ใช่เหตุการณ์ นี้ หรือเปล่า ครับ ที่ทำให้เกิด คำพูดกินใจ ที่ว่า
" ถ้าเอาศพ ออกมา ไม่ได้ ก็เพิ่มศพเข้าไป "
เคยได้ยินแต่วีรกรรมดอนแตงครับ
น่าจะเป็นดอนแตง หรือเปล่าครับ เรือ นปข. 123 นี่
........................................
วีรกรรมของ ทอ. ในเหตุการณ์เรือ นปข.จ.หนองคาย
โดย...พ.อ.อ.รัชต์ รัตนวิจารณ์
กองทัพอากาศต้องสูญเสียเครื่องบิน ที-28 ดี ของฝูงบิน 223 ซึ่งทำการบินโดย ร.ท.
สนับสนุน ซึ่งก็เป็นดังที่คาดการณ์ไว้ ก่อนหน้านี้กองทัพอากาศใช้เครื่องบินตรวจการณ์แบบ อาร์ที-33 เอ ซึ่งใช้ปฏิบัติการมาหลายภารกิจในการปราบปรามผู้ก่อการร้ายในพื้นที่เขาค้อ และภูพาน ให้บินทำการถ่ายภาพจุดดังกล่าว พบว่า มีการติดตั้งปืนกลและปืนต่อสู้อากาศยานขนาด
วีรกรรมดอนแตงครับ ไม่ใช่ดอนน้อยครับ ตอนหน่วย นปพ.ท.ร.เข้าไปกู้ศพออกมาได้เจอทหารลาวแดงยืนคุยกันอยู่แต่ไม่เห็นฝั่งเราฝั่งเราจึงไม่ได้ยิงสังหารข้าศึกเพราะภาระกิจหลักคือการกู้ศพทหารเรือฝ่ายเราออกมาครับ จึงมาคำที่ติดใจฝ่ายเราว่า ถ้าไม่ได้ศพออกมาให้เอาศพเพื่มเข้าไป เป็นคำพูดของท่าน พลเรือเอก สงัด ชลออยู่ ผบ.ทร.สมัยนั้นครับ เอาเรื่องเต็มๆเลยแล้วกันครับเผื่อมีใครสงสัย เครดิตเว็ป Atcloud.com ครับ
วีรกรรมดอนแตง งานรำลึก "พล.ร.อ.สงัด" น.อ.วิพันธุ์ ชมะโชติ เรือพีบีอาร์ ขณะแล่นทดสอบในทะเล พลบค่ำของวันจันทร์ ที่ 17 พฤศจิกายน 2518 ลำน้ำโขง ซึ่งกั้นเขตแดนไทย-ลาว อันเป็นเสมือน "บ้านพี่เมืองน้อง" ยังคงไหลเอื่อยเหมือนเช่นทุกคืนที่ผ่านมา บรรยากาศยังคงสงบเงียบภายใต้แสงจันทร์สลัวจากท้องฟ้าเบื้องบน ขณะที่เรือเร็วตรวจการณ์ลำน้ำหรือเรือพีบีอาร์ หมายเลข 123 ของหน่วยปฏิบัติการตามลำน้ำโขงกองทัพเรือ กำลังแล่นลาดตระเวนในเขตพื้นที่รับผิดชอบ มันเป็นการปฏิบัติภารกิจตามปกติซึ่งลูกประดู่จากสถานีเรืออำเภอ "ศรีเชียงใหม่" กระทำมาโดยตลอดนับตั้งแต่วันแรกที่สถานีเรือแห่งนี้จัดตั้งขึ้น บนเรือพีบีอาร์ หมายเลข 123 มี *พันจ่าตรีปรัศน์ พงศ์สุวรรณ* ทำหน้าที่ผู้การเรือและเป็นผู้จับพังงาถือท้ายเพื่อบังคับเรือด้วยตนเอง โดยมีลูกทีมอีกสองนายทำหน้าที่พลปืนประจำเรือและช่างเครื่อง แม้จะเป็นการปฏิบัติภารกิจเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา แต่ในคืนวันนั้นพันจ่าตรีปรัศน์ซึ่งถือเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของเรือพีบีอาร์ หมายเลข 123 ก็ต้องได้เพิ่มความระมัดระวังและสังเกตการณ์เป็นพิเศษ *เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เนื่องจากหัวหน้าสถานีเรือซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของเขาแจ้งว่าหน่วยข่าวสืบทราบพบว่าฝ่ายตรงข้ามจะลักลอบนำ "อาวุธสงคราม" ข้ามจากฝั่งลาวมายังฝั่งไทยและพื้นที่ปฏิบัติการของฝ่ายตรงข้ามอยู่ในเขตรับผิดชอบของสถานีเรือนี้* ก่อนเวลาประมาณ 19 นาฬิกา 30 นาทีเล็กน้อย เรือพีบีอาร์หมายเลข 123 ได้แล่นผ่าน บ้านพูนสา อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ห่างจากฝั่งไทยประมาณ 100 เมตร ห่างจากฝั่งลาวประมาณ 400 เมตร *ทันใดนั้นสิ่งที่พันจ่าตรีปรัศน์และลูกเรือไม่คาดฝันก็บังเกิดขึ้น* จู่ๆ เสียงแผดคำรามจากอาวุธสงครามนานาชนิด ทั้งอาวุธประจำกายและอาวุธหนักก็ระเบิดรัวขึ้นชนิดสนั่นหวั่นไหว พร้อมๆ กับประกายไฟสว่างโร่พุ่งวาบข้ามฝั่งลาวตรงมายังเรือพีบีอาร์ของไทยซึ่งกำลังแล่นลาดตระเวนอยู่ มันเป็นการยิงจากทหารลาวซึ่งวางกำลังและฐานที่ตั้งไว้ 5 แห่ง ในลักษณะที่เตรียมการล่วงหน้า โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะทำลายเรือของหน่วยปฏิบัติการตามลำน้ำโขงให้ย่อยยับ ทันทีที่ถูกโจมตี พันจ่าตรีปรัศน์ร้องบอกลูกเรือให้ทำการยิงโต้ตอบและพยายามบังคับเรือแล่นซิกแซ็กเพื่อหลบออกจากวิถีกระสุนของข้าศึกตามที่เคยได้รับการฝึกมาก่อนหน้านี้แล้วหลายครั้ง พร้อมกันนั้น พันจ่าตรีหนุ่มก็หันไปคว้าไมค์วิทยุขึ้นมาเพื่อที่จะแจ้งสถานการณ์ฉุกเฉินและขอความช่วยเหลือไปยังสถานีเรือของหน่วยปฏิบัติการตามลำน้ำโขงหรือ นปข. ให้ส่งกำลังมาสนับสนุน *แต่แล้วในวินาทีอันต่อเนื่อง กระสุนของทหารลาวนัดหนึ่งได้พุ่งเข้ามาที่กลางแสกหน้าของพันจ่าตรีปรัศน์อย่างเหมาะเหม็ง* ร่างของลูกประดู่จากอำเภอพระประแดงสะดุ้งสุดตัวหงายผงะหล่นลงจากที่นั่งเสียชีวิตทันที พร้อมๆ กับที่พีบีอาร์ซึ่งปราศจากผู้บังคับกลายเป็นเรือไร้หางเสือพุ่งหัวขึ้นเกยตื้นบริเวณ "ดอนแตง" ซึ่งเป็นเนินทรายกลางแม่น้ำโขง ก่อนที่เครื่องยนต์จะดับลงในทันที แม้ผู้บังคับการเรือจะถูกกระสุนข้าศึกเสียชีวิตไปแล้ว แต่พลประจำเรือที่เหลืออยู่ของพีบีอาร์ 123 ก็ยังทำการต่อสู้ด้วยสัญชาตญาณของลูกนาวีไทย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ผบ.ทร. ในขณะนั้นส่องกล้องดูความเคลื่อนไหวบนดอนแตง กระสุนปืนกลขนาด .50 แคลิเบอร์ แท่นคู่ทางด้านหัวเรือและปืนกล ขนาดเดียวกันทางด้านท้ายเรือยังคงสาดกระสุนข้ามกลับไปยังฝั่งลาวอย่างห้าวหาญ แม้ว่าในช่วงเวลานั้น เรือจะเกยหัวขึ้นไปอยู่บนสันดอนและกลายเป็น "เป้านิ่ง" ให้ข้าศึกซัลโวเข้าใส่อย่างได้เปรียบก็ตาม *ทุกวินาทีที่ผ่านไป สถานการณ์ของฝ่ายเราตกอยู่ในภาวะคับขัน แต่เรือพีบีอาร์หมายเลข 123 ยังคงยิงสู้ข้าศึกจนกระสุนหมด* ในเวลาต่อมา หน่วยปฏิบัติการตามลำน้ำโขงก็ได้ส่งเรือพีบีอาร์ หมายเลข 125 และหมายเลข 128 เข้ามาสมทบเพื่อทำการช่วยเหลือพร้อมด้วยกำลังทหารนาวิกโยธิน ซึ่งเคลื่อนเข้ามาตั้งมั่นอยู่บนฝั่งไทย อย่างไรก็ตาม ฝ่ายข้าศึกได้ส่งเรือเข้ามายิงกดดันต่อเป้าหมายบริเวณดอนแตง รวมทั้งได้ใช้ "รถถัง" ยิงอาวุธข้ามมาจากฝั่งลาวอย่างรุนแรง เพื่อที่จะขัดขวางการช่วยเหลือทำลายเรือ 123 ให้พินาศ ปฏิบัติการของเรือ 125 และเรือ 128 จึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะบริเวณดอนแตงกลายเป็นเป้าหมายที่ทหารลาวยิงถล่มเข้าใส่ราวกับห่าฝน ฝ่ายเราจึงช่วยเหลือได้เฉพาะพลประจำเรือ 123 ซึ่งได้รับบาดเจ็บออกมาจากเรือเท่านั้น โดยเรือ 128 ทำการยิงคุ้มกันและให้เรือ 125 แล่นเข้าไปใกล้ดอนแตง เพื่อให้ผู้บาดเจ็บที่ยังสามารถช่วยตัวเองได้สละเรือ 123 ออกมาขึ้นเรือ 125 *ส่วนศพของพันจ่าตรีปรัศน์จำเป็นต้องทิ้งไว้บนเรือก่อน มิเช่นนั้นจะเกิดความสูญเสียเพิ่มมากขึ้นไปอีก* หลังถอนตัวออกมาได้แล้ว หน่วย นปข. ได้รายงานมายังศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือในพระราชวังเดิมแจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งทำให้กำลังพลประจำเรือพีบีอาร์ หมายเลข 123 เสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 1 นาย ส่วนเรือพีบีอาร์ หมายเลข 128 ซึ่งเข้าไปช่วยมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 นาย ไม่มีผู้เสียชีวิต แต่ภารกิจของทหารเรือไทยยังไม่สิ้นสุดลงเพียงแค่นั้น เพราะพลเรือเอก "สงัด ชลออยู่" ผู้บัญชาการทหารเรือและผู้บัญชาการทหารสูงสุด สั่งการอย่างเด็ดขาดว่า "ให้นำศพผู้เสียชีวิตกลับออกมาจากเรือให้ได้" รุ่งเช้าของวันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน กองทัพเรือได้ส่งชุดปฏิบัติการนาวิกโยธินข้ามไปยังดอนแตง เพื่อปฏิบัติการกู้ศพผู้เสียชีวิตออกมาจากเรือ พร้อมทั้งร้องขอการสนับสนุนเครื่องบินใบพัดแบบ ที-28 ของกองทัพอากาศ จำนวน 2 เครื่อง ทำหน้าที่คุ้มกันเหนือบริเวณเป้าหมาย *เมื่อฝ่ายลาวเห็นทหารเรือไทยข้ามไปยังดอนแตง การโจมตีขัดขวางก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง* เรือตรวจการณ์ลำน้ำฝ่ายลาวได้แล่นรุกล้ำเข้ามายังดอนแตง ซึ่งเป็นเขตไทยและใช้ปืนเรือยิงสกัดกั้นการเคลื่อนที่ของทหารนาวิกโยธินซึ่งพยายามรุกคืบไปยังเรือ 123 เครื่องบิน ที-28 ของกองทัพอากาศจึงทำการโจมตีตอบโต้ โดยใช้ปืนกลอากาศยิงข่มเพื่อกดดันให้เรือของฝ่ายลาวถอยกลับไปและออกห่างจากบริเวณที่เรือ 123 ของฝ่ายไทยเกยตื้นอยู่ ถึงแม้เรือของฝ่ายลาวจะแล่นกลับไปโดยไม่สามารถส่งทหารเข้ามาขึ้นฝั่งที่ดอนแตงได้ แต่เครื่องบินของฝ่ายไทยก็ถูกยิงตอบโต้ด้วยปืนต่อสู้อากาศยานเช่นกัน และบริเวณดอนแตงในตำแหน่งที่เรือเกยตื้นก็เป็นจุดที่ฝ่ายลาวระดมยิงอาวุธหนักเข้าใส่เพื่อกดดันไม่ให้นาวิกโยธินของไทยเข้าประชิดเรือได้ เรือพีบีอาร์ ลำล่าสุดที่กรมอู่ทหารเรือสร้างเสร็จเมื่อเดือนกันยายน 2549 ในที่สุด ผู้บังคับบัญชาในพื้นที่ของฝ่ายไทยจึงต้องสั่งถอนกำลังกลับโดยที่ไม่สามารถนำศพพันจ่าตรีปรัศน์ออกมาจากเรือได้ เหตุการณ์จึงทวีความตึงเครียดมากขึ้นไปอีก เมื่อถึงตอนนั้น *พลเรือเอกสงัด ชลออยู่* ผู้บัญชาการทหารเรือและผู้บัญชาการทหารสูงสุด จึงได้สั่งการอีกครั้งและกลายเป็นประโยคประวัติศาสตร์สำหรับทหารเรือไทยมาจนทุกวันนี้ว่า *"ถ้าไม่ได้ศพคืนก็ต้องเพิ่มศพเข้าไป"* ถ้อยคำนี้แสดงถึงความเข้มแข็งเฉียบขาดของผู้นำกองทัพของไทยในยุคนั้น และทำให้ทุกหน่วยที่มีส่วนเกี่ยวข้องมีขวัญและกำลังใจเต็มเปี่ยม มุ่งมั่นที่จะปฏิบัติภารกิจที่พวกเขามอบหมายให้สำเร็จลุล่วงให้จงได้ ในคืนวันนั้นเอง ปฏิบัติการกู้เรือและชิงศพก็เริ่มขึ้นเป็นครั้งที่สองโดยในเวลาประมาณ 20 นาฬิกา 15 นาที นักทำลายใต้น้ำจู่โจมหรือ "มนุษย์กบ" จากเกาะพระของกองทัพเรือซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหน่วยรบพิเศษที่มีขีดความสามารถมากที่สุด สามารถปฏิบัติการได้ทั้งสามมิติก็บินไปถึงจังหวัดหนองคายและถูกส่งเข้าพื้นที่ปฏิบัติการ ผู้นำทีมมนุษย์กบในขณะนั้นคือเรือเอก "อนุวัฒน์ บุญธรรม" พร้อมด้วยมนุษย์กบอีก 5 นาย ได้แทรกซึมข้ามลำน้ำเข้าไปยังพื้นที่อันตรายโดยอาศัยจังหวะที่มีเมฆบดบังดวงจันทร์ ทำให้ดอนแตงตกอยู่ในความมืดสลัว ทีมมนุษย์กบของไทยเคลื่อนตัวจากบ้านท่ามะเฟือง อำเภอท่าบ่อมุ่งสู่ดอนแตง บริเวณที่เรือ พีบีอาร์ 123 เกยตื้นอยู่ ห่างจากฝั่งไทยประมาณ 2 กิโลเมตร มันเป็นการเคลื่อนที่อย่างเงียบเชียบและระมัดระวัง โดยที่ทหารลาวซึ่งคุมเชิงอยู่ไม่มีโอกาสสังเกตเห็นเลย ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา ทีมมนุษย์กบซึ่งออกจากฝั่งไทยพร้อมด้วยเครื่องมือและอุปกรณ์สำคัญก็ไปถึงที่หมายและลงมือทำงานทันที จนกระทั่งเวลาตีหนึ่ง ปฏิบัติการจึงสำเร็จเรียบร้อย ฝ่ายเราสามารถนำศพของพันจ่าตรีปรัศน์ พงษ์สุวรรณ กลับมาได้ ไม่เพียงแต่จะกู้ศพกลับมาเท่านั้น ทีมมนุษย์กบของกองทัพเรือยังได้ถอดปืนเรือและเครื่องมือสื่อสารตลอดจนอุปกรณ์สำคัญทุกชิ้นจากเรือและนำกลับมายังฝั่งไทย ก่อนที่จะ "วางระเบิด" ไว้ที่จุดสำคัญของเรือต่อสายชนวนลากกลับมาด้วย อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดแล้วเมื่อเห็นฝ่ายไทยระดมกำลังจังก้าเรียงรายกันริมฝั่งแม่น้ำโขงหันปากกระบอกเข้าสู่ฝั่งลาว ทหารลาวที่คุมเชิงอยู่บริเวณดอนแตงจึงถอนตัวกลับออกไป เปิดโอกาสให้ฝ่ายไทยเข้ากู้เรือและลากเรือ 123 กลับคืนมาได้ในวันต่อมาโดยไม่มีการปะทะเกิดขึ้นอีก สองวันหลังเกิดเหตุ เป็นวันที่ 20 พฤศจิกายน ตรงกับวันกองทัพเรือ พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้เดินทางไปเยี่ยมกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บ พร้อมกับกล่าวชมเชยความสำเร็จของทีมช่วยเหลือและกู้เรือ นับเป็นความสำเร็จที่ไม่ต่างอะไรกับการมอบของขวัญอันล้ำค่าให้กับทหารเรือไทยเนื่องในวันกองทัพเรือ จากวันนั้นถึงวันนี้ "วีรกรรมที่ดอนแตง" ได้กลายเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำและรำลึกถึงวีรกรรมของทหารเรือไทยและหน่วย นปข. แม้วันเวลาได้ผ่านล่วงเลยมา 31 ปีแล้ว และ นปข.ก็เปลี่ยนนามเรียกขานเป็น *หน่วยรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง* (นรข.) แล้วก็ตาม แต่เรือเร็วตรวจการณ์ลำน้ำ (รตล.) หรือเรือพีบีอาร์ (PBR ชื่อเต็ม RIVER PATORL BOAT) ก็ยังคงปฏิบัติภารกิจที่สำคัญมาอย่างต่อเนื่อง และอยู่คู่กับความสงบเรียบร้อยของลำน้ำโขงมาจนถึงปัจจุบัน
....เป็นดอนแตงแน่นอนคับ ผมจำได้ เพราะตอนนั้นเรื่องนี้ดังมาก หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวใหญ่ทุกวัน....
....กองกำลังที่ไปลากเรือกลับมาได้ น่าจะเป็นนักทำลายใต้น้ำของกองทัพเรือคับ ไม่ใช่นาวิก เพราะลาวถ้าใครไม่เคยรบด้วยไม่รู้หรอกคับว่าเค้ายิงได้สะแด่วแห้วขนาดไหน....
....ขนาดว่าทหารกูรข่าที่ไปรับจ้างรบในสงครามลาว ว่าเจ๋งสุดสุดแล้วยังข่าไม่ออกอ่ะคับ โกยก้นเตี้ยเหมือนกันอ่ะ......
....สู้ตายคาปืนอ่ะคับ สำหรับทหารลาว กระสุนไม่หมด ปืนไม่แตก ไม่มียอมหยุดง่าย ๆ อ่ะ.....
....ใครที่สบประมาทใครว่ารบแพ้ลาวมั่ง วิ่งหนีลาวมั่ง แสดงว่าไม่เคยเจอของจริงคับ รบกะลาวเอาแค่หนีกลับบ้านได้ครบ 32 ก้อถือว่าเก่งสุดแล้ว......