หลายๆ คนคบพอรู้ มาเเล้ว ว่าเครื่องบินรบไทยในสงครามอินโดจีน เราเคยสร้างมาใช้รบเอง
เเต่ ต้องยกเลิกเพราะอะไร เห็นเค้าบอกว่า ซื้อใช้เองดีกว่าซะงั้น
>> http://iseehistory.socita.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538711029&Ntype=1
ไม่งั้น จนปัจจุบันนี้ เราคงได้มี jas-39 เป็นรุ่นผลิตในไทยเเล้ว
อีกอันคือ เรื่อดำน้ำ ในอดีตเราก็เคยมีเรือดำน้ำใช้เช่น กัน เเต่ก็นะ มีก่อนคนอื่นในอาเชี่ยนเชี่ยว ก็หายไปตามระเบียบ คิดดู ถ้าพัฒนามาจนปัจจุบัน คงได้มีเป็นตัวเองเเล้วละ เอ่อ
>> http://www.navy.mi.th/navalmuseum/002_history/html/his_od_submarine_thai.htm
อันนี้ UAV ของไทยครับ กำลังพัฒนา เเต่ก่อนเราเคยใช้ uav ในสมรภูมิ ร่มเกล้า ก็นานเเล้ว ถ้าเราพัฒนาจากตอนนั้น เราคงมีใช้ที่ดีๆ เองเเล้ว
>> http://atcloud.com/stories/66623
เเล้ว ยัง มีโครงการ ต่างๆมากมาย ที่เราเคยทำ เเต่ต้องถูกยกเลิกไป เพราะขาดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ในปัจจุบัน เด็กไทยเรา คิดประดิษฐ์ อะไรที่เจ๋งๆ ได้เยอะเเยะ เช่นหุ่นยนต์กู้ ระเบิด เเล้ว ก็ เครื่้องยิงปืนอัตโนมัติ เป็นเเบบ เซนเซอร์ หมุนยิงเอง << อันนี้ ขาดการนำไปต่อยอดเลยไม่ได้เห็น ส่วนหุ่นยนต์ ก็เห็นๆ เเล้ว ว่าไปกู้ได้จริง
ไม่ได้อยากจะซ้ำเติมนะครับ เเต่อยากให้ บุคคลที่มีความ เกี่ยว ข้องหันมาสนใน ใส่ใจทำอย่างจริงจังซักที ถ้าตั้งใจเเละไม่ย่อท้อ ไม่มีอะไรที่คนไหทยทำไม่ได้หรอกครับ
** ก็ขอ เป็นกำลังใจให้โครงการต่างๆ ของไทย พัฒนาก็ต่อไปอย่างได้หยุด เเละ ขอให้ทำให้สำเร็จนะครับ เป็นกำลังใจให้
อันนี้ ที่เค้า กำลังดำเนินการหลายๆโครงการนะครับ รู้สึกว่าจะเปิดใหม่ หวังว่าคงไม่ พับนะครับ
เเต่เมกา ตอนนี้มันทำเป็น UAV เเบบ ตรวจจับ ทิ้งบอม ไปเเล้ว
เพื่อน
มิได้เจตนาจะแสดงกำลังหรืออะไรทั้งสิ้นนะครับ....เห็นว่าเพิ่งมาใหม่และก็ขอต้อนรับนะครับ...เห็นแก่ความตั้งใจและไฟแรง ที่อาจนำเสนอเรื่องใดๆ ที่คิดว่าใหม่ๆ แต่อาจเป็นเรื่องที่เก่ามากแล้ว....จึงขอแนะนำให้ลองไปอ่านกระทู้เก่าๆ ดู อาจเยอะไปหน่อย(ประมาณ 180 หน้า) หน้าละ 50 กระทู้โดยประมาณ โห...ก็ ร่วมพันกระทู้ ใครๆ ก็ขี้เกียจอ่าน ก็ให้เลือกดูแต่คร่าวๆ ไม่ต้องดูทั้งหมด...แล้วจะรู้ว่าอ้าว เค้าคุยกันมานานแล้วนี่นา จะได้ไม่เขินนะครับ
สังเกตว่าสมาชิกใหม่ ด้วยความไฟแรง...ปัญหา, ข้อสงสัยและสิ่งอัดอั้น อันปัญหา"ทำไม?" ที่พบหรือปัญหาระดับ FAQ (ถูกหรือเปล่า? จำไม่ได้) หนึ่งในนั้นคือ...ทำไมประเทศเราจึงไม่สร้างอาวุธเอง ทั้งๆที่ส่งออกรถยนต์หลักล้านคันต่อปี ท่านแอดมินเป็นฝ่ายบุคคลน่าจะมีกระทู้ต้อนรับสมาชิกใหม่ประมาณปฐมนิเทศ บริ๊ฟข้อมูลคร่าวๆ...พอซายด์ อิน ปุ๊บ ก็กระเด้งไปกระทู้ดังกล่าวปั๊บ เป็นต้น...
ส่วน UAV ที่ท่านนำมาเสนอก็เป็นสิ่งน่าสนใจ แล้วทำไมไม่สานต่อ...อันนี้ปวดใจครับ รอท่านอื่นมาตอบดีกว่า...อยากทิ้งท้ายหน่อยนึงว่าสมาชิกที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นสมาชิกที่ TAF ด้วย การนำข้อมูลมาเสนอข้ามไปข้ามมาระหว่างสองเว็บก็ควรให้เครดิตเจ้าของเค้าหน่อยนึง...ยกตัวอย่างเช่น เมื่อวานท่านโพสกระทู้หนึ่งที่โน่น(TAF) ต่อมาในวันนี้มีนาย ก. นำเรื่องขอท่านมาลงที่นี่ แล้วท่านมาอ่านเจอ เจอแล้วรู้สึกยังไง โกรธสิครับ...แล้วจะเป็นที่มาของการปะทะคารมกันให้เสียบรรยากาศ เป็นต้น...ให้เครดิตยังไงหรือ? ก็ชี้แจงหน่อยว่านำมาจากไหน ถึงแม้ในรูปจะพะที่มาไว้แล้วก็ตาม เป็นการขอบคุณเค้า ยกตัวอย่างอีกที พอเค้านำเรื่องเรามาลง แล้วบอกว่านำมาจาก นายนั่นนายนี่ เราจะรู้สึกอย่างไร? คราวนี้จะเปลี่ยนเป็นภูมิใจสิครับ มีกำลังใจขึ้นมาทันที ส่วนตัวแล้วผมเป็นคนบ้ายอ ใครชมหน่ะช๊อบชอบ ภูมิใจไปสามวันเจ็ดวันทีเดียว....เท่านั้นเองครับ ง่ายๆ เป็นอันจบ
เรื่องเครื่องบินรบที่เราเคยผลิตเอง ตอนสงครามโลกครั้งที่สอง ไทยเราสั่งซื้อเครื่องบินจากต่างประเทศมาใช้เยอะทั้งญี่ปุ่น เมกา ทำให้เทคโนโลยีและความชำนาญเราหายไป และโรงงานผลิตเครื่องบินของเราก็โดนทิ้งระเบิด ทำให้โรงงานพังเสียหายหมด และแต่นั้นมาเราก็ซื้อเครื่องบินเค้าอย่างเดียว และกว่าจะรู้ต้วอีกทีและคิดอยากจะผลิตเองมันก็สายไปเสียแล้ว เพราะเทคโนโลยีมันก้าวไปไกลจากที่เราเคยรู้มาแล้วครับ เราเลยไม่สนใจในการผลิตแล้วตั้งหน้าตั้งตาซื้ออย่างเดียวเพราะเราไม่มีพื้นฐานความรู้ในการผลิตเครื่องบินรุ่นใหม่ๆ ที่มีความซับซ้อนทางเทคโนโลยีต่างๆสูงมากมันไม่เหมือนกับ เครื่องบินใบพัดลำตัวเอาผ้าใบบุเหมือนในช่วงเริ่มการบินใหม่ๆนะครับ
ส่วนเรื่องเรือดำน้ำ คิดว่าตอนที่เรามีเพราะเราต้องการเอามาถ่วงดุลอำนาจอินโดจีนฝรั่งเศสที่เริ่มเป็นภัยคุกคามต่อประเทศเรา ตอนนั้นประเทศสยามหรือไทยเราให้ความสำคัญกับการทหารอย่างมาก ชนิดว่าไม่มีประเทศไหนในอาเซี่ยนที่จะเทียบชั้นกับเราได้ เรามีเรีอดำน้ำ 4 ลำ และเรือรบ เครื่องบินอีกจำนวนมากไม่ต่ำกว่า 200 ลำ การทหารเราเข้มแข็งมาก ไม่เหมือนปัจจุบัน เราเลยต้องมีเรือดำน้ำไว้ประจำการเพื่อเป็นพลังอำนาจในการต่อรองระหว่างประเทศซึ่งคู่ปรปักษ์เราก็เป็นประเทศใหญ่มีอำนาจสูงคือฝรั่งเศส และสุดท้ายเมื่อเกิดยุทธนาวีเกาะช้างขึ้น ฝรั่งเศสถล่มเรือรบของเราทั้งสามลำ เรียบร้อยแล้ว เราก็ได้ใช้ไม้ตายของเราคือเรือดำน้ำ เข้าไปลาดตระเวณในเขตของข้าศึกคือฝรั่งเศสโดยการไปแบบหมดหน้าตัก ทั้ง4ลำไปลาดตระเวณป้วนเปี้ยนแถวๆชายแดนทางทะเลและหน้าอ่าวเขมร ทำให้เรือรบฝรั่งเศสผวาไม่กล้าออกลาดตระเวณเพราะกลัวการซุ่มโจมตีด้วย ตอร์ปิโด จากเรือดำน้ำไทย จากวันนั้นถึงวันนี้ ความสำคัญของการทหารในไทยลดลง เราได้รับอาวุธจากเมกา มากมายจนเคยตัวไม่ได้หาอาวุธใหม่ เรือดำน้ำ หลังจากที่ญี่ปุ่นแพ้ก็ไม่มีอะไหล่ในการจัดซ่อม เลยต้องปลดประจำการลงทั้ง4 ลำ เห็นเหลือสะพานเดินเรือแค่สองลำ ที่ พิพิธภัณฑ์ทหารเรือตรงข้ามโรงเรียนนายเรือ และ ป้อมพระจุลจอมเกล้า สมุทรปราการ มาถึงทุกวันนี้ ราคาเรือดำน้ำก็แพงขึ้นมาจากอดีต รวมทั้ง กองทัพเรือก็ได้รับจัดสรร งบประมาณเพียงน้อยนิด จะเติมน้ำมัน จ่ายเงินเดือนซ่อมเรือแทบจะไม่พอใช้ หลังจากเหตุการณ์กบฏแมนฮัดตั้นจบลงทหารเรือก็เหมือนลูกเมียน้อยแต่นั้นเป็นต้นมางบประมาณก็ได้รับน้อยกว่าในจำนวนทั้งสามเหล่าทัพมันก็เป็นด้วยเหตุฉะนี้แล
ส่วนโครงการอื่นๆ ก็อย่างว่านะครับ เป็นต้นแบบ พอเสร็จแล้วก็พับลงโต๊ะ ทำทำไมซื้อดีกว่า ได้ค่อคอมด้วย 5555+ มันก็เป็นซะอย่างงี้ บางสิ่งมันก็ไม่คุ้มค่ากับการลงทุนเพราะถึงแม้จะทำได้ใช้ได้แต่ก็มีราคาและการลงทุนแพงทำให้ไม่คุ้มค่าในการพัฒนา ซื้อถูกกว่าก็มีครับ
เครื่องบินรบเราสร้างเอง? ที่เราซื้อแบบจากฝรั่งเศสสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซื้อมาพอตั้งโรงงานเริ่มลงมือสร้างเครื่องปีกสองชีั้น เขาไปถึงไหน ปีกชั้นเดียว เราต้องซื้อเครื่องบินปีกชั้นเดียวเพราะเราไม่มีวิวัฒนาการอย่างที่จำเป็นต้องใช้
มีคำนึง Competitiveness ความสามารถที่จะแข่งขัน การริเริ่มเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่จบเพียงแค่นั้น จำเป็นที่จะต้องมีความสามารถที่จะพัฒนา ปรับปรุงให้เทียบเท่า แข่งขันกับคนอื่นได้ โลกนี้หรือเทคโนโลยีรอบตัวเรามีวิวัฒนาการเร็วมาก เรามักไม่สร้างความสามารถในการแข่งขัน แล้วรอโทษแต่ค่าน้ำร้อนน้ำชา
(1) บ.ท.๒ = เครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ บริพัตร รุ่นเครื่องยนต์จูปิเตอร์
บท. ๒ บริพัตร
ผู้สร้าง....................กองโรงงานการช่างกรมอากาศยาน ประเทศไทย.
ประเภท...................เครื่องบินทิ้งระเบิด ปีกสองชั้นสองที่นั่ง
เครื่องยนต์...............เครื่องยนต์จูปิเตอร์ ๔๐๐ - ๖๐๐ แรงม้า ๑ เครื่อง
กางปีก....................๔๔ ฟุต
ยาว.........................๒๘ ฟุต ๙ นิ้ว
สูง..........................๑๐ ฟุต ๕ นิ้ว
อัตราเร็วสูงสุด.......๑๕๗ ไมล์ ต่อ ชั่วโมง
เพดานบิน.............
พิสัยบินสูงสุด.......
อาวุธ.....................@
ประจำการ................๒๔๗๐
ประวัติ.....................เมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๐ พันโทหลวงเวชยันต์รังสฤษฏ์ (มุนี
มหาสันทนะ) ผู้รั้งตำแหน่งผู้บังคับฝูงกองโรงงานอากาศยาน ได้ออกแบบเครื่องบินทิ้งระเบิดปีกสองชั้นขึ้น
เป็นผลสำเร็จเป็นเครื่องบินแบบแรกที่ออกแบบสร้างเองโดยคนไทย หลังจากที่ดำเนินการสร้างเครื่องบินแบบ
ต่างๆตามแบบโดยเริ่มจากการซ่อมและสร้างชื้นส่วนต่างๆจากไม่กี่ชื้นจนเกือบจะทุกชิ้นที่ฝรั่งสร้างมาแล้วเช่น
เบร์เกต์ และนิเออร์ปอร์ต โดยกำหนดชื่อเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบนี้ว่า "บริพัตร" ตามพระนามของจอมพล
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เสนาบดีกระทรวงกลาโหม
เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๗๐ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพ
พรรณี พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินสู่กรมอากาศยานทอดพระเนตรกิจการต่างๆ ในกาลนี้เจ้ากรม
อากาศยานได้กราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานเปิดพระนามและปล่อยเครื่องบินแบบ "บริพัตร"
เป็นศุภมงคลฤกษ์
การออกแบบและสร้างเครื่องบินแบบ บริพัตร นั้นยังอยู่ในขั้นทดสอบสมรรถนะเพื่อพิสูจน์ความแน่นอนก่อนจะ
มีการผลิตจำนวนมาก ออกมาใช้ราชการ โดยเบื้องต้นประเมินจากกำลังเครื่องยนต์แล้วคาดว่า เครื่องบินแบบนี้
จะมีขีดความสามารถในการบินได้นานถึง ๑๐ ชั่วโมง ซึ่งจะเหนือกว่าเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ เบร์เกต์ที่มี
สมรรถนะสูงที่สุดของกรมอากาศยานในขณะนั้นที่บินได้นาน ๔ ชั่วโมง จำนวนสร้างเครื่องบินบริพัตร จึงมีทั้งสิ้น
๔ เครื่องโดยแยกเป็นแบบใช้เครื่องยนต์จูปิเตอร์ ๒ เครื่อง และ ใช้เครื่องยนต์ บีเอ็มดับบลิว ซีรี่ ๖ อีก ๒ เครื่อง
ตามนโยบายของพระยาเฉลิมอากาศ
ในวันที่ ๒๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๒ เครื่องบินบริพัตร รุ่นเครื่องยนต์ บีเอ็มดับบลิว ทำหน้าที่หัวหน้าหมู่
บิน ๓ ( ประกอบด้วย รุ่นจูปิเตอร์ ๒ เครื่องและ บีเอ็มดับบลิว ๑ เครื่อง )ซึ่งกำลังเดินทางไปเยือนประเทศ
อินเดีย ตกลงในป่าทึบของจังหวัดอุทัยธานี เป็นเหตุให้ นายพันโทหลวงเนรมิตรไพชยนต์ (เซี้ยง ศุษิลวรณ์ )
ถึงแก่กรรมในครั้งนี้ด้วย เครื่องบินที่เหลือสองเครื่องเดินทางกลับมาลงที่ดอนเมืองในวันเดียวกัน และในวันที่ ๒๔
ธันวาคม เครื่องบินที่เหลือทั้งสองเครื่องก็ออกเดินทางไปยังอินเดียอีกครั้ง ในเส้นทางเดิม โดยมีพระยา
เวหาสยามศิลปสิทธิ์ (หลง สินสุข ) เป็นหัวหน้าคณะ มีนายร้อยโทกิ่ง ผลานุสนธิ์ เป็นนักบินเครื่องที่หนึ่ง
และนายร้อยเอก กฤษณ์ บูรณะสัมฤทธิ์ เป็นนักบินเครื่องที่สองโดยมี นายสิบเอกสีนวล มากพานิช เป็นช่าง
เครื่องบิน แต่ในวันที่ ๓๐ ธันวาคม ขณะทั้งสองเครื่องเดินทางมาถึงเขตเมืองอัลละฮาบัด มองเห็นสนามบินที่จะ
ทำการลงอยู่แล้ว เครื่องของพระยาเวหาสยามศิลปสิทธิ์ (หลง สินสุข ) เป็นหัวหน้าคณะ มีนายร้อยโทกิ่ง
ผลานุสนธิ์ เป็นนักบิน เกิดขัดข้องต้องร่อนลงฉุกเฉินที่ชายหาดแม่น้ำคงคา เครื่องบินเสียหายอย่างมากจำเป็น
ต้องถอดชิ้นส่วนลงเรือเดินทางกลับประเทศไทย ในขณะที่นักบินและหัวหน้าคณะได้รับบาดเจ็บต้องเข้ารักษาตัว
ที่เมืองอัลละฮาบัด ส่วนเครื่องบินบริพัตร อีกเครื่องเดินทางถึงจุดหมายและร่วมกิจกรรมต่างๆตามที่ทางกองทัพ
อังกฤษ และรัฐบาลอินเดียเตรียมไว้ และเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๔๗๒ (ขณะนั้นนับปีใหม่ในเดือนเมษายน )
ถึงกำหนดเดินทางกลับประเทศไทยโดยลำพัง ในขณะที่นักบินที่ได้รับบาดเจ็บเดินทางโดยรถไฟไปยังเมือง
ย่างกุ้ง โดยเครื่องบินบริพัตรทำการบินจากอัลละฮาบัดถึงย่างกุ้งในวันที่ ๑๙ ในวันที่ ๒๐ กรมอากาศยานส่ง
เครื่องบินบริพัตรเครื่องที่เหลือจากดอนเมือง (รุ่นบีเอ็มดับบลิว อีกเครื่อง ) ทำการบินโดยนายร้อยเอกจ่าง นิ
ตินันท์น มารับหัวหน้าคณะและนักบินที่ยาดเจ็บที่นั่งรถไฟมายังย่างกุ้ง และในวันที่ ๒๓ มกราคม เครื่อง
บินบริพัตรทั้งสองเครื่องออกเดินทางจากย่างกุ้งสู่ประเทศไทย ส่วนสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุทั้งสองครั้งมีการ
ตรวจสอบแล้วพบว่าเกิดจากท่อน้ำมันเบ็นซินที่เข้าหาคาบูเรเตอร์ มีรอยชำรุดตรงหัวต่อนั้น ทำให้น้ำมันรั่วออก
ได้จนหมด โดยเครื่องที่สามมีการตรวจสอบเมื่อลงสนามบินแล้วก็พบว่าเป็นปัญหาเดียวกันแต่สามรถแก้ไขได้
เป็นที่เรียบร้อย
ในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๔๗๓ กรมอากาศยานจัดส่งเครื่องบินแบบ บริพัตร ทั้งสามเครื่อง ออกเดินทางไปเยือน
ฮานอย เป็นครั้งที่สอง ต่อจากที่เคยใช้เครื่องบินเบร์เกต์เดินทางไปครั้งแรกเมื่อ กรกฎาคม ๒๔๖๔ การเดินทาง
ไปและกลับอย่างสวัสดิภาพ (รายละเอียดดูในรุ่นบีเอ็มดับบลิว)
ปัจจุบันแม้ว่าจะไม่มีเครื่องบินแบบ บริพัตร ตัวจริงเหลืออยู่เลยก็ตาม แต่ก็มีการสร้างแบบจำลองเครื่อง
บินบริพัตร ในโอกาสต่างๆ อย่างน้อย สี่เครื่อง โดยเครื่องแรกใช้ออกแสดงในงานต่างๆ สุดท้ายนำมาตั้ง
แสดงอยู่ที่หน้าอาคารพิพิธภัณฑ์ของกองทัพอากาศ จนกระทั่งผุพังไปในที่สุด (ในปี ๒๕๒๖ ยังตั้งแสดงอยู่ )
อีกเครื่องเป็นแบบจำลองตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ คลองหลวง ส่วนที่เหลือจัดสร้างใหม่ตั้งแสดงอยู่ที่
พิพิธภัณฑ์ของกองทัพอากาศดอนเมือง ในส่วนของมูลนิธิอนุรักษ์และพัฒนาอากาศยานไทย มีแผนที่จะสร้าง
เครื่องบินแบบ บริพัตร ออกมาจำนวนหนึ่ง ภายหลังจากที่มีการรวบรวมข้อมูลและพิมพ์เขียวของเครื่องบิน
แบบนี้ไว้ได้ส่วนหนึ่งแล้ว
ที่มาครับ http://www.pantown.com/market.php?id=32248&name=market20&area=4&topic=1&action=view
ก็เห็นว่าคนไทยเราความ สามมารถก็มีมากเเล้วเราก็ ทำเองได้ตั้งเเต่ สมัยก่อนเเล้ว ผิดถูกยังไงขออภัย ด้วยนะครับ
เห็นได้ว่าถ้าเราจะทำจริงๆ ทำได้แน่นอนครับ
หลัง จากได้ไปอ่านหลายๆกระทู้ก็เข้าใจมากขึ้นว่า ทำไมหลายโรงการถึงล่มไป
เหนื่อยใจเลย เมืองไทย
ความเห็นส่วนตัวนะครับ...หากไม่นับเรื่องอื่นๆ...ว่ากันด้วยความคุ้มค่าอย่างเดียวเลย การวิจัยอาวุธหรือแม้กระทั่งซื้อสิทธิบัตรมาผลิต ต้นทุนเริ่มแรกจะสูง จะต้องจัดหาเครื่องไม้เครื่องมือ อุปกรณ์ประกอบ จิปาถะ หากผลิตจำนวนไม่มาก ราคาต่อลำ(กรณีเป็นเครื่องบิน) คงจะสูงเอาการ....เหมือนซื้อกับข้าวมากินถุงนึง 20-30 บาทก็พออิ่ม ราคาถูกกว่าซื้อวัตถุดิบมาทำเองแน่นอน ถึงแม้ว่าระยะยาวทำเองจะกินได้นานกว่าก็ตาม...บ้านเรายังจนครับ อย่าว่าแต่งานวิจัยทางทหารเลย งานวิจัยด้านอื่นๆ ก็ยังถือว่ามีน้อยมากเมื่อเทียบกับต่างประเทศ....
มี คำๆนึงครับ ที่ฟังเเล้ว น่าคิด
*** คนไทยไม่เเพ้ชาติใดในโลก เเต่จะเเพ้คนไทยด้วยกันเอง ***
ดูจากอดีตจนปัจจุบันเเล้ว ผมว่าค่อนค้างจริง
น้องครับ เมื่อทราบความจริงแล้ว
เราไปหา เรื่องฮาๆ ของอาวุธต่างๆมาคุยกัน ต่อนะครับ
สะหนุก ๆ สะนุ๊ก สะหนุก
อย่าเครียดก่อนวัยอันควรครับ
ขอบคุณที่เอา UAV ติดกล้องมาให้ชม คราวหลังเอาแบบขยาย
แบบซูม OPTIAL (MINIMUM 22 X) น่าจะดีนะ เอาแบบ WXDR
คงเห็นอะไรดีๆ เอามาทำแผนที่เยอะๆ ฮา.....
อย่าลืมเขตห้ามบินใน กทม. ด้วย เดี๋ยวโดนสอย
เเล้ว ไอ้ตัวนี้ ผลิต มาใช้ จริงจังมั้ยอะ ป้อมปืนข้างบนอัตโนมัติ ด้วยหนิ ไฮโซซะ
ในเขต กทม. น่ะ ถึงจะไม่ห้ามบินก็บินสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ครับ เดี๋ยวชนสายไฟฟ้าแรงสูงตกนะ ลูกบอลสะท้อนแสงมันไม่ได้มีทั้ง กทม. อิ อิ
ส่วนเรื่องสร้างอาวุธน่ะตอบกันหมดแล้ว ไม่ตอบแล้ว ฮี่ ๆ
คุณ Janas ครับ แล้ว HAWK 100 Hawk พับฐาน Hawk 75 คอแซร์ นี่ไม่ใช่เครื่องเมกาหรอครับ?.แล้วสงครามอินโดจีนฝรั่งเศสมันเกิดก่อนสงครามโลกครั้งที่สองใช่มั๊ยครับแล้วเมกาจะไม่ขายเครื่องบินให้กับเราได้ยังไง แล้วไอ้รุ่นที่ว่ามานั้นมันผลิตในไทยหรอครับ?.
แล้วที่ผมบอกว่า เรื่องเครื่องบินรบที่เราเคยผลิตเอง ตอนสงครามโลกครั้งที่สอง ผมเว้นวรรคแล้วนะครับ ผมไม่ได้พูดว่าเราผลิตเครื่องบินเองตอนสงครามโลกครั้งที่สอง ผมบอกว่า เราเคยผลิตเอง เว้นวรรค เว้นวรรค เว้นวรรค ตอนสงครามโลกครั้งที่สอง ไม่ได้ประโยคติดกัน
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ไทยไม่เคยสร้างและประกอบเครื่องบินเองครับเพราะเราไปซื้อมาจากของมือสองเหลือใช้ในสงครามครับเราเคยซื้อเครื่อง สปิตไฟต์มาใช้จากพม่าด้วย
ทำไมเมกาจะไม่ขายเครื่องบินให้กับไทยตอนสงครามโลกครั้งที่สองครับ คุณจำเครื่องบินที่ไทยเคยซื้อจากเมกาแล้วโดนเมกากักไว้ได้มั๊ยครับ ที่ซื้อแล้วตอนส่งมอบดันไม่ส่งมอบให้เราซะงั้น ไม่แน่ใจว่าไปกักไว้ที่อินโดหรือฟิลิปปินส์ ขายครับแต่ไม่มอบให้ แล้วจะบอกว่าเมกาไม่ขายเครื่องบินให้ไทยได้ไง เพราะช่วงแรกเราก็ยังเป็นพวกเมกาอยู่แต่โดนญี่ปุ่นบังคับเลยต้องยอมเป็นพวกญี่ปุ่นไงครับ
ส่วนโรงงานสร้างเครื่องบินเรา ตอนสงครามโลกครั้งที่สองโรงงานผลิตเครื่องบินเราโดนเครื่องบินไม่แน่ใจว่าเป็นญี่ปุ่นหรือเมกาทิ้งระเบิดโจมตี แต่คิดว่าน่าจะเป็นอเมริกามากกว่าเพราะญี่ปุ่นไม่เคยทิ้งระเบิดโจมตีกรุงเทพ มีแต่ขุ่ว่าจะโจมตีกรุงเทพถ้าไทยไม่ให้เดินทัพผ่าน คิดว่าน่าจะเป็นเมกามากกว่าที่ทิ้งระเบิดโจมตีโรงงานผลิตเครื่องบินของเราไม่แน่ใจว่าตั้งอยู่ที่ไหนแต่อยู่ในกรุงเทพเนี่ยแหละ และอเมริกาโจมตีทุกอย่างในไทยที่เป็นปัจจัยช่วยเหลือญี่ปุ่นได้ สะพาน โรงไฟฟ้า รางรถไฟ ค่ายทหาร โดนโจมตีหมด แล้วโรงงานจะไปเหลืออะไรครับ ก่อนเมกาจะมาทิ้งระเบิด มันจะมีเครื่องบินลำใหญ่ มาบินทำวงกลม เหนือเป้าหมาย แล้วจะทิ้งใบปลิวเป็นภาษาไทย ให้คนไทยหนีออกจากบริเวณนั้น แล้วอีกไม่นานจะมีเครื่องบินทิ้งระเบิดบินมาโจมตีตามเครื่องหมายควันต่างๆครับ ปู่ผมเคยเล่าให้ฟัง เพราะช่วงนั้นปู่ยังเคยไปยืนดูเครื่องบินญี่ปุ่นยิงสู้กับเครื่องบินอเมริกาเลยครับ
ผมน่าจะใช้คำว่า ใน แทนคำว่า ตอน เน๊าะ ส่วนเรื่องโรงงานผลิตเครื่องบิน เอาเป็นว่ามีแล้วกันครับ สงสัยจะเป็นโรงงานที่เคยสร้างเครื่องบินบริพัฒน์มั๊งแล้ว กองทัพก็พัฒนาเครื่องบินเองเรื่อยๆสุดท้ายโรงงานแห่งนี้ก็โดนทิ้งระเบิดพังไป ส่วนเรื่องที่ตั้งจำไม่ได้จริงๆ เพราะอ่านมานานแล้วไม่มีใครรู้เลยหรอเนี่ย ช่วยมายืนยันหน่อย ถ้าไม่มีโรงงานทำเครื่องบินแล้วเครื่องบินมันจะออกมายังไง?
เออที่ถามว่า ทำไมไปซื้อ สปิตไฟต์มาจากพม่าใช่มั๊ย มีสปิตไฟต์ประมาณ5 เครื่องที่เราซื้อของเหลือใช้จากทหารอังกฤษในพม่าครับพอจบสงครามโลกครั้งที่สอง เราก็เลยขอซื้อเค้า อยากรู้รายละเอียดไปซื้อหนังสือ พลานุภาพอากาศยานไทย ของท่านท้าวอ่านครับ มีลายละเอียดเยอะแยะเลยครับ
ถ้าจะต้องไปศึกษาภาษาไทยเพิ่มเติมแล้วหละครับ
เราไปซื้อมาจากของมือสองเหลือใช้ในสงครามครับเราเคยซื้อเครื่อง สปิตไฟต์มาใช้จากพม่าด้วย>>>> แปลไทยเป็นหมายถึงซื้อจากพม่าเลยหรือเปล่าครับ เพราะไม่มีคำว่าอังกฤษเข้ามาเกี่ยวข้อง? เท่านี้แหละครับไม่อยากจับผิดให้มากกว่านี้ เดี๋ยวจะหาว่าจ้องจับผิด ทั้งๆมีมากเหลือเกิน ไม่นับรวมในอดีตที่อ้างว่าวุฒิภาวะยังไม่มีแต่ดันกล้าโพสในสิ่งที่รู้ไม่จริง จนข้อมูลคลาดเคลื่อน �ผมว่าใครหลายๆคนต่อให้วุฒิภาวะยังไมีหรือยังไม่ถึงตามที่คุณอ้าง ก็ไม่กล้าโพสหรอกครับ อายเปล่าๆเสียความน่าเชื่อถือไปหมด จนมาถึงในปัจจุบันก็ยังมีต่อ อย่างที่ผมได้บอกไปแล้ว พอเจอข้อมูลจริงๆที่สามชิกคนอื่นเอายืนยันเข้าไปคุณก็หนีหายไปโชว์พาวผิดๆถูกๆในกระทู้อื่นต่อ เสียดายrankinkนะครับ หมายถึงความน่าเชื่อถือนะครับที่ webmasterให้ครับ
ถ้าผมไม่กล้าโพส ผมจะรู้หรอครับว่าผมผิดตรงไหน แล้วเค้าจะเรียกว่าเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ทางการทหารหรอครับ อย่างงี้ก็ต้องเปลี่ยนชื่อเว็ปใหม่ว่า เพื่อศึกษาข้อมูลทางการทหารซะมากกว่า คนที่ไม่มีความรู้ ก็ไม่ต้องโพส เงียบไปซะให้คนรู้เค้าคุยกันอ่านอย่างเดียว แล้วอย่างงี้จะรู้มั๊ยล่ะครับว่าตัวเองได้ข้อมูลมาผิด แล้วจะมีกระทู้ไว้โต้ตอบกันทำไมไปหาอ่านตามบล็อคเอาซะยังดีกว่า ผมไม่ตั้งกระทู้ผมก็ไม่รู้ว่าข้อมูลที่ผมได้มามันผิด ในเมื่อมีคนแก้ข้อมูลให้แล้วผมรับทราบแล้ว แล้วจะให้ผมเสนอหน้าหาพระแสงอะไรอีกล่ะครับ ผมก็ขอบคุณไปแล้วผมอ่านแล้วผมรับทราบแล้วว่าข้อมูลผมผิด ผมก็จดจำข้อมูลที่มันถูกต้อง ที่ผมหายไปเพราะผมไม่ได้เถียงนี่ครับจะได้เสนอหน้ามาเม้นตอบ ผมรับทราบข้อมูลที่ถูกต้องแล้วผมจะโพสต่อทำไมล่ะ? เห้อเบื่อเซ็งสุดๆ
กล้าแสดงออก นะดีแล้ว
กล้ารับผิดนะดียิ่งขึ้นไปอีก
กล้าสอน ก็จะได้นักเรียนเก่ง
ติเพื่อก่อ ก็สุดยอด
ทำดีอย่าพึ่งท้อนะ
ถ้าอายจะไม่รู้วิชา
บ้าถูกเรื่อง ก็อาจเป็นนักวิทยาศาสตร์
ขอให้เป็นพี่เป็นน้องกันดีที่สุดนะครับทุกท่าน