อย่างในหนัง Band of Brothers เห็นทหารอเมริกันยึดปืนพกลูเกอร์จากทหารเยอรมันที่โดนยิงตาย
เอาทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ของฮิตเลอร์ เกอริ่งหรือของคนอื่น ๆ แล้วเอาไปเป็นสมบัติส่วนตัวเอาไปฝากคนที่บ้าน โดยที่ผู้บัญชาการกองทัพพันธมิตรไม่ได้อนุญาต
แบบนี้ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์หรือครับ อย่างปืนนี่ ทำไมกองทัพอเมริกันไม่ยึดทหารของตนเองหรือรับฝากไว้ก่อน
สงสัยครับ
ถึงกองทัพสั่งห้ามทหารก็ทำอยู่แล้วครับ
เคยอ่าน หนังสือเขาบอกว่าทหารไทยที่รบในลาวนั้น
เวลาโดนโจมตีฐาน แล้วปืนจะหายไปพร้อมๆกันครับ ปืนพกนะ
เวลาเขามาเช็คคนที่ปืนหาย ทะเบียนปืนหายจะมีกันทุกคนครับ แนวหน้า ไม่ว่าอะไรแต่แนวหลังนี่สิหายได้ไงไม่รู้
แล้วเขาจะส่งมาให้ใหม่ ปืนพกสมัยนั้นจึงมีราคาถูกมาก M1911 นะครับ
แล้วเรื่องทหารอเมริกานี่เป็นธรรมดาครับ ไปรบต้องมีของที่ระลึกกับ ปู่ผมยังได้ซามูไรญี่ปุ่นมาเลย
เป็นผมก็เอาครับของที่เขาทื้งกันแล้ว ผมก็แอบเก็บไว้แน่ เป็นใครก็เอากันครับ
คนที่ไม่เอานี่คือ ที่บ้านมีแล้วหรือ ไม่สนใจเรื่องพวกนี้ประมาณนั้น
ก็คงเป็นธรรมเนียมไปแล้วล่ะครับ คู่สงครามต้องชดใช้ค่าเสียเวลามารบกันหน่อย ถึงจะสั่งห้ามแต่มันก็เป็นเพียงแค่ลมปาก ผบ.กองทัพเค้าก็เข้าใจ ไม่ได้ว่าอะไร มีเรื่องขึ้นก็ปฏิเสธไปไม่รู้ไม่เห็นก็จบ
ฟังดูอาจจะเห็นแก่ตัว แต่ก็ต้องเข้าใจคนจากบ้านเกิดเมืองนอนมาเสี่ยงตายบ้าง อิอิ
การปล้นสดมนี่ก็ทำกันมาตั้งแต่สมัยไวกิ้งแล้วนี่ครับ ไม่แปลกเท่าไหร่ แค่ไม่ค่าทาสก็ดีแค่ไหนแล้ว
ปกติครับ เหตุที่มันเกิดสงครามก็เพราะต้องการแย่งชิงเงินทองและทรัพยากรของอีกฝ่าย
ตอนเป็นผู้ชนะก็ได้ไป ตอนกลายเป็นผู้แ้พ้ก็ต้องโดนเหมือนกัน
ถ้าผมเป็นทหาร ที่ไปบุกเยอรมันแล้วไปเจอของที่มีค่าเงินหรือทองแท่งผมก็ส่งกลับไปหมดแหละครับ เอาไว้ใช่ตอนที่สงครามเราจบ จะได้มีตังใช้เยอะ คิดแบบคนโลบมาก
สมัยนี้ก็มีครับเห็นว่าพวกทหารรับจ้างจริงๆค่าจ้างก็ไม่ได้มากแต่เค้าให้พวกสินสงครามต่างหากที่ได้เยอะหน่อยไม่ใช่แค่ของทหารด้วยกันนะครับหมายถึงเอาของพลเรือนด้วยส่วนใหญ่จะเป็นแถวแอฟริกาคือปล้นเอาดื้อๆก็มี
ผู้ชนะสงครามย่อมทำอะไรก็ได้ และใส่ร้ายผู้แพ้อย่างไรก็ได้
หนังสงคราม ที่อเมริกัน สร้างขึ้นมา ให้พวกตนเองเป็นพระเอก ดูวิเศษมาก บ่อยครั้งที่ ฝ่ายพระเอกตาย สักคนเดียวเราคนดู จะมีการอาการเศร้าไปด้วย แต่ฝ่ายตรงข้ามตายเป็นสิบ เรากลับไม่สงสารแถมยังสมน้ำหน้า ทั้งๆ ที่ ชีวิต ๑ ชีวิต ก็คือคนเหมือนกัน
ชกชิงเอาทุกอย่างเมื่อชนะ เห็นได้จาก สงครามอิรักที่ต่างก็แบ่งปันบ่อน้ำมัน ฯลฯ
ล่องแจ้ง สมรภูมินรก ตอนที่ 4
ผมอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณเป็นครั้ง แรกในรอบครึ่งเดือน ท่ามกลางความแปลกประหลาดใจของบรรดาเพื่อนฝูงที่เคยเห็นผมเป็นศัตรูคู่อาฆาต กับน้ำฝนเมืองลาวมาก่อน ล่องแจ้งใช่ว่าจะขาดแคลนน้ำนะครับ ภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยภูเขาสูง น้ำฝนที่ไหลบ่าลงมาจากร่องน้ำ บนภูเขาทั้งสี่ด้านทำให้ปริมาณน้ำที่ใช้ในเมืองล่องแจ้ง มีอย่างเหลือเฟือ
แต่ ไอ้ความหนาว ที่หนาวอย่างเจ็บปวดกระดุกนี่ซีครับ มันเป็นอุปสรรคในการอาบน้ำอย่างมากทีเดียว ปรอทที่กองบัญชาการไม่เคยพ้นเลขสามขึ้นไปสักวัน
ที่พักของผมปลูกเป็น โรงสีขาวซีดๆสองชั้น ชั้นล่างเป็นคลังอุปกรณ์ทุกชนิด ที่จำเป็นสำหรับทหารรับจ้าง ไม่ว่าจะเป็นรองเท้า ผ้าห่ม เครื่องแบบ รวมไปจนกระทั่งมีดพกแบบโบวี่ และผ้ากันฝนแบบ ?ปันโจ?
สิ่งของเหล่านี้ จะมีโควต้าแจกให้กองพันทหารรับจ้างกองพันต่างๆปีละสองครั้ง แต่ก็กรณีฐานบัญชาการแตกก็สามารถที่จะจำหน่ายสิ่งของเหล่านั้นให้หายได้ และแน่นอนเหลือเกิน เมื่อสูยหายก้ต้องเบิกทดแทนกันวันยังค่ำ
อันนี้แหละครับ ที่เป็นช่องโหว่ให้เกิดคอร์รัปชั่นกันอย่างหน้าด้านที่สุด ผมปากหมาให้ฟังเสียเลย
ตาม ปกติกองพันทหารรับจ้าง จะมีกำลังพลประมาน 400-500 คน แบ่งออกเป็น หนึ่งหมวด บก.พัน หนึ่งหมวดอาวุธหนัก และอีกสามกองร้อย แทบทุกคนได้รับอาวุธ M-16 เป็นอาวุธประจำกาย นอกจากอาวุธหนักเหล่านั้น ก็จะได้รับแจกปืนพก .45 แทน
กอง พันทหารรับจ้างกองพันหนึ่งๆ ฝรั่งมีโควต้าปืนพก .45 ให้ถึง 20 กระบอก และปืนพกเหล่านี้ ฝรั่งมันจ่ายให้ตั้งแต่อยู่ในประเทศไทย ตอนที่ฝึกอยู่ค่ายกาญจนบุรีทีเดียว
ตัว ผบ.พันเองจะเป็นผู้พิจารณาว่า จะจ่ายปืนพกเหล่านี้ให้กับใครบ้าง
พอบางคนได้รับแจกปืนพกเรียบร้อยแล้ว ไม่เอาข้ามฝั่งลาวหรอกครับ เก็บซ่อนไว้อย่างเงียบเชียบ ณ บ้านพักนั่นเอง
คราว นี้ พอข้ามมาฝั่งลาว ก็รอจังหวะและโอกาส ตอนข้าสึกมันเข้าตีฐานปฏิบัติการฝ่ายเรา และเกิดบังเอิญมีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงๆ พอเหตุการณ์สงบ กองพันทหารรับจ้างก็รายงานการสูญเสียอาวุธเลยทีเดียว ตอนนี้ท่านผู้อ่าน จะพอเดาออกไหมครับว่า กองพันทหารรับจ้างเหล่านั้นจะจำหน่ายอาวุธอะไรก่อน
ก็ ปืนพก .45 สิครับ ห้อยอยู่ที่ซองหนังอย่างดี แถมติดกับเข็มขัดสนามอย่างแน่นหนา ทำไมถึงแจ้งหายทั้งหมดกองพันมิทราบ แต่นี่ก็เป็นทางหากิน ที่ฝรั่งมันเปิดช่องว่างเอาไว้ ทั้งๆที่พวกมันรู้ทั้งรู้ แต่ก็พูดไม่ออกครับ
แต่กองพันทหารรับจ้าง ส่วนหลังนี่สิครับ หน้าด้านเหลือทน ตามปกติกองพันทหารรับจ้างเมื่อไปถึงเมืองล่องแจ้ง ก่อนขึ้นสู่แนวรบ จะต้องแบ่งกำลังออกหนึ่งส่วน ทิ้งเอาไว้ ณ เมืองล่องแจ้ง เรียกว่า บก.ส่วนหลัง
พวกส่วนหลังเหล่านี้จะมีหน้าที่เกี่ยวกับการส่งกำลัง บำรุงทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นอาหาร กระสุนหรือแม้แต่กระทั่งจดหมายหรือพัสดุภัณท์ที่ส่งมาจากเมืองไทย จริงอยู่ถึงแม้งานจะหนัก แต่การเสี่ยงตายมีน้อยกว่ากันอย่างเทียบไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ทหารรับจ้างแทบทุกคนอยากจะอยู่ส่วนหลังกันทั้งนั้น
คราว นี้พอ บก.ส่วนหน้ารายงานการสูญเสียของปืนพกมายังส่วนหลัง พวก บก.ส่วนหลังก็จัดแจงเพิ่มยอดการสูญเสียของปืนพกเพิ่มเข้าไปด้วย ต่อจากนั้นก็นำเสนอ บก.ล่องแจ้ง เพื่อขอเบิกปืนพกมาทดแทนต่อไป
หน้า ด้านไหมล่ะครับ อยู่ส่วนหลังแท้ๆ ปืนพกเกิดหายไปพร้อมกับพวกบนแนวเสียนี่ อย่างว่านั่นแหละครับ ?เสือพรานเขาไม่ว่ากันหรอก? ทีใครทีมัน เงินพ่อเงินแม่ของเราเมื่อไหร่ มันของไอ้กันทั้งนั้น เรื่องทั้งเรื่อง ปืนพก .45 ก้เลยระบาดที่อุดร ในราคากระบอกละ 1,000 บาทเท่านั้น
ตาม ปกติ ฝอ.4 ซึ่งมยศทางทหารเพียงนายร้อยโทคือผู้มีอำนาจเด็ดขาดในการบังคับบัญชากอง บก.ส่วนหลัง มีสิทธิ์ที่จะดึงทหารรับจ้างคนใดคนหนึ่ง ลงมาทำงานที่ส่วนหลังได้ หรือแม้กระทั่งหน่วงเหนี่ยวพวกเจ็บป่วยที่ถูกเส้นเอาไว้นานๆก็ยังได้
แล้วอย่าง นี้ ทหารรับจ้างที่จะ ?อู้รบ? ก็ต้องยอมซูฮกอย่างช่วยไม่ได้ ใครมีส้นดี, เส้นแข็ง เจอะเจ้านายเก่าๆ ที่มีอำนาจวาสนาในกองบัญชาการล่องแจ้งก็เลยทำหนังสือขอตัวขาดจากกองพันทหาร รับจ้างไปเลยก็มี
ฝอ.4 บางคนก็โลภมาก เห็นทหารรับจ้างบ้านนอกที่แขวน ?พระ? ดีๆ มีราคาสูงๆก็ขอเอาดื้อๆ พร้อมกับตั้งสิ่งแลกเปลี่ยนเอาใว้ว่า จะช่วยเหลือให้ทำงานอยู่ บก.ส่วนหลัง
ไอ้ความกลัวนี่แหละครับ ก็จำยอมถอดพระที่เคารพบูชาให้เขาไปอย่างจำใจ
ผม ร่วมรบสงครามในประเทศลาวมาหลายปี จากทหารรับจ้างธรรมดา จนกระทั่งกลายมาเป็นล่าม เคยคลุกคลีกับพวกนี้มาอย่างใกล้ชิด เคยเห็นความทุกข์ยากในขณะที่กองพันขาดอาหาร หรือการเคลื่อนย้ายกองพันเข้าตีข้าสึกท่ามกลางพายุฝน ด้วยเสื้อผ้าเพียงชุดเดียวที่แห้งแล้วแห้งอีก ทหารรับจ้างบางคนทนไม่ไหวหรอกครับ บางครั้งเดินวันหนึ่งๆเกือบ 20 กม. ไหนจะต้องปีนภูเขาที่สูงชัน ไหนจะต้องลงหุบเขาที่อุดมไปด้วยตัวทากที่ดูดเลือดได้อย่างเจ็บแสบที่สุด
ไอ้ความยากลำบากเหล่านี้เอง ทำให้ทหารรับจ้างทุกคนพาลหาเหตุลงมา ?อู้รบ? ยังบก.ส่วนหลังเป็นอาจิณ
สาเหตุ ที่จะลงมาได้อย่างแน่นอนที่สุดก็คือ อ้างว่าเจ็บโน่นเจ็บนี่ แหกตาหมอประจำกองร้อยให้เซ็นต์ชื่อรับรองให้ ทหารเหล่านั้นก็สามารถนั่งชอปเปอร์ลงมาป่วยที่โรงพยาบาลล่องแจ้งได้อย่าง สบาย
พูดถึงโรงพยาบาล ผมมีเรื่องขำแยะทีเดียวครับ ปกติหมอโรงยาบาลล่องแจ้ง จะเป็นผู้มีอำนาจเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นเรียกว่าจะอนุมัติให้ใครไป ป่วยอุดรก็ได้ ถ้าสมเหตุสมผลจริงๆ
หมอใหญ่ที่ผมกำลังจะเขียนถึงในขณะ นี้ ชื่อเสียงของท่านเลื่องลือไปทั่ววงการทหารรับจ้างในสมรภูมิลาว อย่าเพิ่งเดานะครับว่า หมอใหญ่ผู้นี้ เป็นผู้ที่มีความเก่งกล้าในการรักษาอย่างยอดเยี่ยม ผิดถนัดครับ ความบ้าๆบอๆ และความเป็นคนตรงของคุณหมอ ?ชลกร? ต่างหากล่ะครับ ที่ทำให้คุณหมอผู้นี้โด่งดังอยู่ในกองบัญชาการเสือพราน
คราวแรก ผมยังไม่รู้จักกับหมอชลกรหรอกครับ แต่แล้วในวันหนึ่ง ในขณะที่หมอนอนคุยกับพนักงานวิทยุ ที่บังเอิญเปิดเครื่องแสตนบายด์ทิ้งเอาไว้ ก็ได้ยินหมอประจำกองร้อยของกองพัน 604 ส่งวิทยุขอชอปเปอร์ขึ้นไปรับทหารที่ใด้รับอุบัติเหตุจากปืนที่หน้าท้องจน เครื่องเพศห้อยร่องแร่ง ลำไส้ไหญ่ไหลลงมากองที่พื้น แต่ทหารคนนี้ก็ทนทายาทไม่ยอมสิ้นใจเอาง่ายๆ
ขณะนั้นเป็นเวลาประมาน 21.30 น. ชอปเปอร์ก็หมดเวลาทำงาน บินกลับอุดรจนหมดสิ้น ทาง บก.ล่องแจ้งไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร ก็พอดีพระเอกของเรื่องนี้ก็ขี่ม้าขาวเข้ามาช่วยได้ทันเวลาพอดี
?นั่นหมอประจำกองร้อยพุดใช่ไหม นี่อั๊วชลกรหมอใหญ่?
เสียงหมอชลกรส่งวิทยุขึ้นไปบนแนว พร้อมกับถามอาการของผู้บาดเจ็บด้วยน้ำเสียงที่เอาจริงเอาจัง
?ใช่ครับ อาการของคนเจ็บหนักมาก อาจจะรอด ถ้าได้รับการรักษาพยาบาลทันท่วงที?
เสียงหมอประจำกองร้อยส่งข่าวลงมา
?แล้วลื้อพยาบาลขั้นแรกกับคนเจ็บอย่างไร ไหนลองอธิบายให้อั๊วฟังซอ?
คุณหมอชลกรย้อนถามขึ้นไปอีก
?ผมฉีดมอร์ฟีนให้คนเจ็บ 1 เข็มแล้วครับ พร้อมกับเอาไส้ยัดกลับเข้าไว้ที่เดิม?
?เฮ้ย ลื้อจะบ้าหรือยังไงวะ รีบเอาไส้ออกมาอย่างเดิม พยายามเอาน้ำราดไว้ อย่าให้ไส้แห้งเป็นอันขาด?
เกิด มาผมก็เพิ่งเคยได้ยินการรักษาคนเจ็บทางวิทยุกันในวันนี้เองแหละครับ ต่อจากนั้นคุณหมอชลกรก็เอ็ดตะโรดุด่าพลพยาบาลประจำกองร้อยของกองพัน 604 ไปตามเรื่องตามราว เวลาผ่านไป 2-3 นาที คุณหมอชลากรย้อนถามขึ้นไปอีก
?เรียบร้อยแล้วใช่ไหม? พยาบาล ลื้อทำตามคำสั่งของอั๊วแล้วใช่ไหม? คนไข้อาการดีขึ้นหรือยัง??
?ครับ เรียบร้อยแล้วครับ ผมทำตามคำสั่งของคุณหมอทุกประการ คนไข้-เรียบร้อยแล้วครับ?
?อะไรว่ะ เรียบร้อย ลื้อหมายความว่าอย่างไร?
หมอชลกรตะโกนสวนขึ้นไปด้วยความโมโห
?คนไข้ตายเรียบร้อยแล้วครับ ขาดใจตอนผมเอาไส้ออกมานั่นแหละ?
เสียงพยาบาลตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงพอๆกัน
มีเสียงหัวเราะเกรียวกราวออกมาจากลำโพงวิทยุพร้อมกับมีเสียงตะโกนขึ้นมาลอยๆว่า
?ไอ้หมอเฮงซวย?
เล่นเอาทั้งผมและเพื่อนๆที่นอนฟัง ?มวยตู้? หัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง
ยังครับ ยังไม่หมด พฤติการณ์บ้าๆบอๆ ของหมอชลกรยังมีอีกมากมาย ท่านผู้อ่านลองมาดูวิธีตรวจร่างกายของหมอชลกรดูบ้างสิครับ
ผม บังเอิญต้องมีธุระจะต้องขึ้นไปขอยา ?เตตร้า? จากหมอชลกร ทั้งๆที่รู้กิตติศัพท์เป็นอย่างดี ผมก็จำเป็นต้องไปเพราะ ?เครื่องเยี่ยว? ของผม กำลังขัดลำกล้องเข้าทุกที ขืนปล่อยไว้ ?คุณสนอง? รับประทานผมอย่างแน่ๆ ก็เห็นทหารรับจ้าง 4-5 คนยืนถอดเสื้อเป็นแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่ง คุณหมอชลกรเอาเครื่องตรวจแบบหูฟังขึ้นไปสวมเอาไว้ที่หูทั้งสองข้าง ใช้มือขวาหยิบปลายหูฟังขึ้นจิ้มลงบนหน้าอกทหารรับจ้างคนแรก จิ้มไม่จิ้มเปล่า แถมแหกปากร้องเพลงมาร์ชทหารอากาศคลอไปด้วยอย่างมีความสุข
มือ ที่ถือหูฟังก็จิ้มหน้าอกอย่างมีจังหวะจะโคน ผมไม่กล้าขึ้นไปบนโรงพยาบาลหรอกครับ นั่งหัวเราะน้ำหูน้ำตาไหลกับเพื่อนๆอยู่ที่บันไดนั่นเอง
พอเพลง ?วันนี้เราอยู่ดูโลกกันให้โสภิณ? ของคุณหมอชลกรจบลง คุณหมอก็ยกเท้าขึ้นเตะก้นคนป่วยคนละที แจกยาคนละ2 ? 3 ชุด บอกว่าเป็นยาแก้ขี้เกียจ พร้อมกับไล่ลงจากโรงพยาบาลทันที
นี่แหละครับคืออาวุธลับของ บก.ล่องแจ้ง นักรบรับจ้างจะหาโอกาสให้หมอชลกรเซ็นซื่ออนุมัติให้ไปป่วยที่อุดรเห็นจะหายากเต็มที
แต่ ก็มีอยู่จังหวะหนึ่งเหมือนกันครับ ที่หมอชลกรยอมเซ็นต์ให้ไปอุดรโดยไม่ยอมตรวจร่าง ก็อีตอนที่ข้าศึกยิงปืนใหญ่หรือจรวดเข้าใส่เมืองล่องแจ้งสิครับ คุณหมอชลกรจะกระโจนเข้าไปนั่งปลุกพระอยู่ในหลุมหลบภัย คราวนี้พวกทหารรับจ้างนกรู้ทั้งหลายก็ถือใบรับรองแพทย์วิ่งตามก้นคุณหมอเป็น ทิวแถว สำเร็จครับ คุณหมอรีบเซ็นต์ให้อย่างง่ายดายทีเดียว
ผมปล่อยก๊า กออกมาคนเดียว ขณะที่นั่งอยู่บนรถจิ๊ปที่พลขับชาวแม้วกำลังพยายามมุ่งหน้าไปตลาดล่องแจ้ง ?ไอ้หน้าลิง? พลขับหันมามองหน้าผมอย่างแปลกใจ พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า
?นายภาษาขำอีหยังครับ หัวอยู่ได้แต่ผู้เดียว? (ล่ามขำอะไรหรือครับ หัวเราะอยู่เพียงคนเดียว)
?อั๊วนั่งคิดเพลินถึงหมอชลกรว่ะ เลยอดขำไม่ได้ ลื้อรู้จักหมอชลกรหรือเปล่าวะ ไอ้ลิง?
ผมย้อนถามเจ้าพลขับชาวแม้วไปอีก
?ทำไมบ่ฮู้จัก บักหมอบ้า หำผมเป็นแผล ไปขอยา มันจะเอามีดตัดหำผมท่าเดียว?
ผมเลยได้หัวเราะอีกก๊ากใหญ่ในคำพุดแบบตรงไปตรงมา ของเจ้าพลขับแม้ว ที่บ้าๆบอๆพอๆกับคุณหมอชลกร
เกือบ จะถึงเวลาที่ผมนัดหมายกับเจ้าสไปร๊ทแล้วครับ แต่ผมเห็นว่ายังมีเวลาเหลือเฟือก็เลยแวะไปที่ตลาด หาซื้อน้ำหอมฝรั่งเศษยี่ห้อ ?โตป๊าส? ที่บัวคำสั่งนักสั่งหนาว่าจะมาเยี่ยมครั้งต่อไปช่วยซื้อมาฝากให้เธอด้วย
ใน ขณะที่ผมกำลังสาละวนเลือกซื้อ น้ำหอมยี่ห้อ ?โตป๊าส? อยู่นั่นเอง ประสาทหูได้ยินเสียงวี้ดๆ จึงหันกลับไปมองดูบริเวณสนามบิน มีเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวตรงบริเวณหัวสนามบินพร้อมๆกับควันสีขาวลอย พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ในขณะที่ควันยังไม่ทันจาง ก็มีเสียงวี้ดยาวแทรกขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ผมพุ่งพรวดเดียวหมอบติดกับพื้นดิน โดยไม่คำนึงว่าชุดเอี่ยมอ่องของผมจะเป็นเช่นไร
เสียงระเบิดดัง แน่นกว่าครั้งแรก ผมยังเดาไม่ออกว่าจะเป็นลูกปืนใหญ่หรือจรวดกันแน่ แต่ที่แน่ๆตำบลกระสุนตกของมันใกล้คลังแสงที่บริเวณสนามบินเข้ามาทุกที
?นายภาษา สนามบินโดนโจมตีแล้วครับ กลับ บก.เถอะครับ?
พลขับชาวแม้วละล่ำละลักพร้อมกับฉุดไม้ฉุดมือจะให้ผมขึ้นไปบนรถจิ๊ปให้จงได้
ผม ก็เลยตัดสินใจกระโดดขึ้นรถจิ๊ป แต่ไม่ลืมที่จะคว้าเอาห่อน้ำหอมขึ้นไปด้วย รถจิ๊ปของผมพุ่งปราดออกมานอกถนนใหญ่บริเวณทางเข้าสนามบินก็บังเอิญมองเห็น เจ้าสไปร้ทวิ่งกระเร่อกระร่าอยู่ในกลุ่มคนงานที่กำลังเตรียมตัวจะกลับอุดรใน เย็นวันนั้นด้วย ?เฮ้ย จอดรับเพื่อนอั๊วหน่อย?
ผมตะโกนแข่งกับเสียง ระเบิดที่กำลังคำรามกึกก้อง ทันใจดีเหลือเกินครับ เจ้าพลขับแม้วกระแทกเบรคเต็มที่ ล้อทั้งสี่ของจิ๊ปเล็กครูดไปกับพื้นถนน ผมหันหลังกลับไปดู เห็นเจ้าสไปร๊ทกำลังใช้ฝีเท้าน้องๆ นักกีฬาโอลิมปิคห้อกวดรถผมจนตัวโก่ง ก็เลยถอยหลังกลับไปรับ พามุ่งหน้าเข้าไป บก.ล่องแจ้งอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากขณะนั้น เป็นเวลาประมาน 17.00 น. บรรดาคนงาน A.C.S. และเจ้าหน้าที่ต่างๆ ที่ทำงานอยู่ที่ล่องแจ้ง ต่างก็กำลังเตรียมตัวจะกลับอุดรโดยเครื่องบินลำเลียงของแอร์อเมริกา ทุกคนจึงออกันแน่นที่ ?เม็นแล้ม? เดชะบุญที่ลูกปืนใหญ่ลูกแรกของมันไม่ตกลงกลางกลุ่มคนเหล่านั้น จึงรอดตายไปอย่างหวุดหวิดที่สุด ต่อจากนั้นก็ตัวใครตัวมัน แตกกลุ่มออกวิ่งเผ่นกันป่าราบหาที่กำบังไปตามมีตามเกิด
?สิงหะ จากลอนดอน เปลี่ยน?
พนักงาน วิทยุของกองพันที่ 618 ซึ่งตั้งฐานปฏิบัติการอยู่บนเนินสกายไลน์ ทางด้านตรงข้ามกับหัวสนามบินเรียกขาน บก.ล่องแจ้ง พร้อมกับรายงานข่าวต่อไปอีก
?ลูกปืนใหญ่ของข้าศึกข้ามฐานปฏิบัติการ ของลอนดอนลงไปเบื้องล่าง คาดว่ายิงมาทางสนามบินถ้ำตำลึง ขณะนี้กำลังตรวจการณ์ที่ตั้งปืนของพวกมันอยู่ครับ?
?ลอนดอน จากสิงหะ ตรวจการณ์โดยเร็วที่สุดพร้อมกับแจ้งพิกัดที่แน่นอนมาด้วย?
?โอเคครับ ปืนใหญ่ของข้าศึกอยู่ ณ บริเวณ ?ภูผาไซ? คาดว่าเป้นปืนใหญ่ขนาด 130 ม.ม. ของรัสเซีย?
?จบกัน?
?เทพ? อุทาน พร้อมกับเอ่ยต่อไปว่า
?ระยะทางเกือบ 20 กิโลเมตร เราจะเอาปืนอะไรไปดวลกับพวกมัน ให้ทางเบาวเดอร์คอนโทรลขอเครื่องบินจากอุดรมาทำงานด่วนก็แล้วกัน?
?ท่าน ครับ ผมสังเกตุเห็นตำบลกระสุนตกของกระสุนปืนใหญ่เลื่อนเข้าหาบริเวณคลังแสงของ ฝ่ายเราเข้าไปทุกที ผมคิดว่าให้หน่วยลาดตระเวณของเราค้นหา ตรวจการหน้า ของมันดีกว่าครับ มันจะต้องซุกซ่อนปรับทางปืนให้แก่พวกมันอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งใกล้ๆเป้าหมายของมันนี่เอง?
ชัยฤทธิ์ นายทหารเสนาธิการผู้หนึ่งเสนอความคิดขึ้นมา
?ลื้อ ออกคำสั่งทางโทรศัพท์ให้หน่วยป้องกัน บก.ล่องแจ้งออกค้นหาเดี๋ยวนี้ อย่าใช้วิทยุเป็นอันขาด อั๊วคาดว่าข้าศึกจะต้องดักฟังข่าวคราวการเคลื่อนไหวของพวกเราอยู่ตลอดเวลา?
?เทพ? หัวหน้าเสนาธิการเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินกลับไปกลับมาด้วยท่าทางที่อึดอัดใจต่อสถานะการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
?ท่นนายพลวังเปาก็ยังไม่กลับจากอุดร สงสัยว่าคืนนี้ล่องแจ้งจะถูกทหารของมันเข้าโจมตีเสียละกระมัง
?เทพ? พึมพำออกมาอีก ก่อนที่จะเดินกลับไปในห้องยุทธการเพื่ออกคำสั่งเพิ่มการระมัดระวังล่องแจ้งเต็มอัตราศึกต่อไป
ลองอ่านตอนนี้ดูครับ
ล่องแจ้ง สมรภูมินรก ตอนที่ 5
เสียงครวญครางเหมือนเปรตทวงวิญญาณของ หางนำทิศ เมื่อเวลามันแหวกอากาศของลูกปืนใหญ่ขนาด 130 มม. เย็นเฉียบบาดจิตบาดใจเข้าไปในสมอง สิ้นเสียงครวญครางของมันครั้งใด จะต้องมีเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวติดตามมาด้วยทุกครั้ง
เสียง...แว้ ด...กรั้ม...แว้ด...กรั้ม ดังติดต่อกันเป็นระยะด้วยจังหวะที่ต่อเนื่องกันโดยไม่หยุดยั้ง เป็นที่น่าสังเกตุว่าตำบลกระสุนตกเลื่อนจากจุดเดิมเข้าหาคลังแสงที่อยู่ เกือบท้ายสนามบินเข้าไปทุกที บางครั้งแนวการยิงของมันก็ข้ามฝั่งสนามบินเฉียดลานจอด (เม็นแล้ม) พุ่งดิ่งเข้าหาหมู่บ้านชาวแม้วที่สร้างอย่างง่ายๆ ด้วยไม้ไผ่แตะ หลังคาติดกันเป็นพืด
มันจะมีอะไรเหลือละครับ เศษดิน เศษไม้ กระเด็นปลิวว่อน หมู่บ้านกว่า 20 หลังคาเรือนหายวับไปกับตา เหมือนกับโดนพายุหมุน สะเก็ดระเบิดกระเด็นมา ตกบนหลังคาห้องอาหารของ บก.ล่องแจ้ง ดังกราวใหญ่
หีบห่อกระสุน ไม่ว่าจะเป็นลูกปืนใหญ่ขนาด 105 มม. หรือว่า 155 มม. ลูกระเบิดมือ ลูกปืนครกที่เพิ่งส่งมาจากอุดรหลายร้อยหีบ ซึ่งแพ็คเอาไว้ บริเวณ “เม็นแล้ม” เพื่อรอเวลาที่จะขนขึ้นแนวในเช้าวันรุ่งขึ้น มีหวังถูกระเบิดจากอำนาจการยิงที่รุนแรงของข้าศึกอย่างแน่นอน
ไม่มี ใครออกคำสั่งให้ขนย้าย วัตถุระเบิดเหล่านั้นหรอกครับ แม้แต่ตัวฝรั่งเองก็เผ่นจนป่าราบ ส่งวิทยุเข้าสนามบินอุดร ขอชอปเปอร์มารับอย่างปัจจุบันทันด่วน
ชั่วเพียง 30 นาที ชอปเปอร์ที่จอดแสตนด์บายอยู่ในสนามบินนาซู ก็บินดิ่งมารับพวกฝรั่งเหล่านั้นหลบออกไปจากเมืองล่องแจ้งอย่างรวดเร็ว
เห็น ไหมครับ เมื่อยามมีภัย ไอ้กันมันก็หนีเอาตัวรอดอย่างหน้าด้านที่สุด ปล่ยให้พวกรับจ้างรบที่ชีวิตไม่ค่อยจะมีค่างวดอะไร อยู่เสี่ยงอันตรายต่อไปและต่อไปท่ามกลางกระสุนปืนใหญ่ของพวกเวียตนามเหนือ อย่างชนิดตัวใครตัวมัน
แม้กระทั่งนายของผมเองก็ตามที มิสเตอร์ “นอร์แมน” ยอดเสนาธิการของซี.ไอ.เอ. ก็ดันตาลีตาเหลือก เผ่นหนีไปกับเขาด้วย ปล่อยให้ฝรั่งกระจอกๆ 2-3 คน คอยอยู่รับหน้าพอเป็นพิธีเท่านั้น และก็พวกฝรั่งกระจอกๆเหล่านั้น ช่วยอะไรพวกเราไม่ได้หรอกครับ วิธีเดียวที่พวกมันกระทำได้ก็คือ ออกคำสั่งให้เรากินเงินดอลล่าร์ของพวกมัน ปฏิบัติงานแทนเท่านั้นเอง
แต่ขอโทษที ขณะนี้หมดเวลางานเสียแล้ว คำสั่งของพวกมันก็ไร้ความหมาย พวกผมเป็นทหารรับจ้าง เงินมาซีครับ ถ้าโอเวอร์ไทม์สูง พวกผมไม่เคยเกี่ยงสักครั้ง
ผมและเพื่อนๆ สามสี่คน หมอบนิ่งอยู่หลังกระสอบทราย บริเวณ บก.ล่องแจ้ง ที่ตรวจการณ์เห็นสนามบินได้ชัดที่สุด อดที่จะเป็นห่วงหีบกระสุนและวัตถุระเบิดนานาชนิดที่วางระเกะระกะอยู่ที่เม็น แล้มไม่ได้ เวลาผ่านไปรวดเร็วเหมือนติดปีกบิน จนกระทั่งพลบคำ การระดมยิงของพวกมันก็ไม่หยุดยั้ง บางครั้งลูกปืนของมันก้เพ่นพ่าน เข้าไปตกในบริเวณใจกลางเมืองล่องแจ้ง ซึ่งขณะนี้ กลายเป็นเมืองร้างไปเสียแล้วอย่างสิ้นเชิง
ประชาชนชาวแม้วเผ่นออกจาก หมู่บ้าน ตั้งแต่กระสุนลูกแรกของข้าศึกตกลงบนสนามบินแล้ว พวกเขาหอบลูกจูงหลานเดินเป็นทิวแถวไปตามถนนที่ตัดเอาไว้บนภูเขา มุ่งหน้าขึ้นไปหลบซ่อนอยู่ในบริเวณหลังที่ประทับของเจ้ามหาชีวิต (ปกติเจ้ามหาชีวิตของลาวจะประทับอยู่เมืองหลวงพระบาง นานๆครั้งพระองค์จึงเสด็จมาประทับในที่แห่งนี้) ที่มีเนินเขาสูงชันเป็นปราการธรรมชาติที่สามารถใช้เป็นที่หลบภัยได้อย่าง ปลอดภัยที่สุด
และแล้ว...หลังจากลูกปืนใหญ่ของมัน ที่ยิงเฉียดไปเฉียดมาหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุด...ลุกฟลุคของมันก็หล่นโครมลงบนกองกระสุนปืนใหญ่ขนาด 155 มม. ที่วางซ้อนกันเป็นภูเขาเลากาเข้าอย่างถนัดใจ
“บึ้ม...บึ้ม...บึ้ม...บึ้ม”
สว่าง ยิ่งกว่าจุดพลุในงานมหกรรมใดๆ ที่ผมเคยเห็นมาทีเดียวครับ เสียงระเบิดของลูกปืนใหญ่ขนาด 155 มม. ดังซ้อนๆกันจนแก้วหูแทบแตก ประกายไฟพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าสว่างโร่ไปหมด บางครั้งก้มีแฟลร์ที่บรรจุอยู่ในลูกปืนครกระเบิดตูมตามขึ้น พร้อมกับส่งร่มแฟร์ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าสว่างไสว อย่างกับมีงานมหกรรมระดับชาติเลยทีเดียว
ไหนจะต้องคอยระวังสะเก็ดลูก ปืนใหญ่ของฝ่ายเราที่กำลังระเบิดตูมตาม ไหนจะต้องพะวงกับอำนาจการยิงของข้าศึก ทำเอาทหารรับจ้างที่อยู่ บก.ส่วนหลังวิ่งวุ่นกันอลหม่าน
เสียงระเบิดดังรุนแรงยิ่งกว่าทุกครั้ง ประตูหน้าต่างกองบัญชาการสะเทือนสั่นโยกเยก
“คลังแสงของเราระเบิดแล้วครับ”
ทหารรับจ้างคนหนึ่งกระหืดกระหอบวิ่งข้ามสะพานเหล็กระหว่างโรงพยาบาล มุ่งหน้าเข้ามาหาพวกเราที่กองบัญชาการ
มันเป็นคราวเคราะห์อย่างช่วยอะไรไม่ได้ สะเก็ดของลูกปืนใหญ่ขนาด 155 มม. ที่กำลังระเบิดตึงตังอยู่เฉือนเข้าที่บริเวณลำคอพอดี
ไม่ มีเสียงร้องหรอกครับ ทหารรับจ้างที่ผมไม่รู้จักชื่อคนนั้น เซถลาหล่นวูบลงไปจากสะพาน ตกลงไปในร่องน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากอยู่เบื้องล่าง ลายวับไปกับความมืด ท่ามกลางความตกตะลึงของพวกเราที่มองเห็นเหตุการณ์อยู่แค่เอื้อม
ไม่มีใครลงไปช่วยหรอกครับ แทบทุกคนซบหน้าลงกับแนวกระสอบทราย หลบสะเก้ดระเบิดที่ปลิวออกมาไปรอบทิศ ด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
เสียงระเบิดที่ดังเหมือนกับฟ้าผ่าได้คำรามขึ้นอีกครั้ง...
อา...คลัง แสงและอุปกรณ์ทุกชนิดของซี.ไอ.เอ. พินาศหมดสิ้นแล้ว เสียงระเบิดดังขึ้นซ้อนๆ กันหลายต่อหลายครั้ง แสงไฟลุกขึ้นท่วมท้องฟ้า มองเห็นสว่างโร่ไปทั่วบริเวณ
เหมือนกับนกรู้ ปืนใหญ่ของเวียดนามเหนือ ที่ระดมยิงอยู่ตลอดเวลา ยุติการยิงลงอย่างฉับพลัน แน่นอนเหลือเกิน “ตรวจการณ์หน้า” ของพวกมันที่แฝงกายอยู่ ณ บริเวณใดบริเวณหนึ่งของตลาดล่องแจ้ง คงจะแจ้งผลการยิงให้ฝ่ายมันทราบว่า ขณะนี้ผลการยิงของพวกมันสัมฤทธิ์ผลแล้ว พวกมันจึงยุติการระดมยิงในทันทีทันใด
เวลาผ่านไปจนกระทั่ง 24.00 น. แรงระเบิดจากกองกระสุนที่เม็นแล้มยังคงระเบิดต่อไปอีก และเริ่มแผ่วงกว้างออกไปทุกที ส่วนคลังแสงไม่ต้องพูดถึงกันละ ป่นปี้ไม่มีชิ้นดี ร่มชูชีพที่ใช้ “ดร็อป” ของ ถูกไฟเผลาผลาญไม่มีเหลือหลอ
ผม นั่งหลับนกอยู่ที่บริเวณกระสอบทรายนั่นเอง ศูนย์บังคับการที่อุดร ติดต่อสอบถามความเสียหายมาอยู่ตลอดเวลา พวกผมที่เข้าเวรวิทยุ ไม่ต้องพักผ่อนกันละ จัดแจงเข้ารหัสแจ้งผลความเสียหายอย่างมหาศาลให้ทางอุดรทราบเป็นระยะๆ
เกือบร้อยล้านบาท คือยอดประเมินสูญเสียจากการยิงของปืนใหญ่เวียดนามเหนือ
“ไอ้ปากหมา” เครื่องบินตรวจการณ์สองที่นั่งจอดอยู่ในโรงเก็บ รอดจากกระสุนปืนใหญ่และแรงระเบิดอย่างกับปาฏิหารย์
การ ระเบิดของกระสุนปืนได้ดำเนินต่อไปจนกระทั่งรุ่งเช้า เสียงระเบิดจึงค่อยๆห่างลง และสงบเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเวลา 09.30 น. ผมคิดว่า คงจะยังไม่มีมนุษย์หน้าไหนสะเออะเข้าไปในบริเวณสนามบินหรอกครับ
ที่ใหนได้... พอพวกผมเข้าไปเคลียร์สนามบิน
อุปกรณ์การรบที่รอดจากแรงระเบิดถูกขโมยเรียบวุธ ปืนพก .45 เท่าที่ผมทราบประมาน 100 กระบอกล่องหนไปอย่างไม่มีร่องรอย
ชุดเครื่องแบบสนาม ผ้าเต๊นท์ ถูกมือดีขโมยเกลี้ยง
ตลาด ล่องแจ้ง ถูกทหารรับจ้างที่สังกัด บก.ส่วนหลังของกองพันทหารรับจ้าง กองพันต่างๆกรูกันเข้างัดแงะรื้อค้นของชาวบ้านที่พากันละทิ้งบ้านช่อง หลบภัยจากแรงระเบิดกันเป็นจ้าละหวั่น
ไม่เฉพาะทหารรับจ้างชาวไทยหรอกนะครับ ทหารลาวเองก็ตามที ทั้งพี่ไทย อ้ายลาวกอดคอกันขโมยของชาวบ้านสะเด็ดยาดไปเลย...
มัน เข้าขั้นบ้านแตกสาแหรกขาดกันแล้ว นี่แหละครับ สภาพของสงคราม ใครๆอยากได้อะไรก็ยื้อแย่งเอาเป็นกรรมสิทธิ์กันอย่างหน้าด้านๆ ผมขอภาวนาอย่าให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับประเทศไทยอันเป็นที่รักของผมเลย
ทหารรับจ้างหอบข้าวของที่ขโมยมาได้ ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ หัวจักรเย็บผ้า เทป ลัดเลาะสนามบินหายหัวเข้ากอง บก. ของพวกเราจนหมดสิ้น
แม้ แต่ที่พักของฝรั่ง บริเวณท้ายสนามบินเองก็ยังโดนมือดีเข้าไปขนของจนเกลี้ยง “เทปชั้นดี ยี่ห้อ อาไก” ถูกทหารแม้วงัดออกมาเร่ขายให้กับทหารไทยด้วยสนนราคาเครื่องละไม่ถึง 500 บาท
ร้อน ถึงนายพลวังเปา ต้องออกประกาศให้ทางทหารรับจ้างและทหารแม้วคนใดที่มีของ “ต้องห้าม” อยู่ในครอบครอง ให้เอามาคืนภายใน 3 วัน มิฉะนั้นจะมีความผิดกฏหมายสงคราม
คำสั่งของนายพลวังเปาอาจจะศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะทหารแม้ว แต่สำหรับทหารรับจ้างชาวไทยแล้ว “ยากส์ส์” ครับ อ้อยเข้าปากช้าง ใครเอาไปคืนก็โง่เต็มทน ของใหญ่ๆก็โยนทิ้ง ปืนพกเรื่องเล็ก มีกรรมวิธีหลบหลีกสารวัตรทหารเอาไปอุดรได้หลายต่อหลายวิธีหรือจะปล่อยที่ ล่องแจ้ง 800-900 บาทแสนที่จะสบายและคล่องมือที่สุด
สนามบินล่องแจ้งต้อง ปิดตัวเองโดยปริยาย เครื่องบินที่ไหนจะกล้ามาเสี่ยงลงครับ ก็ในเมื่อสะเก็ดระเบิดขาววับเป็นชิ้นๆเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ระเกะระกะไปหมด นอกจากนั้น ควันไฟที่กำลังครุกกรุ่นอยู่ตลอดเวลาในซากกองกระสุน อาจจะระเบิดขึ้นมาในเวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้...
เครื่องบินทุกชนิดถูกห้าม ขึ้นลงโดยเด็ดขาด แม้กระทั่งชอปเปอร์ก็ต้องอาศัยทิวเขาหลัง บก.ล่องแจ้ง ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นแอ่งลึก สามารถป้องกัน “ลูกยาว” ของข้าศึกได้เป็นอย่างดี ใช้เป็นที่ขึ้นลงเพื่อปฏิบัติภาระกิจประจำวันต่อไป
ทาง อุดรแก้ปัญหาการขนส่งลำเลียงออกเป็นสองวิธี วิธีแรกใช้ C-123 บินตรงจากอุดรแล้ว “ดร็อป” ด้วยร่มชูชีพขนาดใหญ่ลงในบริเวณ “ศาลาไทย” (ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับ บก.ล่องแจ้งนั่นเอง)
วิธีที่สองคือ ขนอุปกรณ์สงครามมาลงที่สนามบินนาซู แล้วลำเลียงด้วยเครื่องปีกหมุน (ชอปเปอร์) มายังล่องแจ้งอีกทีหนึ่ง
ปัญหา ใหญ่หลวงที่ตามมาก็คือ การส่งอาหารให้แก่กองพันทหารรับจ้างกองพันต่างๆ ต้องประสพกับอุปสรรคนานาประการ อาหารจำพวก หมูเห็ดเป็ดไก่ ที่ทาง บก. สั่งซื้อมาจากอุดรก็มาตกค้างอยู่ที่สนามบินนาซู รอคิวที่จะลำเลียงมายังฐานปฏิบัติการต่างๆเมื่อใช้เวลาในการส่งนานกว่าปกติ ของสดดังกล่าวก็เลยกลายเป็นของเน่าไปโดยปริยาย
ตั้งแต่นั้นมา กองพันทหารรับจ้างก็ต้องพบกับอาหารแห้งจำพวกเนื้อเค็ม กระเทียมดอง จนกว่าเหตุการณ์จะปกติ ซึ่งก็ยังไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไร
ทหารรับจ้างเริ่มสะสมชูชีพเป็นการใหญ่ ร่มที่ไอ้กันใช้ “ดร็อป” มักจะถูกทหารรับจ้างเม้มเอาใว้เป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัวกันเป็นทิวแถว
ตาม ปกติแล้ว ในประเทศไทย ร่มชูชีพเป็นของมีราคาแพงและหายากที่สุด ทหารรับจ้างทุกคนจึงอยากได้ร่มชูชีพกันจนตัวสั่น พอเครื่องบินทิ้งร่มลงมายังไม่ถึงพื้นดิน ก็ถือมีด “สปาต้า” ใส่เกียร์หมาวิ่งไล่ร่มชูชีพหวังจะถือเป็นกรรมสิทธิ์ในร่มชูชีพอันนั้น
มัน ก็เลยเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นอย่างช่วยเหลือไม่ได้ ปกติกล่องกระสุนมันก็หนักหลายสิบกิโลอยู่แล้ว ถึงแม้จะมีร่มคอยพยุงเอาไว้ก็ตามที เวลามันลงจวนจะถึงพื้น มันจะกระทบพื้นด้วยน้ำหนักที่น่ากลัวทีเดียว เรื่องทั้งเรื่องมันก็เลยทับเอาผู้นิยมร่มทั้งหลายจนหัวสมองติดดินแบน แต๊ดแต๋เหมือนกับเขียดโดนรถบดถนนทับยังไงยังงั้น
ตั้งแต่นั้นมา ทหารรับจ้างบางคนพอเห็นร่มชูชีพก็ถึงกับเมินหน้าหนีไปเลยก็มี
หน่วย เคลียร์สนามบินเสี่ยงอันตรายออกไปเคลียร์รันเวย์ ไม่ถึง 10 นาทีก็ต้องวิ่งกระเจิงกันออกมาอีกครั้งเนื่องจากกระสุนปืนใหญ่ เกิดระเบิดตูมตามขึ้นมาเอาดื้อๆ เล่นเอาผวากันไม่เป็นขบวน
อากาศเริ่มมืด เป็นครั้งแรกในรอบวัน กลุ่มเมฆรวมตัวกันหนาขึ้นทุกที มันปกคลุมยอดเนินสกายไลน์ทึบไปหมดและเริ่มลามเลียลงมายังตีนเขามากขึ้น จนกระทั่งครอบคลุมเนินสกายไลน์จนขาวโพลนไปหมดทั้งภูเขา
เจ้าความหนาวเหฯ บที่แสนจะทรมานทับทวีเพิ่มขึ้นทุกที ถึงแม้ผมจะมีชุดอันเดอร์แวร์ที่สวมทับด้วยแจ็คเก็ตฟิลด์อันหนาเตอะก็ยังต้อง ห่อไหล่ คางกระทบกันด้วยความหนาวเหน็บเข้าไปถึงหัวใจ
ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ทหารรับจ้างทุกคน เมื่อผ่านกองบังคับการจะต้องถูกถามรหัสผ่าน ถ้าตอบผิด แน่นอนเหลือเกินจะต้องถูก M-16 พรุนไปทั้งร่างด้วยน้ำมือของหน่วย “สิงห์ทะเลทราย” ที่มีหน้าที่ระแวดระวังกอง บก.ล่องแจ้งโดยเฉพาะ
ยิ่ง อากาศปิดมากเท่าไหร่ บรรยากาศของเมืองล่องแจ้งก็ยิ่งเงียบและวังเวงมากยิ่งขึ้นเท่านั้น นายทหารเสนาธิการทุกคนอยู่ในชุดสนามพร้อม ยืนจับกลุ่มคุยกันเบาๆอยู่หลังแนวกระสอบทรายด้วยลักษณะท่าทางที่เครียดขึง
มันเงียบเสียจนกระทั่งอดสังหรณ์ใจไม่ได้ว่า จะมีอะไรเกิดขึ้นในคืนนี้บ้างไหมหนอ
นึก ถึงความสามารถของหน่วย “แซปเปอร์” เวียดนามเหนือ ที่กล้าฝ่าดงกับระเบิดเข้าไปเชือดคอทหารรับจ้างในฐานภูเทิงตอนทุ่งไหหินแตก แล้ว ผมอดที่จะเสียวคอหอยไม่ได้ ภาวนาขออย่าให้เจอะเจอกับมันอีกเลยในชาตินี้ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ
ตอนนี้ก็มีขโมย