37 เป็นเครื่องบินไอพ่นที่สร้างมาหลายรุ่นทั้งโจมตี,ขับไล่ ลาดตะเวน บินครั้งแรกในปี1967 และประจำการในปี1971 เป็นเครื่องบินที่ไม่ตกยุคในช่วงนั้น และใช้มาจนปี2005ก็ยังไม่ตกเทรน และไม่ได้ส่งออกเลย จึงผลิตออกมาเพียงสามร้อยกว่าลำ


โดยคุณ tan02 เมื่อวันที่ 03/09/2010 07:08:09


ความคิดเห็นที่ 12


Saab 39

ยาส39 กริพเพน ในที่สุดก็มาถึงน้องยาส39 สะใภ้ใหม่ของไทยเรา (เอ้า โห่ฮิ้ว) เป็นเครื่องบินที่เคยเห็นผ่านๆตามหนังสือ แต่มาบูมเอาช่วงหลังๆในไทยเมื่อเราจะหามาประจำการ แล้วน้องเค้าก็ต้องตกเป็นข่าวอื้อฉาวเมื่อมีนสพ.บอกว่าไทยเราจ่ายค่าสินสอดแพงกว่าชาวบ้าน(ฮา)

หลายคนคงจะสงสัยว่าคำว่ายาส(หรือแจ๊ส) มาจากไหน? ยาส1 ยาส10 ก็ไม่เคยมี39โผล่มาได้ไง? คำว่ายาสนั้นมาเรียกย่อๆมาครับคือ Jมาจาก Jakt (Air-to-Air)หมายถึงขับไล่, Aมาจาก Attack (Air-to-Surface)หมายถึงโจมตี และS มาจาก Spaning (Reconnaissance) หมายถึงลาดตะเวน หมายความว่าน้องยาสของเราเป็นงานครับ คือเป็นอากาศยานทวิบทบาท ส่วน39 ก็คือเลขรุ่นของช้าบ39 ดังนั้นชื่อเต็มๆคือ ซ้าบ ยาส39

เนื่องจากออกแบบมาเพื่อทดแทนซ้าบ35 และซ้าบ37 ในความคิดส่วนตัว ยาส39 เหมือนกับนำเครื่องสองแบบข้างต้นมาผสมผสานกัน เหมือนเอาซ้าบ37ที่อ้วน+ความเพรียวของซ้าบ35เข้าไป ออกมาเป็นยาส39ที่หุ่นเพรียว(ฮา)

ยาส39 บินครั้งแรกในปี1988 และประจำการในปี1996 จนถึงปัจจุบันนี้ รวมแล้วตอนนี้ผลิตออกมาแล้วกว่าสองร้อยลำ ปัจจุบันมีทั้งที่ประจำการและสั่งซื้อเพิ่มเติมคือ เช็ก,ฮังการี,แอฟริกาใต้ และลูกค้าคนล่าสุดคือพี่ไทยเรานี่เอง

 

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับประวัติการผลิตเครื่องบินอันยาวนานของซ้าบ (ไม่ใช่บริษัทชาร์ปนะ) ซึ่งเท่าที่เห็นผมการันตีได้เลยว่า ถือว่าสวีเดนเป็นอีกชาติที่ผลิตเครื่องบินได้เก่งไม่แพ้ใคร และการที่เราได้น้องยาส39 กับอิรี่อาย และเทคโนโลยีของเค้ามา ก็นับว่าคุ้มค่ามากๆ และยืนยันได้เลยว่าของเค้าดีจริงๆ

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชมครับ^_^


โดยคุณ tan02 เมื่อวันที่ 03/09/2010 07:26:05


ความคิดเห็นที่ 13



โดยคุณ BMTA เมื่อวันที่ 03/09/2010 10:41:35


ความคิดเห็นที่ 14


สวีเดน เป็นกลาง สมัยสงครามโลก เลยไม่รู้ว่าเครื่องบิน สวีเดนสมัยนั้น

จะดวลกับเครื่องบินจากเยอรมันได้หรือเปล่า
โดยคุณ KoHZaNoVSkI เมื่อวันที่ 03/09/2010 10:56:27


ความคิดเห็นที่ 15



สวีเดน เป็นกลางสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ต้องเข้มแข้งให้เขาเกรงใจครับ
โดยคุณ ThaiPc53 เมื่อวันที่ 03/09/2010 12:31:00


ความคิดเห็นที่ 16


คุณ tan02 ครับ

เครื่องตระกูล F เนี่ย   ผมขอแสดงความเห็นให้นำเจ้า F/A 50 ของโสมขาวมาลงด้วยครับ

ตระกูล F เหมือนกันครับ

ตามแต่พิจารณา
โดยคุณ PINJI เมื่อวันที่ 03/09/2010 23:27:50


ความคิดเห็นที่ 17


ตอบท่านPINJI  คือในกระทู้ผมทำตั้งแต่เอฟ1 ถึง 35 ซึ่งกำหนดรหัสใหม่ในปี1962เท่านั้นน่ะครับ^_^

และคงจะรวมเฉพาะเครื่องบินตระกูลเอฟของสหรัฐเท่านั้นครับ เพื่อไม่ให้เป็นการสับสน ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหา อย่างเช่นญี่ปุ่นเองก็มีเครื่องเอฟ1 หากนำเครื่องของประเทศอื่นมาด้วยคงจะซ้ำกันอื้อเลยครับ

ปล.สวีเดนเป็นกลางในสงครามโลกครั้งที่สองก็จริง แต่ก็เป็นประเทศที่ส่งวัตถุดิบต่างๆให้กับเยอรมันมาตลอดสงครามครับ ที่เยอรมันไม่บุกสวีเดนก็อาจจะเป็นเพราะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ไม่ต้องจัดการแบบหลายๆประเทศ ที่ไม่รู้ว่าจะไปเข้ากับศัตรูคือฝ่ายพันธมิตรอันมีอังกฤษและฝรั่งเศสเป็นหัวหอกเมื่อไหร่

เช่นนอร์เวย์ที่มีกองเรืออังกฤษเผ่นพลานน่านน้ำ และมีท่าทีไม่แน่นอนว่าจะเป็นพวกใคร เดนมาร์กที่มีดินแดนติดกับเยอรมันตอนเหนือ ที่ควรจะยึดไว้ให้ได้ก่อนศัตรูใช้เป็นฐานบุกเยอรมัน สาเหตุเหล่านี้แหละครับที่ทำให้เยอรมัน ตัดสินใจบุกสแกนดิเนเวียในปี1940 ส่วนฟินแลนด์นี่เค้าแค้นรัสเซียอยู่พอดี ก็เลยเอามาเป็นพวกบุกรัสเซียได้ไม่ยาก

โดยคุณ tan02 เมื่อวันที่ 03/09/2010 23:51:22


ความคิดเห็นที่ 18


เพิ่มเติมอีกนิดแล้วกันครับ สำหรับ GU(ไม่)RU อย่างผม

Saab 32 Lansen เครื่องสุดท้ายส่งมอบให้กับ ทัพอากาศสวีเดนประมาณปี พ.ศ.2503 (อายุน้อยกว่าพี่เบิร์ดอีก)  มีทั้งหมด 3รุ่น
A-32 A ส่วนใหญ่ที่ประจำการจะเป็นรุ่นนี้ครับ ภารกิจหลักคือโจมตีทุกกาลอากาศ

ต่อมาเป็นร่น J-32 B กำลังเครื่องจะสูงกว่ารุ้รแรก และพัฒนาระบบการยิงอาวุธและอุปกรร์เดินอากาศใหม่ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ถึงประจำการได้ไม่นานเท่าไหร่ครับ

S-32 C เป็นรุ่นสุดท้ายท้ายสุด ครับ ภารกิจลาดตระเวณถ่ายภาพครับ


และSaab105 ( มหาชัยเมืองใหม่-คลองสาน 5555555 เลขเดียวกับสายรถเมล์ที่นั่งประจำ) นั้นสร้างโดยทุนบริษัทSaabเองเพื่อเป็น บ.ฝึกขั้นต้น แต่ต่อมา ทอ.สวีเดนให้ทุน(เห็นมั้ยเขาสนับสนุนกันเห็นๆ)และเปลี่ยนความต้องการให้ติดอาวุธได้ ซึ่งสามารถติดได้ถึง6 ตำบล (ทำไมไม่เรียก 6หมู่บ้าน) และบรรทุกอุปกรณ์สำหรับถ่ายภาพทางอากาศ(เพื่อนผมเด็กทะเลหูผึ่ง โดยพลัน 5555)  และ ทอ.สวีเดนวางแผนไว้ให้เครื่องSaab 105 เป็นหน่วยบินจู่โจมสำรองที่หมายทางภาคพื้นดิน โดยให้ครูการบิน เป็นนักบินและศิษย์การบินเป็นผู้ซ่อมบำรุง เมื่อถึงคราวคับขันครับ    สร้า้งให้ทอ.สวีเดน ประมาณ 105 เครื่อง ส่งขายให้ออสเตรีย 40 เครื่องครับ  

ขอเพิ่มเท่านี้เพราะรู้และมั่วได้เท่านี้ครับ 5555
โดยคุณ nok เมื่อวันที่ 04/09/2010 11:20:26


ความคิดเห็นที่ 19


อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยครับท่านนก ผมเองถ้าไม่อาศัยอ่านวิกิพีเดียแล้วมานั่งแปล ก็คงไม่สามารถเล่าเครื่องบินทุกตระกูลที่รวมมาเนี่ยได้หรอกครับ ผมไม่ใช่กูรู แต่อาศัยพี่กู(เกิ้ล)รู้เอาครับ 5555+

โดยคุณ tan02 เมื่อวันที่ 04/09/2010 13:08:14


ความคิดเห็นที่ 20


เครื่องบินรบ SAAB  ถือใด้ว่าทันสมัยทั้งรูปทรงและเทคโนโลยี
แต่ถ้า รถยนต์ SAAB   ที่เคยนั่งเมื่อสิบกว่าปีก่อน ดูแบบแล้ว ไม่ค่อยจะทันสมัยเท่าไหร่ ไม่เตะตา ห่างชั้นจากรถเยรมันนี ค่อนข้างมาก
อยากเห็นข่าวการฝึกระหว่าง F-16 ADF กับ JAS 39 จังเลย
ระหว่าง ฝูงหมาป่า กับความเก๋าของ นักบิน F-16
โดยคุณ fantom เมื่อวันที่ 04/09/2010 14:34:18


ความคิดเห็นที่ 21


เพิ่มเติมครับ จาก...
http://das-rhine-gold.spaces.live.com/?_c11_BlogPart_BlogPart=blogview&_c=BlogPart

กริปเปน ความจำเป็นและเหตุผล(1)

                 ระหว่างที่กองทัพอากาศของเรากำลังจะจัดหาเครื่องบินขับไล่ใหม่  ทดแทนเครื่องบินขับไล่ F5 แบบเดิมที่ใช้มาตั้งแต่สมัยสงครามเวียตนามและกำลังทยอยปลดประจำการ ก็เกิดกระแสความคิดไปได้หลากหลายทั้งแง่ดีและไม่ดี  ในแง่ดีก็คือดีใจที่เราจะได้มีเขี้ยวเล็บใหม่มาเสริมความแข็งแกร่งให้กองทัพ  จะได้มีของใหม่มาใช้พร้อมกับเทคโนโลยีรวมทั้งความปลอดภัยในชีวิตนักบิน  เชื่อว่ามันต้องดีกว่าเครื่องบินเดิมที่มีอยู่คือ F16,Alpha Jet,L 39 แล้วยังเลยเถิดไปถึงว่ามันต้องบรรทุกระเบิดได้มากกว่า  บินได้ไกลกว่าเพื่อเอาไว้ข่มขู่ประเทศเพื่อนบ้านแล้วจะได้ดำเนินนโยบายทางการทูตแบบแข็งกร้าวเสียที  หลังจากใครอยากได้อะไรเราก็ยอมเป็นเบี้ยล่างมานาน

                อีกกระแสความคิดก็คือเราไม่ได้รบกับใคร  ไม่เห็นต้องหาอะไรมาทดแทน  เครื่องบินแบบเดิมก็ยังบินกันได้ไม่เห็นจำเป็นต้องไปหาเครื่องบินแบบใหม่มาใช้ ไม่สำคัญว่าใครผลิต  ลงท้ายก็วกกลับเข้าสู่เรื่องเดิมๆอีกคือรายการนี้ต้องมี”คอมมิสชั่น”แน่  พวกบิ๊กๆในกองทัพอากาศคงรับทรัพย์มหาศาลร่ำรวยไปตามๆกัน ส่วนทหารระดับปฏิบัติการก็คงได้แต่อาวุธมือสองหรือสภาพแย่ๆมาใช้  ซ่อมบำรุงยากอะไหล่ก็แพง  ใช้ได้ไม่กี่ปีก็คงจอดไว้ในพิพิธภัณฑ์แล้วคงมองหาเครื่องบินแบบใหม่มาเพื่อแสวงหาประโยชน์เข้าตัวและพวกพ้องกันต่อไป

                นั่นคือความคิดของคนไทยทั่วไปที่ยังไม่ได้ศึกษาหาความรู้  ยังไม่มีข้อมูลในสิ่งที่กองทัพจะเอาเงินภาษีของตนไปใช้  เป็นเพียงการคาดคะเนเอาจากสิ่งที่เคยเป็นมาแต่ครั้งอดีต  แต่เหตุผลที่แท้จริงในการจัดหายุทโธปกรณ์ทดแทนนั้นน้อยคนที่จะรู้  เมื่อวัฒนธรรมของชาติเราไม่ได้สนับสนุนการอ่าน  การสืบค้นข้อมูลเพื่อติดอาวุธทางความคิดจึงเป็นเรื่องน่าเบื่อ  เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่จะพัฒนาไปในอนาคตเราจึงเลือกจะถามหรือคาดเดา  ซึ่งง่ายกว่า เร็วกว่า  แต่ขาดหลักความจริงรองรับ  มีโอกาสผิดพลาดมากและอาจส่งผลกระทบกระเทือนต่อนโยบายการป้องกันประเทศถ้า”ความเชื่อ”นั้นกลายเป็น”กระแส”  แพร่ไปในในสื่อมวลชนและผู้มีอำนาจในการพิจารณา  แต่ไม่เคยสนใจข้อมูลทางเทคนิคและยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศ

                ถ้าเป็นการจัดหาแบบครั้งที่แล้วๆมาผมคงไม่อยากแสดงความคิดเห็น แต่ครั้งนี้เรากำลังจัดหาอาวุธหรือพูดให้เจาะจงลงไปก็คือ”เครื่องบินรบ”จากชาติอื่นนอกจากสหรัฐฯ  เป็นความแตกต่างอันเด่นชัดในประวัติศาสตร์ของกองทัพ ผมจึงอยากชี้จากมุมมองของประชาชนเจ้าของภาษีที่ตามรายละเอียดเรื่องนี้  และอยากเสนอความคิดให้คนทั่วไปได้เข้าใจด้วยคำพูดง่ายๆ ใช้ศัพท์แสงทางวิชาการให้น้อยที่สุด   ขอย้ำว่าไม่ได้เขียนเชียร์เพราะถึงอย่างไรกองทัพอากาศก็ตัดสินใจซื้อไปแล้ว เชียร์ไปก็เท่านั้น  แต่เป็นการแบ่งปันข้อมูลเพื่อให้ชาวไทยอุ่นสบายใจว่าของที่เราหามาใช้นั้นไม่ใช่ของด้อยคุณภาพ  เราได้ของดีเพียงแต่มันมาช้าไปนิดเท่านั้น

กองทัพของเราโดยเฉพาะกองทัพอากาศ เท่าที่เคยเป็นมานั้นผูกพันอยู่กับระบบอาวุธของสหรัฐฯ  แรกๆก็เพราะได้รับความช่วยเหลือทางทหาร  เราช่วยเขารบทั้งสงครามเกาหลีและสงครามเวียตนาม  โดยเฉพาะสงครามเวียตนามนั้นเราเป็นกันชนให้พร้อมเป็นฐานบิน ให้เครื่องบินอเมริกันไปถล่มทั้งเวียตนามเหนือ(ขณะนั้น)และเขมร  อเมริกา”ให้เปล่า”หรือขายอาวุธราคาต่ำให้ในรูปความช่วยเหลือ  แต่สิ่งแอบแฝงมาคือการให้เราเป็นพันธมิตรช่วยรบ  สนองนโยบายของรัฐบาลอเมริกันในการดำรงตนเป็นตำรวจโลก

ของฟรี,ของมือสองราคาถูกหรือของผ่อนดอกเบี้ยต่ำ  พร้อมทั้งกรอบแนวความคิดในการทำสงครามของอเมริกัน  ทำให้เราพึ่งพาเขา เกิดการหยั่งรากลึกทั้งแนวความคิดและเทคโนโลยี  เราจำต้องจ่ายแพงเพื่อให้ได้ของไว้ใช้ โดยเฉพาะระบบอาวุธที่ต้องพึ่งพาอเมริกา  ถ้าจะซื้ออาวุธใหม่ระบบของมันก็ต้องเข้ากับของเดิมได้  “ของเดิม”ของใคร ตอบได้ว่า”ของอเมริกา”  ถ้าจะให้เข้ากันได้สนิทมันก็ต้อง”อาวุธอเมริกัน” 

ถ้าจะซื้ออาวุธยุโรปซึ่งคุณภาพไม่ด้อย  เขาก็มีระบบรองรับของเขาซึ่งการเราต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อทั้งระบบอีกมากมายมหาศาล  ไม่ใช่แค่มีเงินแล้วจะซื้ออะไรมาใช้ก็ได้ ระบบอาวุธปัจจุบันอันซับซ้อนนั้น  ประกอบด้วยฮาร์ดแวร์(ตัวอาวุธ)และซอฟต์แวร์(ชุดคำสั่งควบคุม) และเทคโนโลยีอื่นที่ช่วยให้มันแม่นยำสมสมรรถนะซึ่งราคามหาศาลหากต้องซื้อกันใหม่ทั้งระบบ  โดยเฉพาะเครื่องบินรบซึ่งเป็นระบบอาวุธอีกสายพันธุ์ แตกต่างจากปืนกล,ปืนใหญ่หรือรถถัง  การทำงานของมันในปัจจุบันใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง(Network Centric Operation NCO)เพื่อนักบินหยั่งรู้สถานการณ์ได้เร็วที่สุด บินขึ้นต่อสู้รวดเร็วและใช้อาวุธ(ราคาแพงและมีจำกัด)ได้แม่นยำ   อันเป็นผลจากข้อมูลที่ถูกส่งผ่านทั่วถึงกันตลอดทั้งสามมิติ(เครื่องบิน น้ำ และกำลังภาคพื้นดิน)  เคลื่อนที่เข้าต่อตีได้รวดเร็วทันการณ์  มีกำลังน้อยเสมือนมีกำลังมาก

เราจำต้องใช้อาวุธอเมริกันเพราะใช้มานาน  จนคุ้นเคย  ยึดติด แม้ถูกมัดมือชกด้วยเงื่อนไขต่างๆก็ยังต้องใช้  ทั้งที่อาวุธนั้นออกแบบมาเพื่อโครงสร้างกองทัพใหญ่อย่างสหรัฐฯ  ใช้เงินทอง,อุปกรณ์,บุคคลากรเพื่อดำรงสภาพมหาศาลขณะที่งบป้องกันประเทศของเรามีน้อย   การพึ่งพาทำให้เราใช้อาวุธแพงมานานแม้จะไม่เข้ากับยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจ  ระหว่างที่อเมริกาใช้ยุทธศาสตร์เชิงรุกด้วยงบประมาณมาก ไทยกลับใช้ยุทธศาสตร์เชิงป้องกันแต่ด้วยงบประมาณงบประมาณน้อย   ที่สำคัญคือเราจำต้องทำเพราะยังขาดตัวเลือก  หรือมีตัวเลือกแต่ราคาก็แพงจนรับไม่ไหว 

ระบบอาวุธเดิมที่พ้นสมัยทำให้กองทัพอากาศต้องจัดหาของใหม่มาทดแทน  ความจริงก็คือเครื่องบินแบบ F5 ที่เราใช้มาตั้งแต่ยุคสงครามเวียตนามนั้นพ้นสมัยไปแล้วสำหรับการรบด้วยระบบเครือข่าย  พิสัยบินของมันใกล้  ติดอาวุธได้จำกัด  ปรับปรุงอย่างไรก็ไม่คุ้มเพราะวัสดุและระบบอื่นๆไม่เอื้ออำนวยต่อการอยู่รอดในสถานการณ์ปัจจุบัน  ยังไม่นับถึงสายการผลิตที่ปิดไปแล้วกับค่าบำรุงรักษาที่นับวันจะไม่คุ้มค่า  ทุกครั้งที่ F5 ตกแล้วเราสูญเสียนักบิน  ความคิดแรกที่เกิดในสาธารณชนและสื่อต่างๆคือ”เครื่องบินเก่า”  ทั้งที่ปัจจัยในการตกนั้นไม่ได้จำกัดอยู่ที่ความ”เก่า”อย่างเดียว  เครื่องบินตกหนึ่งลำเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งลม,นก,เครื่องยนต์หรือแม้แต่เกิดจากตัวนักบินเอง 

เมื่อของมันเก่า  หมดสภาพ  ใช้ไปก็เสี่ยงตาย  ปกป้องอธิปไตยหรือใช้เป็นเครื่องมือหนุนนโยบายการทูตก็ไม่ได้ จะทนใช้อยู่อีกหรือ? หรือจะให้นักบินที่ใช้ทั้งเวลาและงบประมาณมหาศาลสร้างมาต้องตายอีกกี่นาย  แน่นอนว่าเราต้องหาของใหม่มาใช้  ขณะนี้เครื่องบินขับไล่ที่ทันสมัยที่สุดของกองทัพอากาศคือ F16 ถ้ามองแบบง่ายๆเครื่องบินที่จะมาแทน F5 ก็น่าจะเป็น F16รุ่นใหม่ๆ หรืออะไรที่ดีกว่านั้น  ตามที่มีข่าวในช่วงปีสองปีก่อนกองทัพอากาศมองเครื่องบินขับไล่ทดแทนไว้ 3แบบคือ F16 รุ่น CและDของสหรัฐฯ(ของ Lockheed Martin),SU-30 MK(ของSukoi)จากรัสเซีย และ JAS39(ของ SAAB)จากสวีเดน  มีการพิจารณาอยู่นานถึงความเหมาะสมสุดท้ายก็เหลือแค่ JAS 39 ของ SAAB ที่ไปกันได้กับยุทธศาสตร์และสถานภาพทางเศรษฐกิจของเรามากที่สุด

แต่ก่อนจะเข้าถึงรายละเอียดว่าทำไมถึงไม่เลือก F16 C-D หรือSU30  ต้องกล่าวถึงความเป็นมาของกองทัพอากาศสวีเดน  เพื่อให้เข้าใจถึงรายละเอียดและการพัฒนาอากาศยานรวมทั้งแนวความคิดก่อนจะมาเป็น JAS39 GRIPEN(กริปเปน)

โดยคุณ Lalunarจัง เมื่อวันที่ 05/09/2010 09:14:12


ความคิดเห็นที่ 22


ต่อครับ  เริ่มเข้าเรื่อง SAAB แล้วครับ
กริปเปน ความจำเป็นและเหตุผล(2)

กองทัพอากาศสวีเดนหรือ Flygvapnet(Flight Weapon)  คือเหล่าหนึ่งของกำลังทหารเพื่อป้องกันประเทศแห่งราชอาณาจักรสวีเดน  ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 1กรกฎาคม 1926  โดยการผนวกกันระหว่างหน่วยบินกองทัพบกและหน่วยบินกองทัพเรือ  เป็นเหล่าทัพที่ตั้งขึ้นหลังจากเมฆหมอกของสงครามโลกครั้งที่ 1 จางลงและยุโรปยังไร้เสถียรภาพ  การแย่งชิงอาณานิคมและเขตการค้ารวมถึงความไม่เป็นธรรมในสนธิสัญญาแวร์ซายล์  คือเชื้อประทุพร้อมก่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2ทุกขณะ   ช่วงทศวรรษ 1930 นั้นเองที่ความไม่แน่นอนของยุโรปทำให้สวีเดนต้องจัดอัตรากำลังใหม่  เพิ่มฝูงบินจาก 4 ฝูงเป็น 7  เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบิดขึ้นในปี 1939  แม้สวีเดนจะเป็นกลางไม่ถูกเยอรมันยึดครอง แต่กองทัพอากาศได้ถูกขยายออกไปอีก ความวุ่นวายในยุโรปทำให้โครงการชะงักอยู่จนสิ้นสงคราม

ถึงสวีเดนจะไม่เคยเข้าสงคราม  ไม่เคยถูกรุกรานและไม่เคยรุกรานใครแต่กองทัพอากาศขนาดใหญ่เป็นสิ่งจำเป็น  เพื่อยับยั้งภัยคุกคามอันอาจมีได้ทุกเมื่อ  เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคสงครามเย็นยิ่งจำต้องมีกองทัพอันแข็งแกร่งเพื่อป้องกันการรุกรานในฐานะประเทศหน้าด่าน  ถูกล้อมรอบด้วยประเทศกติกาสัญญาวอร์ซอว์  ทั้งที่ยังขยายไม่เสร็จแต่ก็น่าทึ่งที่ภายในปี 1945 อันเป็นปีสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2  กองทัพอากาศสวีเดนมีเครื่องบินพร้อมรบ(combat-ready)ถึง 800 เครื่อง รวม 15 กองพลบินขับไล่ เป็นกองทัพอากาศที่ใหญ่เมื่อเทียบกับประชากรไม่ถึง 10 ล้านคนเมื่อ 60 กว่าปีก่อน

                กองทัพอากาศใหญ่ก็จริงแต่เครื่องบินต้องใช้เชื้อเพลิง  ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งที่เป็นกลางไม่ได้ใช้เชื้อเพลิงทำสงคราม  แต่การอยู่ใกล้ชิดประเทศที่ถูกรุกรานจึงไม่สามารถพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิงได้เต็มที่  ทางออกคือต้องคิดค้นเชื้อเพลิงใช้เอง  โชคดีที่สวีเดนถึงจะไม่มีแหล่งน้ำมันดิบแต่มีแหล่งหิน”เชล”(oil shale)อุดมสมบูรณ์  เมื่อให้ความร้อนในปริมาณเหมาะสมหินนี้จะให้สารเคโรเจน(kerogen)นำมาผลิตเป็นไฮโดรคาร์บอนเหลวได้ 

มันยังไม่ใช่น้ำมันดิบเสียทีเดียว แต่เป็นสารที่นำมาผ่านกรรมวิธีไพโรไลซิส(pyrolysis)ได้น้ำมันดิบสังเคราะห์  ก่อนจะไปกลั่นเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงสังเคราะห์อีกขั้น  จะเผาออยล์เชลโดยตรงก็ยังได้เพื่อให้ได้เชื้อเพลิงคล้ายถ่านหิน  ใช้ได้ทั้งเพื่อให้ความร้อนหน้าหนาวตามบ้านเรือนและเป็นเชื้อเพลิงโรงงานผลิตไฟฟ้า สวีเดนมีเทคโนโลยีของตัวเองเพื่อสร้างน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินจากหินเชล  โดยพึ่งพาน้ำมันจากเพื่อนบ้านน้อยมากตั้งแต่เมื่อเกือบ 70 ปีแล้ว!

หลังจากปี 1945 สิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ก้าวเข้าสู่ยุคสงครามเย็นระหว่างโลกเสรีกับคอมมิวนิสม์  กองทัพอากาศสวีเดนเร่งรัดปรับปรุงขนานใหญ่เพื่อป้องกันตนจากภัยคุกคาม  ระบบสาธารณูปโภคทั้งหมดที่ถูกสร้างในยามนี้ล้วนต้องเอื้ออำนวยต่อการป้องกันประเทศ  จำนวนคนที่น้อยและกองทัพเล็กบีบให้เน้นประสิทธิภาพมากกว่าปริมาณ  เบื้องแรกเมื่ออุตสาหกรรมอากาศยานยังไม่สามารถรองรับความต้องการของกองทัพสมัยใหม่ได้ จึงต้องจัดหายุทโธปกรณ์จากต่างชาติ ด้วยเครื่องบินขับไล่เครื่องยนต์ใบพัด P-51D”Mustang”จากสหรัฐฯและเครื่องบินขับไล่เครื่องยนต์เจ็ต de Havilland “Vampire” จากอังกฤษ

กองทัพอากาศสวีเดนจัดหาเครื่องบินนำเข้าเร่งด่วนไป พร้อมกับการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินของตน  SAAB J29”Tunnan”คือเครื่องบินขับไล่เจ็ตของสวีเดนที่เผยโฉมในปี 1950  เป็นเครื่องบินขับไล่แบบที่สองต่อจาก SAAB 21R เครื่องบินเจ็ตขับไล่ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ต เดอ ฮาวิลแลนด์ ก็อบลิน 3 ของอังกฤษที่พัฒนาแผนแบบมาจาก SAAB 21 เครื่องบินใบพัดเดี่ยวท้ายเครื่อง  ทั้งหมดนี้พัฒนาและผลิตในสวีเดน  ใบพัดท้ายของรุ่นนี้เอื้ออำนวยให้ติดตั้งอาวุธได้เหมาะสมกับการใช้งานที่หัวเครื่อง  แต่ข้อเสียคือนักบินจะถูกดูดเข้าใบพัดท้ายได้ง่ายขณะปีนจากที่นั่งเมื่อจะสละเครื่อง  จึงเป็นแนวคิดให้สร้าง SAAB21 แบบเจ็ตและที่นั่งดีดตัวในเวลาต่อมา

21R บินครั้งแรกเมื่อ 10 มีนาคม 1947 หลังสงครามโลกครั้งที่ สงบแล้ว 2 ปี  เข้าประจำการในเดือนสิงหาคม 1950 ด้วยวัตถุประสงค์เดิมคือให้เป็นเครื่องบินขับไล่  แต่หลังจากมันเผยโฉมได้เพียงปีเดียว SAAB J29 ก็ถูกเข็นออกมาอีกในเดือนตุลาคม 1948 ด้วยจำนวนที่ลดจากแผนเดิม 120 เหลือเพียง 60 เครื่อง21R จึงถูกเปลี่ยนบทบาทไปเป็นเครื่องบินโจมตีสนับสนุนการรบภาคพื้นดินแทนด้วยรหัส A 21 RA

ความน่าสนใจของ SAAB J29 คือเป็นผลผลิตจากความต้องการกองทัพอากาศเทคโนโลยีสูง  เน้นคุณภาพแต่ไม่เน้นปริมาณของสวีเดน โครงการ”JxR”เพื่อการนี้เริ่มขึ้นในช่วงปลายปี 1945 ระหว่างสถานการณ์ในยุโรปเริ่มสงบจากความพ่ายแพ้ของเยอรมัน  เครื่องบิน 2 แบบที่เสนอกองทัพเบื้องแรกเกิดจากความคิดของทีมวิศวกรอากาศยานนำโดยลาร์ส  บริซิ่ง  แบบแรกมีรหัสว่า R101 ลำตัวยาวและป่องคล้ายซิการ์ราวฝาแฝดกับ P-80 Shooting Star ของสหรัฐฯ  แต่ผู้ชนะการคัดเลือกกลับกลายเป็น R1001 ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าเร็วและคล่องตัวกว่า

ต้นแบบของJ 29 คือ R1001 เดิมถูกออกแบบให้ปีกตรง  แต่หลังจากวิศวกรสวีเดนได้เข้าถึงข้อมูลการวิจัยเรื่องปีกลู่(sweep-wing)จากเยอรมันเมื่อครั้งสร้างเครื่องบินขับไล่เจ็ตที่นั่งเดี่ยวต้นแบบ Messerschmidt Me P.1101(ต้นแบบที่ถูกดัดแปลงมาเป็น Bell X-5 เครื่องบินทดสอบของสหรัฐฯและใช้รูปแบบเดียวกันในเครื่องบินรุ่นหลังคือ F-111และ F14 Tomcat) ในโครงการเครื่องบินขับไล่เจ็ตเร่งด่วนปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 

SAAB พบว่าปีกลู่ช่วยเพิ่มพื้นที่ยกตัวมากขึ้น  จึงปรับแผนแบบใหม่ให้เครื่องบินของตนปีกลู่แบบเดียวกันด้วยมุม 25 องศา  สวีเดนจะได้ข้อมูลมาอย่างไรโดยไม่ได้รบกับเยอรมันยังเป็นความลับ  เพราะเอกสารการวิจัยเดิมของเยอรมันตกอยู่ในมือรัสเซียและอเมริกัน

เมื่อวิจัยและพัฒนาเสร็จ SAAB J29 เครื่องต้นแบบเริ่มบินครั้งแรกเมื่อ 1 กันยายน 1948  ด้วยลักษณะสำคัญคือปีกลู่,ที่นั่งเดี่ยวมีช่องintake(ช่องดูดอากาศเข้า)เดี่ยวใต้ที่นั่งนักบิน เช่นเดียวกับเครื่องบินเจ็ตรุ่นแรกๆหลังสงครามฯ  คือ F84 ของสหรัฐฯและ Mig-15 ของโซเวียตรัสเซีย  นักบินทดสอบคือโรเบิร์ต เอ.”บ็อบ”มัวร์ซึ่งต่อมาได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการคนแรกของ SAAB GB จำกัดแห่งอังกฤษที่ก่อตั้งในปี 1960  มัวร์พูดถึงเครื่องบินสัญชาติสวีเดนแบบนี้ว่า”มันดูขี้เหร่มากเมื่อจอด  แต่ปราดเปรียวเหลือเชื่อในอากาศ”  เพราะรูปร่างตลกๆเหมือนถังไม้โอ๊คนี้เอง J29 จึงมีชื่อเล่นว่า”ถังไม้ติดปีก”(Flygande Tunnan ในภาษาสวีดิช) 

“ถังไม้ติดปีก”ถูกผลิตออกมารวม 661 เครื่องระหว่างปี 1950-1956 เป็นเครื่องบินรบที่ผลิตมากที่สุดของ SAAB

นอกจาก J29 จะเป็นเครื่องบินรบปีกลู่แบบแรกของ SAAB ที่ทั้งเร็ว,ทัศนวิสัยยอดเยี่ยมและคล่องตัวสูง มันยังสร้างสถิติโลกด้วยในปี 1954  บินเร็วที่สุดในโลกด้วยความเร็ว 977 ก.ม./ช.ม.ในพื้นที่ทดสอบเป็นวงรอบยาว 500 ก.ม.  ก่อนจะถูก F-86 Sabre เครื่องบินขับไล่/สกัดกั้นของสหรัฐฯโค่น  ด้วย SAAB J29 เป็นส่วนใหญ่นี้เอง  กองทัพอากาศสวีเดนจึงครองสถิติกองทัพอากาศที่ทรงเวหานุภาพอันดับ 4 ของโลกในช่วงเวลาสั้นๆของทศวรรษ 1950   

ด้วยประชากรไม่ถึง 10 ล้านและใช้เครื่องบินผลิตในประเทศล้วนๆ สวีเดนทำได้อย่างไร!

J 29 ความปลอดภัยสูงตามมาตรฐานยุโรป  แม้จะเป็นเจ็ตขับไล่รุ่นแรกแต่สถิติตกนั้นน้อยมาก  อุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดจากนักบินผู้ไม่คุ้นเคยกับเครื่องบินความเร็วสูงปีกลู่  มันถูกใช้ในภารกิจขับไล่จนถึงปี 1965 ก่อนถูกปลดแล้วเปลี่ยนหน้าที่มาเป็นเป้าลวงแบบลากจนถึงปี 1974  บินแสดงครั้งล่าสุดเมื่อสิงหาคมปี1976 ในงานแอร์โชว์ฉลองครบรอบ 50 แห่งการก่อตั้งกองทัพอากาศสวีเดน

โดยคุณ Lalunarจัง เมื่อวันที่ 05/09/2010 09:17:04


ความคิดเห็นที่ 23


รบกวนท่าน จขกท ครับ ไอ้ Saab35 นี่ผมไม่เห็นปีกคานาร์ดหรือแพนหางระดับ(เรียกถูกรึปล่าว) แล้วมันใช้ส่วนใหนบังคับกันนี่ รบกวนผู้รู้ช่วยให้ความกระจ่างที ขอบคุณครับ
โดยคุณ Mazda เมื่อวันที่ 05/09/2010 09:29:04


ความคิดเห็นที่ 24


ตอนจบครับ พี่โตเขียนไว้อ่านได้ง่ายเลยครับ
กริปเปน ความจำเป็นและเหตุผล(3)

SAAB J29 คือตัวจักรสำคัญในการพัฒนากองทัพอากาศสวีเดน  ผลพวงจากการพัฒนาอากาศยานและสงครามเย็นทำให้กองทัพอากาศสวีเดนต้องเร่งพัฒนาทั้งเครื่องบิน กำลังพลและวางยุทธศาสตร์ให้เหมาะสมกับภูมิประเทศที่ตั้งประจันหน้ากับกลุ่มประเทศกติกาสัญญาวอร์ซอว์  ด้วยแนวความคิดที่ได้จากเยอรมนีในช่วงนั้นทำให้ต้องพัฒนาทั้งอากาศยานและระบบสาธารณูปโภคให้สอดคล้องกัน  โดยเฉพาะถนนสายหลักที่จะกลายเป็นรันเวย์ยามสงคราม

ฐานทัพอากาศถูกสร้างเพิ่มเติมพร้อมกับถนนหลวงที่ต้องใช้งานได้สองวัตถุประสงค์  คือเพื่อสัญจรแต่ขณะเดียวกันต้องให้เครื่องบินรบร่อนลงได้พร้อมวางจุดส่งกำลังบำรุงซ่อนพรางไว้ตามภูมิประเทศ  เมื่อความเป็นกลางไร้ความหมาย  ประเทศถูกรุกราน  ฐานบินถูกทิ้งระเบิด ทางเลือกคือต้องจอดบนถนนให้ได้  เครื่องบินขับไล่ของสวีเดนยุคสงครามเย็นและหลังจากนั้นจึงถูกสร้างขึ้นด้วยหลักนิยมที่สอดคล้องกันคือ

·        เล็ก,ความคล่องตัวสูง

·        ใช้ระยะทางวิ่งขึ้นและร่อนลงสั้น

·        ปฏิบัติงานเป็นเครือข่ายด้วยระบบส่งผ่านข้อมูลทันสมัย แจ้งเตือนล่วงหน้าได้รวดเร็ว

·        ค่าใช้จ่ายต่ำ  ปรนนิบัติบำรุงด้วยบุคลากรจำนวนน้อย

·        ผลิตและซ่อมแซมได้ภายในประเทศ

ระหว่างสงครามเย็นงบประมาณกลาโหมของสวีเดน(ซึ่งส่วนหนึ่งถูกกันไว้เพื่อสร้างอาวุธนิวเคลียร์)  ถูกดึงมาพัฒนากองทัพอากาศและอากาศยานภายในประเทศ  จนครองอันดับกองทัพอากาศทรงอานุภาพดังกล่าว  ช่วงทศวรรษ 1950 นี้เช่นกันที่สวีเดนโดยเฉพาะ SAAB ได้ผลิตเครื่องบินขับไล่ดีๆออกมาใช้มากมาย ทั้ง SAAB J29 Tunnan,SAAB A32 Lansen,SAAB J35 Draken

การบอกเล่าเรื่องของกองทัพอากาศสวีเดนจะสมบูรณ์ไม่ได้หากไม่พูดถึง SAAB(ซาบ)  บริษัทผลิตอากาศยานแห่งชาติที่เติบโตมาพร้อมกับกองทัพอากาศ และผลิตเครื่องบินป้อนกองทัพมาตลอด

ในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์และอากาศยานของยุโรป เป็นที่ทราบกันดีว่าSAABนั้นไม่เป็นรองใคร  บริษัทนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1937 ในชื่อเต็มว่าSvenska aeroplanaktiebolaget" (บริษัทอากาศยานแห่งสวีเดน จำกัด)  ตั้งได้ 2 ปีก็เข้าร่วมกิจการกับบริษัท ASJA มีสำนักงานใหญ่ในเมืองลินเคอปิง  หลังจากเปลี่ยนผู้ดำเนินกิจการในช่วงทศวรรษ 1990 ซาบได้ชื่อใหม่เป็น SAAB AB

ด้วยชื่อเสียงของบริษัทที่เน้นอากาศยาน  ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ของ SAABจึงเป็นเครื่องบินและชิ้นส่วนอุปกรณ์เกี่ยวกับอากาศยาน  แต่ก็ผลิตรถยนต์จำหน่ายด้วยแบรนด์เดียวกัน มีรถยนต์แบรนด์ SAAB วิ่งอยู่ในถนนบ้านเราจำนวนหนึ่ง  คุณภาพของมันเป็นไปตามมาตรฐานยุโรป  คือแกร่ง  ทน ดูดีมีสง่า  ไม่เพียงแต่รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ซาบยังควบรวมกิจการกับบริษัทผู้ผลิตรถบรรทุก Scania-Vabisในปีค.ศ.1969 ระหว่างนั้นจนถึงค.ศ. 1995 ก็เปลี่ยนชื่อเป็น SAAB-ScaniaAB  แต่เจเนอรัล มอเตอร์สบริษัทยานยนต์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯได้เข้ามาถือหุ้นถึง 51 เปอร์เซ็นต์ในแผนกยานยนต์ตั้งแต่ ค.ศ. 1990 แล้ว  และซื้อหุ้นส่วนที่เหลือทั้งหมดในอีกสิบปีถัดมา

                แล้วเครื่องบินล่ะ SAABมีผลงานอะไรเข้าตากรรมการบ้าง?  ถ้าติดตามข่าวอุตสาหกรรมอากาศยานบ่อยๆก็จะทราบว่าเครื่องบินขับไล่ SAAB 32Lansen(ลันเซน,หลาว)คือเครื่องบินโจมตีสองที่นั่งที่SAABผลิตให้กองทัพอากาศสวีเดนตั้งแต่ค.ศ. 1955 ถึง 1960  ตัวถัดมาคือSAAB 35 Draken(ดราเคน,Dragon,มังกร) เครื่องบินรบทันสมัยในช่วงนั้นที่เข้ามาทดแทน SAAB J 29 Tunnan(ทุนนัน ถังไม้ติดปีก)   

ในช่วงสงครามเย็น ”ดราเคน”เป็นเครื่องบินรบความเร็วเหนือเสียงส่งออกที่ประสบความสำเร็จมากของสวีเดน  แม้ปัจจุบันมันจะถูกปลดประจำการไปแล้ว  แต่ดราเคนก็ยังเป็นต้นแบบให้ SAAB พัฒนาเครื่องบินขับไล่รุ่นต่อมา

                เครื่องบินขับไล่เจ็ตเด่นๆของSAABนอกจากลันเซน,ดราเคนแล้วต่อไปคืออะไร?  SAAB JA 37 Viggen(วิกเกน,Thunderbolt,สายฟ้า)คือคำตอบ  มันเป็นเครื่องบินขับไล่ที่นั่งเดี่ยวพิสัยใกล้และปานกลาง เป็นไปตามยุทธศาสตร์ของสวีเดนอันคล้ายคลึงกับไทยคือเน้นการป้องกัน จึงไม่ต้องการเครื่องบินขับไล่พิสัยไกล“วิกเกน”ทำได้ทั้งการครองอากาศ โจมตีภาคพื้นดิน จะให้บินลาดตระเวนถ่ายรูปหรือใช้เป็นเครื่องบินฝึกเปลี่ยนแบบ 2 ที่นั่งก็ยังได้ 

วิกเกนรับใช้สวีเดนอยู่ระหว่างค.ศ.1970 ถึง 1990 เป็นยี่สิบปีที่มันสร้างชื่อไว้มากจากนวัตกรรมด้านอากาศยาน มีปีกเล็กหรือ”แคนาร์ด”(Canard)เหมือนกริปเปนเพื่อช่วยการลดระยะการตีวงเลี้ยว  ช่วยให้ได้เปรียบข้าศึกในยุทธเวหาระยะประชิด(dogfight  สมรรถนะอันโดดเด่นของปีกเล็กหัวเครื่องบินจากSAABได้กลายเป็น”เทรนด์”ของเครื่องบินขับไล่ค่ายยุโรปไปแล้วนับแต่นั้น ยูโรไฟเตอร์ก็มีปีกเล็ก แม้เครื่องบินขับไล่ประจำชาติของอิสราเอลคือ”Kfir”(คฟีร์)ก็มีปีกชนิดนี้ด้วย   

เท่าที่ได้เรียบเรียงมานี้คือความเป็นมาอย่างสังเขปของกองทัพอากาศสวีเดน  เครื่องบินรบและบริษัท SAAB ผู้ผลิตที่ส่งมอบเครื่องบินสมรรถนะสูงให้กองทัพอากาศสวีเดนมาอย่างสม่ำเสมอ  เครื่องบินรบก่อนหน้า JAS39 ยังไม่ถูกส่งออกหรือส่งออกน้อย  ไม่ใช่ระบบอาวุธของสวีเดนไม่ดีหรือราคาแพงแต่เขาเน้นความพอเพียง  สร้างเครื่องบินไว้พอใช้ป้องกันชาติ   

ถ้าจะถามว่ายุทโธปกรณ์ของเขาทำไมเป็นที่รู้จักน้อยกว่าของอเมริกา  ต้องดูกันถึงรายละเอียด  ปืนใหญ่และปืนกลหนักโบฟอร์ส(Bofors ก่อตั้งเมื่อปี1873 )ที่ติดตั้งบนเรือรบใหญ่น้อยทั่วโลกผลิตจากสวีเดน  ระบบโทรคมนาคมทั้งทางทหารและพลเรือนแบรนด์อีริกสัน(Ericsson ก่อตั้งเมื่อปี 1876)ที่เราคุ้นเคยก็ของสวีเดน   เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าทางยุโรปนั้นเก่งงานแต่ไม่เก่งเรื่องการตลาด  สินค้าจากยุโรปส่วนใหญ่คุณภาพสูงพอๆกับราคา  แต่ซื้อไว้แล้วก็ใช้กันจนลืม

สวีเดนอาจไม่มีชื่อเสียงเด่นดังด้านอาวุธเป็นชิ้นใหญ่ๆ  แต่ระบบการทำงานที่ดีของมันล้วนมาจากประเทศนี้  รวมถึงประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวียเช่นฟินแลนด์,เดนมาร์กและนอร์เวย์

ถ้าศึกษาสภาพภูมิศาสตร์สวีเดนให้ดีจะพบว่านี่คือชาติยุโรปที่เล็ก  ประชากรกระจายกันอยู่ทั่วประเทศอย่างหลวมๆ  จำนวนชาวสวีดิชที่สำมโนประชากรในเดือนเมษายนปี 2007นี้คือ 9 ล้านกว่าคน  เป็น 9 ล้านกว่าที่แน่นไปด้วยคุณภาพ กองทัพเคยมีทหารทั้งหมด 1 ล้านนายในช่วงสงครามเย็นแล้วลดลงเหลือเพียง 6 หมื่นในปัจจุบัน  เป็น 6 หมื่นที่เพียงพอจากการป้องกันประเทศ  คล่องตัวจากเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเองและปรับปรุงต่อเนื่องให้ทันสมัยเสมอ  โดยเฉพาะเทคโนโลยีสื่อสารแบบเครือข่าย

กล่าวถึงกองทัพอากาศสวีเดนและเครื่องบินแบบต่างๆจาก SAAB แล้ว  ก็ต้องพูดถึง JAS39 Gripen (ยาส 39 กริปเปน)ที่กำลังจะประจำการในบ้านเรา  มันได้ชื่อนี้มาจากชื่อย่อของภารกิจในภาษาสวีดิช โดย คือ Jakt หรือการครองอากาศ  A คือ Attack หรือโจมตีต่อเป้าหมายภาคพื้นดิน  ตัวสุดท้ายคือ Sก็คือ Spaning หรือการลาดตระเวน ตัวเลข 39 คือเครื่องบินลำดับ39ที่เข้าประจำการในกองทัพอากาศประเทศสวีเดน  

แล้ว Gripen ล่ะมาจากไหน? ที่มาคือชื่อของสัตว์ในเทพนิยายยุโรปโบราณ ตัว Griffin(กริฟฟิน)หรือ Griphon(กริฟอน) ในภาษาอังกฤษเป็นสัตว์ครึ่งนกครึ่งสิงโต  ตัวเป็นสิงโตแต่มีหน้าตาและปีกเหมือนนกอินทรี งามสง่าและทรงอำนาจ  เป็นสัญลักษณ์ของพลังเหนือธรรมชาติ  กริปเปนคือตราแผ่นดินประจำจังหวัดโอสเตอร์โกตลันด์ ที่ตั้งสำนักงานใหญ่บริษัทSAAB(เมืองลินเคอปิงในจังหวัดนั้น)

เปรียบลักษณะของตัว”กริปเปน”กับเครื่องบินขับไล่ ก็คือเครื่องบินรบทวิภารกิจ(multi role aircraft)แบบเดียวกับ F16  พร้อมจะสร้างความวายวอดให้เป้าหมาสยได้ด้วยเขี้ยวเล็บและพละกำลังอันมหาศาลดุจสิงโตติดปีก 

ในการออกแบบกริปเปน SAAB ได้แผนแบบไว้มากเพื่อคัดเลือก  ในที่สุดก็มาจบที่แบบมีปีกเล็กเพื่อช่วยในการเลี้ยวกลางอากาศ  ช่วยยกตัวและเบรกขณะกำลังแล่นขึ้นและร่อนลงเพื่อกินระยะทางน้อยที่สุด  ประกอบกับชุดเบรกอัตโนมัติที่จะคำนวณน้ำหนักการกดของผ้าเบรกให้พอดีและปลอดภัย 

นอกจากปีกใหญ่และเล็กที่ช่วยด้านการบิน/แล่นขึ้น/ลงจอด  ระบบอีเลคทรอนิกส์อากาศยาน(avionics)รูปแบบใหม่ยังช่วยทำให้มันกลายเป็นอากาศยาน”Lalunarจัง เมื่อวันที่ 05/09/2010 09:30:14



ความคิดเห็นที่ 25





คุณ Maza ครับ หลักการเดียวกับMirage2000  ครับ  ปีกเป็นสามเหลี่ยม
โดยคุณ nok เมื่อวันที่ 05/09/2010 10:27:54


ความคิดเห็นที่ 26


ขอบคุณหลายๆท่านครับที่ช่วยมาเพิ่มเติมข้อมูล

ขอแก้ฉายาเจ29 เลยนะครับ จากที่ผมแปลว่ากระบอกบิน

จริงๆแล้วต้องแปลว่าถังไม้บินครับ บังเอิญดันไปคิดถึงBarrel ของกระบอกปืนซะได้ 555 (รู้เพราะบทความยาวๆนี่ละ)

โดยคุณ tan02 เมื่อวันที่ 05/09/2010 13:03:16


ความคิดเห็นที่ 27


อ่านกันเพลินเลย
โดยคุณ ecos เมื่อวันที่ 07/09/2010 05:13:25


ความคิดเห็นที่ 28


ระบบปีกของ Saab35 เรียกว่า double Delta wing ครับ จะเป็นปีกสามเหลี่ยม 2อัน   อ้าว งง ๆ 

อย่าง mirage จะเป็น ปีกสามเหลี่ยม ใช่ไหมครับ

แต่ S35 เนี่ย จะเห็นมุมหัก อีกอัน คล้ายปีกสามเหลี่ยมอีกอัน เครื่องที่เป็น double delta wing นอกจาก S35 ก็ F-16XL  ครับ

ข้อดีของ Double Delta Wing คือ มันทำให้ ลดข้อเสียของ Delta ที่ จะ ไม่Stable อย่างแรง เมื่อความเร็วต่ำ

Jas 39 ถือว่าเป็น Double Delta wing เหมือนกัน แต่เป็น DDW ที่ใหม่หน่อย เพราะ ใช้ คาีร์นาด + ปีก มองเป็น Double Delta
โดยคุณ u3616234 เมื่อวันที่ 11/09/2010 21:13:30