หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


The use of nuclear weapons and paradox of deterrence By Photo Pds

โดยคุณ : photo pds เมื่อวันที่ : 09/03/2011 19:33:21

 

วันนี้ได้เขียนบทความมาฝากเพื่อนๆสมาชิกทุกคนนะครับ หลังจากไม่ได้ post อะไรมานานมากแล้วว เนื่องจากเรียนหนักมากก หวังว่าจะถูกใจบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ

Part I ( Introduction To Nuclear warfare )

อาวุธนิวเคลียถูกใช้คร้งแรกและครั้งเดียวคือในสงครามโลกครั้งที่ 2 การทิ้งระเบิดนิวเคลียใส่เมือง ฮิโรชิมา และ นางาซากิ นั้นช่วยให้อมริกาสามรถยุติสงครามโลกครั้งที่สองโดยไม่ต้องสูญเสียกำลังพลและยุทโธปกร์ในการบุกเกาะญี่ปุ่น ถึงกระนั้นแม้ว่าโลกจะเคยเผชิญกับความน่ากลัวและความสามรถของระเบิดนิวเคลียในสงครามโลกครั้งที่สองมาแล้ว แต่ถึงกระนั้น ระหว่างสงครามเย็นที่มี ที่เกิดสงครามย่อยๆทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น เวียดนามในปี 60 อาฟกานิสฐานในปี 80 และสงครามในตะวันออกกลางระหว่างชาติกาหรับกับอิสราเอลนั้น ประเทศที่ล้วนเข้าไปทำสงครามนั้นล้วนแล้วแต่มีตวามสามารถที่จะใช้นิวเคลียในการทำลายล้างศัตรูในสนามรบทั้งสิ้น แต่ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ไม่ทำให้เกิดชึ้นละ อืมมมมม น่าคิดนะครับบ

   หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองนั้น อเมริกามีอาวุธนิวเคลียไม่คลังอาวุธในปี 1946 เพียงเก้าลูก และเพิ่มเป็นสิบสามลูกในปี 1947 และห้าสิบลูกในปี 1948 เท่านั้น นอกจากอเมริกาแล้วยังไม่มีชาติอื่นที่มีความสามารถในการสร้างและใช้ระเบิดนิวเคลียจนกระทั่งปี1949 และตามมาด้วยชาติอื่นๆ อย่างเช่น อังกฤษ ฝรั่งเศษ เป็นต้น  แต่สิ่งที่เป็นปัญหามากกว่าการครอบครองอาวุธนิวเคลียนั้นคือความสามารถในการส่งระเบิดเหล่านี้เข้าสู่เป้าหมายได้อย่างไร

ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองนั้น อเมริการมีเพียงฝูงบินทิ้งระเบิดที่ 509 ที่มีเครื่องบินทิ่งระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่สองคือ B-29 จำนวน 27 ลำเท่านั้นมีดัดแปลกให้สามารถทำการบรรทุกอาวุธนิวเคลียได้ แต่ก็อีกนั่นแหละ ในเวลานั้น ต้องใช้คนทั้งหมดในกองบินเพื่อที่จะสามารถติดตั้งอาวุธให้แก่เครื่องบินทิ้งระเบิดสองเครื่องต่อหนึ่งวัน เนื่องมาจากความซับซ้อนของการยรรจุระเบิดเข้าสู่เครื่องบินที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อนใช้ระเบิดนิวเคลียตั้งแต่แรกซึ่งถือว่าใช้เวลานานมากกว่าปัจจุบันเป็นอย่างมาก ต่อมากองทัพอากาศสหรัฐก็ได้ เครื่องบินรุ่นใหม่เข้าประจำการแทนที่คือ B-36 Convair  ซึ่งมีสมรรถณะสูงกว่าเครื่องรุ่นเก่า แต่ถึงแม่ว่าสหรัฐจะมีความสามารถในการส่งระเบิดนิวเคลียแล้วนั้น แต่ด้วยระยะทางการบินของเครื่องเข้าไปในดินแดนของ อดีตสหภาพโซเวียตด้วยแล้วนั้น แทบจะไปไม่ถึงเป้าหมายเลยทีเดียว เนื่องจากขนาดของสหภาพโซเวียตนั้นใหญ่มากจนไม่อาจจะมีการโจมตีโดยเครื่องบินทิ้งระเบิดจากดินแดนสหรัฐอมเริกาได้ นอกเสียจากจะให้เครื่องบินขึ้นจากฐานใกล้พรมแดนของ สหภาพโซเวียตอย่างเช่น ตุรกี หรือ อิหร่านเป็นต้น

  เป้าหมายในการใช้อาวุธนิวเคลียในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและในช่วงต้นของสงครามเย็นและก็ยังเป็นมาจนถึงปัจจุบันก็ยังเป็นเป้าหมายทางพลเรือนเช่นเมือง มากกว่าเป้าหมายทางทหาร ถึงแม้ว่าในเวาลาต่อมาจะเป็นเป้าหมายทางทหารด้วย แต่กุญแจสำคัญในการใช้อาวุธนิวเคลียนั้นคือหยุดการรุกรานจากคอมมิวนิส แม้ว่าทั้งในสงครามเกาหลี เวียดนาม และอื่นๆนั้น อาวุธนิวเคลียกลับล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการเป็นป้องกันการรุกราน หรือการเกิดความขัดแย้งขึ้นในที่ต่างๆในโลกระหว่างสงครามเย็น หลักการด้านการเมืองและการทหารนั้นก็ยังเลือกที่จะใช้อาวุธนิวเคลียเป็นเครื่องมือในการทำลายกองทัพในสนามรบโดยเสี่ยงที่จะเกิดสงครามนิวเคลียแบบ เต็มรูปแบบขึ้นก็ตาม





ความคิดเห็นที่ 1


 

Part II ( Advancing Of Nuclear Weapons )

 หากดูจากแนวคิดในการใช้อาวุธในเคลียในสนามรบแล้วนั้น อย่างที่กล่าวในช่วงแรกว่าอาวุธนิวเคลียหากมองในด้านการใช้งานเพื่อให้ มีความสามารถในการป้องกันการโจมตีด้วยอาวุธแบบแกตินั้น ทำให้เกิดสองคำถามขึ้นในเวลานั้น โดยจะใช้ตัวอย่างของสหรัฐอเมริกาและ อดีตสหภาพโซเวียตเป็นตัวอย่าง

    ในมุมมองของโซเวียตนั้น พวกเขาจะทำอย่างไรหากอเมริกาใช้อาวุธนิวเคลียในการทำลายล้างสหภาพโซเวียจอย่างหมดจด และในมุมมองของ อเมริกานั้นพวกเขาจะทำลายโซเวียตทั้งประเทศได้อย่างไร คำถามเหล่านี้นำมาสู่การพัฒนาอย่างมหาศาลใน ความสามารถของอาวุธนิวเคลีย โดยแยกเป็นสองแนวทาง คือ หนึ่งความสามารถที่จะทำลายล้างได้มากกว่าเดิมในบริเวณที่กว้างขึ้นและ อีกอย่างคือประสิทธิภาพ ( efficiency ) ในการเดินตามความสามารถเหล่านี้นั้น อาวุธแบบใหม่ได้เกินขึ้นเพื่อสนองความต้องการในอำนาจการทำลายล้างที่มากขึ้น ซึ่งเป็นที่มากของระเบิดแบบ  ไฮโดรเจนนั้นเองครับ อันที่จริงและ ระเบิดไฮโดรเจนนั้นเป็นมากกว่าเการเพิ่มด้านปริมาณในการทำลายล้าง แต่เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพด้านคุณภาพอย่างมหาศาลด้วย ตามทฤษฦีแล้วนั้น อำนาจในการทำลายล้างของระเบิดนิวเคลียนั้นหนึ่งลูกสามารถทำให้เมืองขนาดใหญ่หนึ่งเมืองเป็นอำมภาตได้ เช่นเดียวกันนั้นระเบิดไฮโดรเจนนั้นในทางทฤษฦี ไม่มีขีดจำกัดในด้านขนาดและปริมาณ ทำให้อำนาจระเบิดไฮโดรเจนมากกว่าระเบิดแบบก่อนมาก

เหมือนระเบิดนิวเคลียปกติ ระเบิดไฮโดรเจนประสพปัญหาเช่นเดียวกับระเบิดรุ่นก่อนหน้านี้ คือความสามารถในการส่งระเบิดเข้าสู่เป้าหมายได้อย่างไรกัน ในระยะแรกนั้นมีเพียงระเบิดแบบ M-17 ขนาดยี่สิบเอ็ดตัน ซึ่งมีเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์แบบ B-36 เท่านั้นที่สมารถบรรทุกได้ แต่ไม่สามารถที่จะนำไปทิ้งระเบิดเข้าสู่เป้าหมายได้ เนื่องด้วยเป็นเครื่องบินใบพัดบินต่ำกว่าความเร็วของเสียง ซึ่งยากแก่การบุกทลวงน่านฟ้าของโซเวียตได้ และนอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรที่จะสามารถนำส่งระเบิดชนิดนี้จากคลังอาวุธในสหรัฐได้ นี่จึงเป็นที่มาของการพัฒนาด้านการนำส่งอาวุธอีกขั้นหนึ่ง โดยมีตัวเลือกสองทางเลือกคือ นำส่งโดยมีมนุษย์ควบคุมหรือว่าไม่มีมนุษย์นำส่ง ซึ่งต่อมาเป็นที่มาของเครื่องบินทิ้งระเบิดรุ่นใหม่อย่าง B-52 และเรือดำน้ำนิวเคลียติดตั้งขีปนาวุธข้ามทวีปนั่นเองครับ

ทีนี้เรามาดูด้านโวเวียตกันบ้าง โซเวียตเองก็รู้สึกถึงภัยคุกคามที่คาดว่าจะมาจากเครื่องบินท่งระเบิดของสหรัฐเช่นกัน แต่สิ่งที่โวเวียตทำนั้นกลับแตกต่างจากสิ่งที่สหรัฐทำ ถึงแม่ว่าโซเวียตจะเคยคิดที่จะสร้างเครื่องบินทิ้งระเบิดเช่นเดียวกับที่สหรัฐสร้างแต่ว่า ตัวโซเวียตเองมีปัญหาด้านภูมิศาสตร์เป็นปัจจัยหลักในการขวางกั้น มหาสมุทรทั้งสองแห่งแยก สหรัฐออกจากสหภาพโซเวียตอีกทั้งโซเวียตเองไม่มีฐานสำหรับเครื่องบินทิ้งระเบิดที่จะบินข้ามมหาสมุทร ถึงแม้ว่าจะสามารบินผ่านทางด้านขั่วโลกเหนือได้แต่โอกาสที่ เครื่องบินจะบินถึงเป้าหมายโดยไม่ถูกยิงตกก่อนนั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว จากเหตุผลข้างต้นทำให้โซเวียตนั้นกลับไปมองสิ่งที่ได้จากความปราชัยของกองทัพเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง จวรจ V-2 นั่นเองครับ เป็นแนวคิดหลังของโซเวียตที่จะส่งหัวรบนิวเคลียไปสู่ดินแดนของสหรัฐอเมริกา ความสำเร็จแรกคือ โซเวียตนับเป็นชาติแรกของโลกที่ส่งดามเทียมขึ้นไปบนอวกาศได้ เฉกเช่นเดียวกับนักบินอวกาศคนแรกของโลกเช่นเดียวกัน และหลังจากนั้นการพัฒนาด้านการทหารจากจรวจเหล่านี้คือ กำลังรบที่ติดตั้งขีปนาวุธข้ามทวีปทั่วดินแดนสหภาพโซเวียตนั่นเอง

  ความสำเร็จของโซเวียตในการส่งดามเทียมและมนุษย์อวกาศนั้น ทำให้สหรัฐเองต้องรีบพัฒนาด้านจรวจให้สามารถแข่งขันกับโซเวียตได้ แต่หนึ่งสิ่งที่มีความสำคัญมากกว่านั้นคือการที่ปัญหาที่เปลี่ยนแปลกจาก ความสามารถในการลำเลียงอาวุธเข้าสู่เป้าหมายเป็น ความสามารถในการ รับมือการโจมตีแบบประหลาดใจจากศัตรูได้อย่างไร

  SAC or Strategic Air command ของอเมริกาที่มีหน้าที่ควบคุมฝูงบินทิ้งระเบิดแบบทางยุทธศาสตร์ของกองทัพอากาศสหรัฐนั้นมี โอกาสที่จะถูกโจมตีอย่างไม่ทันรู้ตัวจาก ขีปนาวุธข้ามทวีปของโซเวียต หลักการในการทำงานจึงต้องเปลี่ยนไปโดยที่ ปกติแล้วเครื่องบินจะบินขึ้นก็ต่อเมื่อมีภัยคุกคามเท่านั้น แต่เมื่อเป็นการยากที่จะสามารถตรวจจับขีปนาวุธข้ามทวีปและสั่งการอย่างทันท่วงที ไปยังฝูงบินทิ้งระเบิดนั้น อาจจะสายเกินไปแล้ว สิ่งที่ทำได้ก็คือ เริ่มให้มีการบินของเครื่องบินทิ่งระเบิดทางยุทธศาสตร์แบบตลอด24ชั่วโมง และเร่งสั่งการให้กองกำลังที่เหลือบินขึ้นหากได้รับคำยืนยันถึงภัยคุกคาม ในส่วนของกองทัพเรือนั้น เรือดำน้ำติดขีปนาวุธข้ามทวีปจะทำการลาดตระเวณตลอด 365 ของทั้งปี เพื่อนที่จะเป็นหลักประกันหากเกิดการโจมตีจากสหภาพโซเวียต และกองกำลังทางทหารของสหรัฐถูกทำลายไปเกือบหมด เรือดำน้ำติดขีปนาวุธข้ามทวีปจึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในกองกำลังนิวเคลีย ของกองทัพสหรัฐก็ว่าได้ เนื่องจากเรือดำน้ำจะดำตลอดเวลา และจะกลับเข้าฝั่งเมื่อครบกำหนด ซึ่งยากแก่การที่จะถูกโจมตีจากข้าศึกเป็นอย่างมาก นอกจากนี้แล้ว กองทัพอากาศยังได้เริ่มโครงการขีปนาวุธข้ามทวีปของตนบนบกเองอีกด้วย โดยจรวจเหล่านี้จะบรรจุอยูาในฐานยิงที่ใีความสามารถในการทนแรงระเบิดนิวเคลียได้ นอกจากจะถูกยิงตรงๆ

   จะเห็นได้ว่าในช่วงของการพัฒนาอาวุธนิวเคลียนั้น อุปกรณ์และหลักการใหม่ๆได้ถูกนำมาใช้ในการป้องกันภัยคุกคามจากคู่ต่อสู่ถึงแม้ ว่าหลักการในการพัฒนากำลังรบทางนิวเคลียของทั้งสองประเทศอาจจะแตกต่างกันไปบ้าง แต่แนวคิดในการโจมตีหรือหลักการในการจะใช้อาวุธนิวเคลียก็ยังชัดเจนเหมือนเดิมครับ

 


โดยคุณ photo pds เมื่อวันที่ 08/03/2011 05:01:57


ความคิดเห็นที่ 2


พอดีผมอ่านหนังสือเกี่ยวกับการบุกอิรักของอเมริกา แล้วเกิดสงสัยเกี่ยวกับการใช้จรวด Patriot ในการยิงเพื่อทำลาย Scud ของ อิรัก คำถามคือว่า

 

หากว่ามีการยิง Nuclear จริง patriot สามารถที่จะสกัด หัวรบที่ติดกับจรวดได้หรือเปล่าครับ และหากว่าสามารถสกัดได้ ณ จุดที่สามารถสกัดได้

 

จะมีความรุนแรงของระเบิดมากเ้ท่ากับเมื่อ Nuclear กระทบเป้าหมายจริงๆหรือเปล่า

โดยคุณ kae99 เมื่อวันที่ 08/03/2011 08:26:27


ความคิดเห็นที่ 3


ได้ความรู้มากเลยครับ มีที่มาที่ไปอ่านสนุกดีครับ มีเรื่องอื่นอีกไหมครับจะรอติดตามอ่านครับผม

โดยคุณ juk เมื่อวันที่ 08/03/2011 21:34:03


ความคิดเห็นที่ 4


เรื่องนี้ยังเขียนไ่ม่จบนะครับ ยังไงก็รอติดตามกันต่อไป แล้วก็ช่วยกัน comment ได้นะครับ จะได้นำไปปรับปรุงงานเขียนครับ

ต่อมาก็เรื่องคำตอบนะครับ จริงๆแล้ว เวลา Partriot หรือจวรจแบบอื่นๆ ที่มีหน้าที่ทำลายจรวจที่ยิงเข้ามา ในที่นี้ก็คือ Scud แบบติดหัวรบนิวเคลีย  ถึงยังไงก็ตาม จรวจ Partriot หรือแบบอื่นๆ ได้ออกแบบมาให้เข้าทำลายบริเวณลำตัวจรวจครับเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มากที่สุดบนตัวจรวจ ต่อมาขอพูดถึงตัวหัวรบนะครับ ตัวหัวรบนั้นปกติแล้วจะมีอุปกรณ์นิรภัยป้องกันการเกิดระเบิดนอกกจากจะเข้าเป้าตามที่ได้กำหนดไว้ ในกรณีที่จรวจ scud ถูกยิงตก หัวรบก็จะไม่ระเบิดครับ ถ้าอุปกรณ์นิรภัยทำงานอยู่ แต่ถ้าหากอุปกรณ์นั้นไม่ทำงานหรือได้รับความเสียหายระหว่างจรวจถูกทำลาย ก็มีโอกาสที่จะเกิดระเบิดขึ้นเมื่อหัวรบกระทบพื้นหรือว่าระดับความสูงที่กำหนดไว้ครับ

โดยคุณ photo pds เมื่อวันที่ 09/03/2011 08:33:21