สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 26 ต.ค.ว่า สหรัฐจะสร้างฐานทัพขนาดใหญ่ หรือซูเปอร์ฐานทัพ บนเกาะกวม ในภูมิภาคแปซิฟิก จุดประสงค์เพื่อยับยั้งการสั่งสมทางทหารของจีน โดยฐานทัพดังกล่าว จะมีมูลค่า 8,000 ล้านดอลลาร์ จะรวมทั้งการเป็นท่าจอดให้แก่เรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ สถานที่ฝึกยิงจรวด และระบบป้องกันภัยด้านกลาโหม และการขยายฐานทัพอากาศบนเกาะดังกล่าว ซึ่งจะนับเป็นการลงทุนใหญ่ที่สุดของกองทัพสหรัฐในภูมิภาคแปซิฟิก นับตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นโครงกาารใช้จ่ายใหญ่ที่สุดด้านกองทัพเรือในรอบหลายทศวรรษที่ผ่านมา
รายงานระบุว่า ที่ผ่านมา จีน ได้ขยายกองเรือในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มุ่งต้องการตอบโต้สหรัฐจากการแทรกแซงทางทหารต่อกรณีความขัดแย้งกับไต้หวันที่จีนอ้างสิทธิเป็นดินแดนของจีน รวมทั้งวางแผนจะสร้างแหล่งพลังงานในบริเวณทะเลจีนใต้ที่อุดมด้วยทรัพยากรแก๊สและน้ำมัน นอกจากนี้ ที่ผ่านมา จีนยังตั้งใจจะเสริมเขี้ยวเล็บด้านกองทัพเรือ โดยจีนเพิ่งได้เรือดำน้ำ และเรือพิฆาต ที่ผลิตจากรัสเซีย รวมทั้งการสร้างเรือพลังงานนิวเคลียร์ รวมทั้งมีรายงานว่า จีนกำลังวางแผนจะทดลองขีปนาวุธใหม่ หรือ"ดอง เฟ็ง21D"ซึ่งจะทำให้เรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐ ไร้ศักยภาพที่จะป้องกันด้วย
อันนี้ผมก๊อปเขามานะ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1288070439&grpid=03&catid=
จะเป็นสงครามเย็นรอบใหม่รึป่าวน้าเนี่ยย..
ต่อไปภูมิภาคนี้คงจะร้อนน่าดู
หาจาก Google
"กวม" เป็นเกาะเล็กๆ ที่อยู่ใต้การควบคุมของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก แม้จะมีขนาดกระจ้อยร่อย พื้นที่กินอาณาบริเวณแค่ 500 กว่าตารางกิโลเมตร ประชากรก็มีอยู่เพียงแสนคนเศษ แต่ถ้าวัดกันจากขุมพลังทาง "การทหาร" แล้วจะพบว่า ไม่ได้เล็กเหมือนกับขนาดของเกาะเลย!
สำนักข่าวอัลญาซีเราะห์ ระบุว่า นับตั้งแต่ยุคหลังเกิดเหตุช็อกโลก สมาชิกกลุ่มก่อการร้าย "อัล ไคด้า" ของนายโอซามา บิน ลาเดน ก่อวินาศกรรมโจมตีผืนแผ่นดินสหรัฐ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 ผสมผสานกับกระแสต่อต้านฐานทัพสหรัฐของ "คนท้องถิ่น" ในหลายชาติทั่วเอเชีย อาทิ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ กองทัพสหรัฐจึงค่อยๆ ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ทางทหารในภูมิภาค "เอเชีย-แปซิฟิก" ครั้งใหญ่ เพิ่มทั้งกำลังทหารและขนอาวุธไฮเทคน้อยใหญ่ เข้าไปประจำการในฐานทัพบนเกาะกวมอย่างต่อเนื่อง
ใช้งบประมาณไปแล้วหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ!
ในอดีตฐานทัพสหรัฐบนเกาะกวมถือเป็นจุดยุทธศาสตร์เพื่อการเติมเชื้อเพลิง "เครื่องจักรสงคราม" นานาชนิด ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญการทหารในสหรัฐประเมินว่า การโยกย้ายกำลังพลในอนาคตเพื่อให้กวมเป็นฐานที่มั่นสำคัญของกองทัพสหรัฐ ต้องใช้เงินสูงถึง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 4.5 แสนล้านบาท!
ยอดตัวเลขเกือบ 2 ใน 3 ของเงินก้อนนี้ จะต้องนำมาใช้ในการถอนเครื่องไม้เครื่องมือและทหาร 8,000 นายออกจากฐานสหรัฐบนเกาะโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งช่วงหลายปีที่ผ่านมามีชาวบ้านก่อม็อบชุมนุมขับไล่ทหารสหรัฐไม่ขาดสาย
ขณะเดียวกันสหรัฐยังต้องจัดเตรียมงบประมาณอีกมหาศาล เพื่อสนับสนุนการส่งบำรุงอาวุธ ยุทโธปกรณ์บนเกาะกวม อาทิ ฝูงบินขับไล่เอฟ-16 เครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดยักษ์รุ่นบี-52 ภายในปีหน้าทัพสหรัฐยังเตรียมส่งอาวุธไฮเทค หรืออาวุธล้ำสมัยอีกหลายชนิด เข้าประจำการยังเกาะกวม นั่นคือ เรือดำน้ำไทรเดนต์ ซึ่งสามารถยิงขีปนาวุธนำวิถีโทมาฮอว์ก เครื่องบินสอดแนมอัตโนมัติโกลบอลฮอว์ก รวมทั้งเครื่องบินขับไล่เอฟ-22 ทำให้กวมกลายเป็นฐานทัพทรงอานุภาพที่ชาติในภูมิภาคต้องจับตามองด้วยสายตาหวาดระแวง
วิเคราะห์กันว่า สาเหตุหลักที่ส่งผลให้กองทัพสหรัฐเร่งเสริมความแข็งแกร่งบนเกาะกวม ได้แก่
1.ความได้เปรียบด้านพื้นที่
2.เพื่อใช้เป็นจุดขับเคลื่อนยุทธการทำสงครามกับขบวนการก่อการร้าย ซึ่งฝังตัวอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย หรือแม้กระทั่งประเทศไทยก็ตาม
3.เพื่อรักษาอำนาจทางการทหารในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกให้มั่นคงยิ่งขึ้น พร้อมๆ กับเป็นการ "ปิดล้อม" แสนยานุภาพทางทหารของ 2 ชาติคอมมิวนิสต์ทางตอนเหนือของเกาะกวม อันได้แก่ เกาหลีเหนือ กับจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งนับวันยิ่งสำแดงเดชทาบรัศมีสหรัฐอย่างน่าวิตกขึ้นทุกขณะ
อย่างไรก็ตามแทนที่ชาวบ้านบนเกาะกวมจะรู้สึกอุ่นใจว่ามีกองกำลังพญาอินทรีอย่างสหรัฐเข้ามาดูแลคุ้มครอง แต่ผู้คนบางส่วนกลับเห็นว่า ยุทธศาสตร์นี้ไม่ต่างอะไรจากการ "ชักศึกเข้าบ้าน" เพราะจะทำให้เกาะกวมตกเป็นเป้าการโจมตีของกลุ่มก่อการร้ายอย่างชัดเจน นอกจากนั้นอาจยิ่งดึงให้ชาติกลุ่มเอเชียถูกภารกิจทางทหารของสหรัฐลากเข้าไปพัวพันจน "ตกหล่มสงคราม" เหมือนกับที่กำลังเกิดขึ้นในสมรภูมิอิรักและอัฟกานิสถาน
จนถึง ณ วันนี้แม้เวลาผ่านมาหลายปีแล้วแต่ยังไม่มีท่าทีจะจบสิ้นลงแต่อย่างใด!
ที่มา - ข่าวสด
คัดมาจาก http://www.marinerthai.com/forum/index.php?topic=1041.0
อันนี้เป็นข่าวของ
เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)
Doubts over Chinas wonder weapon By Jens Kastner and Wang Jyh-Perng 07/09/2010
แวดวงด้านความมั่นคงทั่วโลก กำลังถกเถียงกันให้แซดเกี่ยวกับขีปนาวุธ ตงเฟิง 21 ดี ของจีน ซึ่งเป็นขีปนาวุธนำวิถีชนิดแรกของโลก ที่มุ่งต่อต้านทำลายเรือรบของข้าศึก ด้วยอัตราความเร็วและพิสัยทำการที่ยาวไกลของขีปนาวุธดังกล่าวนี้ ทำให้มันมีสมรรถนะที่จะป้องปรามคุกคามเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐฯ ซึ่งกำลังแล่นอยู่ในน่านน้ำแถบแปซิฟิกตะวันตก เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วที่ไต้หวันจะต้องบังเกิดความกังวลมากเป็นพิเศษ ทว่าลงท้ายแล้วอาวุธมหัศจรรย์ ชนิดนี้ ก็อาจจะเป็นเพียงคำร่ำลืออย่างเกินเลย มากกว่าจะมีความเป็นจริงอันหนักแน่น
ส่วนรายละเอียดเข้าดูตามเว็บที่ ได้คัดลอกมาคับ โปรดใช้วิจารณะยานในการอ่าน
http://www.marinerthai.com/forum/index.php?topic=8617.0
บางท่านในที่นี้ได้เห็นมาบ้างแล้ว
ลอนดอน 28 ต.ค.-หนังสือพิมพ์เดลี่ เทเลกราฟ ออนไลน์ รายงานว่า สหรัฐทุ่มงบประมาณ 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 380,000 ล้านบาท) ขยายฐานทัพบนเกาะกวม กลางมหาสมุทรแปซิฟิก ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นอภิมหาฐานทัพ แผนการนี้ได้รวมถึงการสร้างท่าจอดเรือบรรทุกเครื่องบินขับเคลื่อนด้วยพลังงานนิวเคลียร์ ระบบป้องกันขีปนาวุธ สนามฝึกใช้กระสุนจริง และขยายฐานทัพอากาศ
รายงานแจ้งว่า นับเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดในการสร้างฐานทัพของสหรัฐในแปซิฟิกตะวันตก นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกทั้งเป็นการใช้เงินมากที่สุดในโครงสร้างพื้นฐานของกองทัพเรือในรอบหลายสิบปี
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่อยู่อาศัยบนเกาะกวม เกรงว่าการขยายฐานทัพอเมริกันจะทำลายระบบนิเวศน์และเศรษฐกิจของกวมที่พึ่งพารายได้จากธุรกิจท่องเที่ยว มีการคาดการณ์ว่าประชากรบนเกาะแห่งนี้จะเพิ่มขึ้นเกือบ 50% เมื่อการก่อสร้างถึงขีดสุด จากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 173,000 คน และคาดว่าในที่สุดแล้ว นาวิกโยธินสหรัฐ 19,000 คน จะย้ายจากเกาะโอกินาวามา อยู่ที่เกาะแห่งนี้ด้วย
การขยายฐานทัพสหรัฐบนเกาะกวม ถูกมองว่าเพื่อรับมือกับการขยายตัวของกองทัพเรือจีนที่เพิ่มขึ้นมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าแม้จีนขยายแสนยานุภาพเพิ่มขึ้นมาก แต่ก็ยังไม่มีความสามารถที่จะท้าทายความยิ่งใหญ่ของสหรัฐ ในแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดียได้
ขณะเดียวกัน มีรายงานว่าสหรัฐกำลังลงทุนเป็นเงินอีกเกือบ 60,000 ล้านบาท ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่เกาะดิเอโก การ์เซีย ในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งอยู่ห่างจากศรีลังกา ไปทางทิศใต้ 1,126 กิโลเมตร ทั้งนี้ ส่วนงานสำคัญที่ได้รับการปรับปรุงจะแล้วเสร็จในปี 2556 ทำให้สามารถเป็นอู่ซ่อมเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งสามารถบรรทุกขีปนาวุธครูซ ได้มากถึง 154 ลูก.-สำนักข่าวไทย
อ่านแล้ว ได้ใจความว่า ดาวเทียมตาสับปะรด ทั้งจีนและ สหรัฐทำงานหนักมาก
และราคาข้าวเหนียวคงแพงขึ้นแน่ๆ สงสัยต้องเอาก๊าซและน้ำมันแถวสแปรตลี่ย์ มาตุนไว้ก่อนดีกว่า หรือว่าจะเอาแถวเกาะกูด มาตุนแทนหนอ
ต้องขีดเส้นแผนที่ทางทะเลใหม่แล้วมั๊ง
วางแผนล่วงหน้ากันนานนะ แสดงว่าเรียนพานิช กันมาทั้งนั้น
มันก็พอๆๆกัน จีนก็พยายามขยายอำนาญ เมกาก็พยายามรักษาอำนาญของตัวเองกันทั่งนั้น