หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


ทหารไทย ทหารผี

โดยคุณ : RaRiS เมื่อวันที่ : 08/03/2011 17:24:21

ผมได้ยินเรื่องเล่า ทหารไทย ทหารผี ถึงขนาดว่า ยิงโดนจังๆๆ เเต่ยังลุกขึ้นวิ่งต่อได้  เป็นจริง หรือ เรื่องเล่าครับ

อยากขอความรู้จากพี่ๆๆหน่อยครับ





ความคิดเห็นที่ 1


1.ทหารทุกชาติสามารถโดนยิงแล้วลุกขึ้นวิ่งต่อได้   อยู่ที่โดนยิงที่จุดสำคัญหรือไม่ (ท่าไม่หัวขาดร่างไม่กระจายไปสะก่อน) และก็ความอดทน เพื่อที่จะอยู่รอด 

2.ตอนอยู่ประถมผมเคยได้ยินว่าในร่างกายของคนเรามันมี ต่อมอะไรไม่รู้อยู่ผมก็ลืมไปสะงั้นจำไม่ได้ เหมือนตอนที่บ้านเราไฟไหม้แล้วอยู่ดีๆ เราไปยกของหนักอย่างเช่นพวกตู้เย็น ตู้เสื้อผ้าอะไรแบบนี้อ่ะครับ พอตอนเราวิ่งอยู่ดีๆๆ แล้วโดนยิงมันคงเป็นความรู้สึกเดียวกับบ้านไฟไหม้นะ ผมว่า

โดยคุณ kok129 เมื่อวันที่ 05/03/2011 12:28:38


ความคิดเห็นที่ 2


  ตอบข้อ 2  ท่าน kok129   เขาเรียกว่า ต่อม อดรีนาลีน ครับ 

โดยคุณ TOP SECRET เมื่อวันที่ 05/03/2011 13:59:04


ความคิดเห็นที่ 3


ไม่อยากให้งมงายนะครับ

แต่จะว่าไปอวิชชา คาถา ต่าง ๆ แต่ก่อนนั้น ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ

โดยคุณ InFerNo เมื่อวันที่ 05/03/2011 14:03:35


ความคิดเห็นที่ 4


อดรีนาลีน (Adrenaline) เป็น ฮอร์โมน สร้างขึ้นจาก  ต่อมหมวกไต  ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมครับผม

โดยคุณ sab036 เมื่อวันที่ 05/03/2011 14:07:23


ความคิดเห็นที่ 5


เคยได้ยินมาเหมือนกัน สมัยบางระจัน หรือก่อนหน้านั้น ตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ที่จะมีเกี่ยวกับการศักยันต์ ทำให้หนังเหนียว ฟันแทงยิงไม่เข้า มาจนสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา ที่มีทหารชาวต่างชาติไม่รู้ว่าประเทศอะไรลืม ไม่แน่ใจว่าฝรั่งเศษ ได้ยิงทหารชาวไทย แต่ว่าทหารไทยก็ยัง ยืนและลุกขึ้นมาต่อกรกับทหารศัตรูต่อได้ เพราะอานุภาพของยันต์กันภัย ทหารศัตรูจึงเรียกทหารไทยว่าทหารผี เพราะยิงแล้วยังลุกขึ้นมาสู้ต่อได้

 

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เชื่ออย่างมงาย 

โดยคุณ Hydroscopp เมื่อวันที่ 05/03/2011 23:09:40


ความคิดเห็นที่ 6


ทหารไทย ในยุคสงคราอินโดจีน ได้แสดงให้ทหารฝรั่งเห็นปาฏิหาริย์ ในหลายสมรภูมิ

ตัวอย่างหนึ่ง ผมขอคัดบทความจาก ... อ.วารุณี พิทักษ์สินากร หนังสือพิมพ์ เสรีชัย L.A. USA มาเล่าสู่กันฟัง นะครับ
อยู่ยง..คงกระพัน โดย อ.วารุณี พิทักษ์สินากร


เวทมนตร์..คาถา การปลุกเสก อยู่ยงคงกระพัน เครื่องลางของขลัง มีมานานพร้อมๆกับความเชื่อเก่าๆของผู้เฒ่าผู้แก่ สมัยนี้ยังมีอยู่มาก เรามาดูกันว่าเขาใช้วิธีใดที่ทำให้อำนาจพุทธคุณหรือเครื่องลางของขลังต่างๆ ทำงานได้ ใครที่ไม่เคยเชื่อเรื่องอย่างนี้ยอมรับได้แล้ว



เพราะในอดีต จากเวทมนตร์คาถา เครื่องรางของขลังเคยกู้ชาติปกป้องบ้านเมืองมาแล้วจากสงครามอินโดจีนที่ กล่าวไปแล้ว ขอให้เปิดใจรับอย่างมงายเหมือนกบในกะลาครอบ การรู้ไว้บางทีอาจป้องกันตัวเองได้บ้าง


พิธีปลุกเสกระดับเซียนจากสี่หลวงพ่อดัง ที่ทำให้ชนะศึกอินโดจีนนั้น เกิดอะไรขึ้นขณะทำพิธี...ฟังแล้วขนลุกไม่รู้ล้ม ทำให้เป็นที่กล่าวขานกันต่อมาอีกนาน



ในสมัยสงครามเกาหลี ทหารไทยที่พกพระพิมพ์ของหลวงพ่อแฉ่งไม่ว่าปางใด พิมพ์เล็กหรือใหญ่ ต่างอยู่ยงคงกระพันรอดตายกันมาทุกคน รวมทั้งบรรดาอัศวินแหวนเพชร หรือพวกนายตำรวจในยุคนั้นต่างก็มีพระนางพญาของหลวงพ่อแฉ่งกันถ้วนทั่ว


ยุคนั้นบรรดาอัศวินต่างมีชื่อเสียงมาก โจรผู้ร้าย ทั้งในเขตนครบาลหรือภูธรหัวหดเงียบกริบ กับถูกฆ่าตัดตอนเก็บกันระนาวจากบรรดาอัศวินแหวนเพชรทั้งหลาย เป็นยุคที่ตำรวจเฟื่องมากๆ




พิธีปลุกเสกระดับชาติได้ทำกันที่วัดบวรนิเวศน์วิหาร โดยเริ่มพิธีตั้งแต่อาทิตย์เริ่มอัสดง จนถึงรุ่งอรุณของวันใหม่ เป็นพิธีที่ใหญ่โตมโหราฬยิ่งกว่าการปลุกเสกครั้งใดๆ ท่ามกลางเหล่าทหารหาญที่คอยป้องกันอยู่รอบนอก ไม่ให้ผู้ใดรบกวนสมาธิของเกจิอาจารย์ทั้งสี่ ภายในห้ามออกภายนอกห้ามเข้ากันทีเดียว



ภายในตัววัดเมื่อพลบค่ำจึงมีแต่ความวิเวกวังเวงของบรรยากาศ ทำให้ทหารทุกคนทั้งรอบนอกรอบในวัดตื่นตัวกลัวกันตลอดคืน ก็ใครเล่าจะกล้าหลับตานอนได้ในบรรยากาศเช่นนั้น
เหตุการณ์ปกติไปเรื่อยจนย่างเข้ารุ่งอรุณของวันใหม่ทุกคนที่อยู่ในพิธีต่าง สะดุ้งกันสุดตัวแล้วพยายามระงับความตื่นเต้น ประหลาดใจกับอะไรที่เกิดขึ้น กับเก็บสุ้มเสียงกันไว้อย่างมิดชิด


มีรายการขนลุกขนพองเห่อชาขึ้นมาตามแขนขาไปจรดต้นคอกันถ้วนทั่วอย่างช่วยไม่ ได้ระงับไม่อยู่ ที่ท่ามกลางความเงียบสงัดปราศจากแม้เสียงแมลงกลางคืนที่เงียบมาตลอดคืนแล้ว จู่ๆเกิด มีเสียงกรี๊ดร้องอย่างโหยหวลทำลายความวังเวง มาจากทุกสารทิศที่..ไม่ใช่เสียงเดียวเพศเดียวแต่หลายเสียง มันดังก้องเข้าไปในจิตวิญญานของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์


จากนั้นยังปรากฏร่างของวิญญาณ ที่มาทั้งในรูปผู้คน เงา มากมายนับไม่ได้เป็นร้อยเป็นพันบ้างเดินบ้างวิ่งบ้าง มีมาไม่ขาดสาย..ในบริเวณวัดพร้อมทั้งเสียงกรีดร้องนั้นยังดังอยู่อย่างต่อ เนื่อง กับยังปรากฏหมอกควันพวยพุ่งออกมารอบๆพระอุโบสถ ชวนให้พยานสายตาในที่นั้นหนาวเย็นวูบวาบไปถึงตับไตใส้พุงแม้จะเป็นเหล่าทหาร กล้าก็เถอะ


เหตุการณ์ที่เกิดระหว่างการปลุกเสกนี้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคนที่อยู่ บริเวณนั้น ให้เป็นที่โจษขานกันมาหลายยุคหลายสมัย คงไม่มีครั้งใดจะแรงและทรงพลานุภาพเท่าจวบจนยุคปัจุจบัน ไร้เทียมทานจริงๆ



การปลุกเสกใช้เวลา 12 ชั่วโมง โดยพระทั้งสี่รูปจะนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิมไม่ขยับเขยื้อนเป็นการรวมพลังจิต ให้มีอนุภาพที่แก่กล้าแล้วรวมเพ่งไปที่ผ้าประเจียดที่วางอยู่บนพานทอง เพื่อให้ได้ผลเต็มร้อย


หลังเสร็จพิธีหลวงพ่อทั้งสี่ จึงมอบผ้าประเจียดให้กับพลตรี หลวงเกรียงศักดิ์พิชิต เพื่อนำไปใช้ปกป้องทหารในสงครามต่อไป ก่อนนำออกแจกจ่าย ยังมีการทดลอง ความอยู่ยงคงกระพัน โดยการนำผ้าประเจียดไปลองยิงดู ซึ่งถ้าไม่ได้ผลหลวงพ่อทั้งสี่องค์ ท่านจะทำพิธีให้ใหม่ แต่ปรากฏว่างานแรกครั้งเดียวขลังทันใด..ใช้ได้ทันที



เครื่องลางของขลังจากการปลุกเสก ทำให้ทหารไทยชนะสงครามอินโดจีนกับถูกตราหน้าว่าเป็นทหารผี...อันนี้พิสูจน์ กันชัดๆอีกอย่างของคลื่นพลังจิตที่รวมกันเข้าจากเกจิอาจารย์ทั้งสี่



การผสมธาตุซึ่งจะประกอบเป็นเครื่องลางของขลังนั้น ต้องผสมให้ถูกต้องจึงจะใช้เป็นสื่อเพื่อบรรจุพลังปราณ(พลังจิต)ของผู้ปลุก เสกได้เต็มที่ หากธาตุผสมผิดส่วนพลังปราณจะลดหย่อนลง พลังนี้ท่านเปรียบเหมือนพลังแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งมีอยู่แล้วในทุกตัวคน


เราขอแนะนำให้ตรวจหาพลังนี้ได้เองจากการทำสมาธิ เมื่อเข้าถึงขั้นหนึ่งแล้วจะมีความรู้สึกว่ามีพลังบางอย่างวิ่งไปตามหน้าขา ไหล่แขน บางที่มาในรูปของความร้อนวิ่งไปทั่วร่าง ทางฮินดูเรียกว่า พลัง “คุณดาลินี” หรือพลังปราณนั่นเอง


หลักการใช้คลื่นหรือพลังจิตนี้ ผู้ที่จะทำเครื่องลางของขลังได้ต้องฝึกจิตจนถึงองค์ญาณสมาบัติเสียก่อน จิตจึงจะมีพลังงานแล้วสามารถรวบรวมพลังนี้บรรจุลงในสิ่งใดได้ พลังที่บรรจุนี้จะต้องแบ่งสายปราณให้ถูกต้องด้วยการใช้วิชาลึกลับอันเป็นต้น สูตร โดยเฉพาะเป็นแหล่งกำเหนิดให้เกิดพลังขึ้นได้อย่างหนึ่งเช่น ของขลังที่จะใช้เกี่ยวกับการป้องกันอันตรายใช้วิชา “เรยูกูระบัด”ประกอบกับวิชา “อิลละมู” หรือใช้วิชา “สังกะลัม” ประกอบกันสองอัน หรือจะใช้เพียงวิชาอิลละมู ประกอบเวทมนตร์ก็ได้ (ชื่อวิชาเหล่านี้เป็นของพวกโยคีสมัยเก่า) แต่ถ้าใครเรียนถึงวิชา เรยูกูระบัด หรือสังกะลัม เครื่องรางของขลังจะให้พลังงานสูง
ในสมัยสงครามอินโดจีน ในช่วงที่กำลังร้อนระอุ ทหารไทยถูกประนามว่า เป็นทหารผี...เพราะเหตุใดเรามาดูกัน กับใครอยู่เบื้องหลัง บทต่อจากนี้ ที่เกี่ยวข้องกันอย่างช่วยไม่ได้ คืออยู่ยง...คงกระพัน



ตอนนั้นทหารไทยมีหน้าที่ต้องบุกเข้ายึดเมืองศรีโสภณให้ได้ แต่ไม่ใช่ของง่ายเลยเพราะฝ่ายตรงข้าม คือทหารญวนกับทหารมอร็อคโคมีมากกว่า อุปกรณ์การฆ่าทันสมัยกว่าแน่นอนกำลังใจย่อมดีกว่า รวมถึงความจัดเจนในการเชือดการปาดคล่องตัวกว่าเรียกว่าเขี้ยวลากดินกันทุกคน เพราะเหตุนี้ ท.ทหารไทยจึงมองหาทางออก มองหาสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ คือความ..เหนียวแบบไร้เทียมทาน...หรืออยู่ยงคงกระพัน ดังนั้นวันบุกเข้าจู่โจมจึงเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น คือ


เมื่อวันที่ทหารไทยบุกเข้าศรีโสภนนั้น ทหารญวนกับมอร็อคโคต่างสาดกระสุนมาดุจห่าฝน แต่หาได้ระคายเคืองผิวทหารไทยอย่างไรไม่ ไม่ว่าจะยิง จะแทงฟันเชือด ปาด เด็ด ดึง..ทหารไทยอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดเลือดตกออกมาสักหยด ทหารต่างชาติเหล่านั้นไม่เคยเชื่อหรือรับรู้ในเรื่องวิชาอาคมเวทมนตร์คาถา ตอนนั้นรู้อย่างเดียวว่า ทหารไทยฆ่าไม่ตาย กับที่เหลือตัวใครตัวมัน หมดกำลังใจที่จะต่อสู้ยึดพื้นที่เอาไว้ได้ เพราะถูกฆ่าอยู่ฝ่ายเดียว เห็นไพร่พลล้มตายเกลื่อน จึงพากันทิ้งเมืองเอาตัวรอด งานนี้ทหารญวนกับมอร็อคโคถูกจับได้อย่างมากมายพร้อมทั้งอาวุธปืนเป็นจำนวน มาก



ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากอนุภาพ ของผ้าประเจียด ที่สี่หลวงพ่อทำการปลุกให้ไปแจกทหารที่ออกรบ ข่าวการชนะศึก ของทหารไทย ข่าวการยิงไม่เข้าแทงไม่เข้าไม่ระคายเคืองผิว กับการอยู่ยงคงกระพันของเหล่าทหารกล้า ทำให้สี่เซียนดังไปเจ๊ดย่านน้ำ หลวงพ่อทั้งสี่ได้แก่



หลวงพ่อ ชวน (โอภาสี)
หลวงพ่อแฉ่ง แห่งวัดบางพังจ
หลวงพ่อจาด
และหลวงพ่อจง แห่งวัดหน้าต่างนอก

(ผมcopyข้อมูลนี้ในเครื่องนานแล้วครับ อยากเอามาให้ลองอ่านดูแต่ผมจำไม่ได้ว่าเอามาจากเว็บไหนครับ ) 

 

 

โดยคุณ min_linkin เมื่อวันที่ 05/03/2011 23:50:20


ความคิดเห็นที่ 7


หลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา

หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก

หลวงพ่อคง วัดบางกระพ้อม

หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ

 

4เกจิแห่งยุคนั้น มาปลุกเสกผ้าประเจียดซะสอง

จะไม่แรงได้ไง

 

หลวงพ่อชวน หรือที่รู้จักในนาม หลวงพ่อโอภาสี (อาศรมบางมด)นั้น ท่านเป็นพระต้นแบบกัมมัฎฐานแบบเตโชกสิณ กล่าวว่า ท่านชอบเผาของเำพื่อฝึกพลังจิตของท่าน โยมบางคนถวายปัจจัยเป็นฟ่อนๆ ท่านจับเผาเกลี้ยง ......... โยมก็ใจหาย นึกว่าท่านบ้า ไปๆมาๆ เงินฟ่อนนั้นก็กลับไปอยู่ที่บ้านโยมคนนั้นเหมือนเดิม......แปลกดี

 

เรื่องพลังจิต อิทธิฤทธิ์ ปาฎิหารย์ พระพุทธเจ้าท่านยอมรับว่ามี แต่ท่านไม่สรรเสริญ เพราะว่าไม่ใช้ทางหลุดพ้น 

ตัวพระองค์เองแสดงอิทธฤทธิ์ในกรณีที่สำคัญๆ เช่น แสดงยมกปาฏิหารย์ ต่่อหน้าชาวกรุงสาวัตถี ก่อนเสด็จไปโปรดพุทธมารดาเป็นต้น

โดยคุณ icy_CMU เมื่อวันที่ 06/03/2011 08:52:33


ความคิดเห็นที่ 8


เรื่องวิชาอาคมอยู่ยงคงกระพัน คู่กับชาติ ไทยเรามานานแต่โบราณกาลแล้วครับ สมัยทำสงครามกับพม่า ในยุคของสมเด็จพระนารายมหาราช  ทหารเอกอย่าง พระยาศรีหราชเดโช ที่ถูกพม่ารุมล้อมฆ่า แต่ทหารพม่าเป็นพันเป็นหมื่นคนกับฆ่าทหารของพระยาศรีหราชเดโชไม่ตาย ทหารพม่าเป็นพันเป็นหมื่นไม่สามารถทำอันตรายทหารไทยแค่500 คนได้ซักคน กลับกัน ทหารพม่าต่างล้มตายเป็นใบไม้ร่วงจนทหารพม่าต้องล้อมจับและจับพระยาศรีหาราชเดโชคุมขังไว้ พร้อมกับทหารไทยคู่ใจทั้งหลายทั้ง500 นาย แต่สุดท้ายพระยาศรีหราชเดโชก็แก้มัดด้วยคาถาออกมาได้แล้วเข้าแย่งชิง อาวุธจากทหารพม่าและช่วยเหลือทหารทั้ง500 นายออกมาไล่ฆ่าฟันทหารพม่าจนทหารพม่าแตกพ่ายกระจายจนไม่เป็นท่า เป็นที่หวาดกลัวต่อทหารพม่าเป็นอย่างมากครับ พระยาศรีหราชเดโชได้เสกผ้าพยนต์มาต่อสุ้แทนตัวเองระหว่างทำการรบด้วยครับ

ป.ล.จากหนังสือ พงสาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหมอ บลัดเล

ในคราวสงครามอินโดจีน ก็จะปรากฏได้ยินเรื่องกองพันผีสิง ที่สยบทหารรับจ้างฝรั่งเศสชาวแอฟริกาที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยมและสยมทหารฝรั่งเศสและทหารลาวเขมรเวียดนามมาแล้ว ที่ขึ้นชื่อรือชาว่ายิงไม่ตาย ยิงแล้วลุกขึ้นมารบใหม่ได้ ทหารฝรั่งและทหารอินโดจีนที่ทำการรบกับทหารสยามหรือทหารไทยบอกว่ามองไปไม่เห็นเป็นทหารสยามแต่เห็นเป็นทหารใส่ชุดแดงวิ่งเข้ามาทำการรบด้วย ยิงไม่ตาย ยิงล้มแล้วก็ลุกขึ้นมาใหม่ จนเป็นที่หวาดกลัวของทหารฝรั่งเศสและทหารอินโดจีนอย่างมาก เพราะทหารสยามหรือทหารไทยยุคนั้นได้ สมเด็จอินโดจีน หรือ ที่รู้จักกันคือสมเด็จอินดินเจ็ดป่าช้า ไว้คุ้มครองตัว ปัจจุบันคงไม่มีเหลืออยู่แล้วเพราะผู้ที่ได้ครอบครองต่างเอาไปคืนวัดหมดเพราะครอบครองไม่ได้ เพราะถ้าวันพระวันไหนไม่ยอมทำบุญให้เค้า พวกเขาทั้งหลายจะมายืนล้อมรอบเตียงเลยครับ จนไม่มีคนครอบครองได้ครับ

โดยคุณ champ thai army เมื่อวันที่ 07/03/2011 01:07:37


ความคิดเห็นที่ 9


เห็นด้วยกับทุกท่านครับ แต่อยากจะขอเสริม  นิดนึง เมื่อครามก่อนจะเกิดอินโดจีน ในราวปี 2485 เป้นช่วงที่คาดการณ์ได้ไม่ยากว่าจะเกิดสงครามในช่วงนั้น บรรดาเกจิอาจารย์ส่วนใหญ่ในเวลานั้นสงสาร ชาวบ้านและทหารเป็นอย่างมาก เลยเดินสายปลุกเศกวัตถุมงคล เพื่อให้ทหารได้ป้องกันตัว จึงเกิด เกจินาม จาด จง คง อี๋ ที่เดินสายปลุกเศกวัตถุมงคลเป็นอย่างมาก (บางก็ว่า จาด จง คง จันทร์ (หลวงปู่จันทร์ วัดนางหนู)  รวมไปถึง พิธีปลุกเศก ใหญ่ๆ ทั้งที่เป้นทางการ ฉะนั้นวัตถุมงคลในช่วงนั้น จึงเยอะ หลายสายหลายสำนักไปหมดครับ บางวัดที่มีกรุ ก็จะเปิดกรุ แจกพระให้ทหารไว้ป้องกันตัว อย่างสมเด็จบึงพญาสุเรนทร์  และ พระพุทธบาทปิลันทร์ (อันนี้เคยอ่านเจอ) จึงไม่ทราบได้ว่าใครใช้ วัตถุมงคลอะไร ครับ แต่น่าจะมากกว่า 1 สำนักอย่างแน่นอน ครับ  เรื่องประสบการณ์ของวัตถุมงคล มีมาตั้งแต่มสมัยอยุทธยาแล้วครับ ทั้งที่มีการบันทึก คือ นายทองเหม็น แห่ง บางระจัน  ขุนรองปลัดชู  แห่งวิเศษชัยชาญ อย่างต้นยุครัตนโกสินทร์  ก็เรื่อง ของพระท่ามะปรางค์แห่งพิษณุโลก ที่ เงี้ยวญวณ ที่ยอมทิ้งปืนหนี ทหารไทยครับ และก็มายุคสงครามอินโดจีน ยุคทองของทหารผี และท้ายที่สุด สงครามเวียดนาม ที่ทหารอเมริกา สร้างเหรียญพระเครื่อง ให้กับ พระเกจิของไทย ท่านนึง คือหลวงพ่อมุม วัดประสาทร์เยอร์เหนือ เหรียญดังกล่าว เขียนว่า PAPAMUM  ที่นาวิกโยธิน อเมริกามาสร้างให้หลวงพ่อครับ น่าแปลกไหมครับ ที่ต่างชาติ ต่างสาสนา ต่างภาษาจะมานับถือ เกจิ ของเราครับ ส่วนตัวผมเชื่อเรื่อง พุทธคุณและสิ่งศักดิ์สิทร์ ครับแต่ไม่ได้งมงาย ด้วยหลักที่ว่า ของจริงมีน้อย ของปลอมมีเยอะ เรื่องเหล่านี้วิทยาศาสตรืยังพิสูจน์ไม่ได้ครับ เพราะเทคโนโลยียังไม่ถึง แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มี

โดยคุณ PIZZi เมื่อวันที่ 08/03/2011 06:24:19