อยากทราบว่าถ้าgripen รบระยะประชิดกับsu30 gripenจะได้เปรียบหรือเสียเปรียบด้านใดบ้าง เห็นsu30ลำใหญ่แล้วจะคล่องตัวมั้ย
น่าจะได้นะครับ ไม่งั้น ประเทศสวีเดน คงลำบากแย่เลย ประเทศอยู่ใกล้รัสเซีย เสียด้วยสิ
JAS 39 เป็น เครื่องบินรบหลักของสวีเดนเลยนะครับ อย่าลืมสิ
ผมว่า SU 30 เชื้อเพลิงหมดก่อน ครับ
และนี่คือเรื่องใหญ่ "นักบิน อาจทะเลาะ เพราะขาดความสามัคคี " กันก็ได้ครับ
จากนั้นก็เป็น "โอกาสทอง" ของ JAS 39
เอ่อ " ผมไม่ได้โม้ครับ " แต่พูดความน่าจะเป็น ครั
ผมว่า SU 30 เชื้อเพลิงหมดก่อน...
"นักบิน อาจทะเลาะ เพราะขาดความสามัคคี "
.....มาแบบนี้อีกแล้วครับ พี่น้อง
เป็นคำถามที่ " น่าเบื่อ " มากๆ แต่จะตอบให้ครับ
เรื่องแบบนี้มีปัจจัยอยู่หลายๆส่วนด้วยกัน แต่หลักๆแล้วอยู่ที่
1. นักบิน
- เราต้องดูก่อนว่าใครรับใครรุก เพราะ ผ่านที่รับมักจะได้เปรียบทางด้านของพื้นที่สมรภูมิมากกว่าครับ ดังนั้นก็ต้องดูว่าการยุทธนั้นๆเกิดขึ้นที่ใด ซึ่งส่วนนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเก่งกาจของตัวนักบินเองครับ
2.ตัวเครื่อง
- ถ้ามองเรื่องความคล่องตัวยกให้ JAS-39 ครับ แต่ก็ใช่ว่า SU-30 จะสู้ไม่ได้ยิ่งซีรี่ย์ที่มีการติดปีกคานาร์ดยิ่งคล่องตัวครับ เจ้า JAS-39 ก็ไม่เบา ดังนั้นระยะประชิด ถ้าเทียบเครื่องต่อเครื่องผมว่าพอๆกันครับ ถูๆไถๆ 555+
ส่วนปัจจับอื่นๆก็มีครับ เช่น อากาศ ลม อาวุธ เป็น้ตนครับ
^^^ สิ่งที่ จขกท ถามนี่อาจเป็นไปได้ นะครับ อาวุธ และ ระบบ อิเลคทรอนิกอ์ อาจโดน ความชื้น แล้วเป็น อัมพาต
ขำกลิ้ง ถ้าต้องดวลกัน ด้วยปืนกล ครับ
เป็นคำถามที่น่าเบื่อ...
มันขี้นอยู่กับฝีมือนักบิน+เครื่องบินที่ดี
(ต่อให้เครื่องดีเลิศแค่ไหน คนขับห่วยแตก ก็โดนยิงตกเป็นลำแรก) แค่นี้...จบ
ถ้าดูจากภาระกิจแล้ว
JAS-39 C/D ควรจะมีโอกาส ปะทะ กับ F/A-18 D มากกว่าครับ
เพราะ SU-30 ควรจะเป็นภาระกิจ ป้องกันภัยทางอากาศ ในดินแดนฝั่งตะวันออก และ หมู่เกาะ สแปชลี่ย์ มากกว่าครับ
ภัยคุกคามทางนั้น มากกว่า ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย มากกว่าครับ มาเลเซีย จึงต้องจัดหา บ.ที่มีสมรรถนะระยะไกล และประสิทธิภาพสูง
ฝากลิงค์เปรียบเทียบ
JAS-39 C/D กับ F/A-18 เมื่อเร็ว ๆ นี้
เฟอร์รารี่ ชนะทุกประตูครับ ถ้าเทียบสมรรถนะ ล่ะก็นะ
ผมว่า พวกเราส่งลูกหลาน ไปเรียนต่อที่ "จอร์เจีย " ดีกว่า ครับ
จะได้รู้หลักการ "แมว ชนกะ หมีควาย " ว่าเป็นไง
จอร์เจีย เอาเครื่องบิบเก่าๆๆ บินหลอก ให้ รัสเซีย บินเข้าไป จากนั้น ก็ให้ ทหาร กะ ชาวบ้าน ยืนแบก จรวดต่อต้าน อากาศยาน
ยืนกลางทุ่ง ที่โล่งแจ้ง พอได้จังหวะ ก็ยิง นี่ยังไม่รวม กะที่ เครื่องบิน หมี ยิง กันเอง อีกก็หลายลำ
คุณ pisit2012 ครับ สุดท้ายในเสียเยอะกว่าครับ จอร์เจียไปเล่นลูกหมีมากเจอแม่มาตบตี เป็นไงละครับ ถึงกับร้องเอ๋อเหว๋อไปเลย นะครับ เขาไม่เรียกหมีควาย เขาเป็นหมีขาว - - ผมเบื่อคำตอบบ้าๆบอๆของคุณละ อ่านทีไรคันทุกที นี้พยายามจะไม่ค่อยจะตอบละนะ
SU-30 เป็นเครื่องบินครองอากาศเชิงรุก พิสัยบินไกล บบรทุกอาวุธได้มาก เรดาร์มีประสิทธิภาพสูงมาก สามรถจับเป้าหมายได้ในระยะไกล และมีความคล่องตัวสูงสวนทางกับลำตัวที่ใหญ่ของมัน ส่วนเครื่อง JAS-39C/D เป็นเครื่องบินป้องกันภัยทางอากาศเชิงรับ แต่มีความอ่อนตัวสูงในการใช้อาวุธและมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาก บวกกับเทคโนโลยีดาต้าลิงค์ ที่สามารถส่งถ่ายข้อมูลจากเครื่องบินเครื่องอื่นหรือจาก อิรี่อาย ได้ อีกทั้งมีหน้าตัดเรดาร์ที่ต่ำ ทีนี้ถ้ามองถึงการใช้อาวุธอาจจะเน้นที่การใช้อาวุธนอกสายตากันเป็นหลักแล้ว แต่ถ้าหากว่าถึงขั้น ด็อกไฟต์ กันนั้นยังไม่เคยมีข้อมูลว่าเคยประลองกัน แต่ความคล่องตัวนั้นถือว่าพอกันครับ ทีนี้นอกจากสมรรถนะของเครื่องบินแล้วคงต้องมามองที่ อาวุธ ตัวนักบิน(ทักษะ สภาพร่างกาย ความอ่อนล้า ไหวพริบ) และกลยุทธ์ที่จะเอามาใช้กัน แต่ทีนี้ส่วนตัวมองต่างจาก ป๋าจู ในเรื่องโอกาสที่จะปะทะกันระหว่าง JAS-39 กับ SU-30 ครับ ว่ามีความเป็นไปได้ หากมองไปที่ SU-30 ของกองทัพอากาศเวียดนาม และพิสัยการบินที่ไกลของ SU-30 ที่กองทัพอากาศมาเลเซียสามารถที่จะบินข้ามฟากมาเตรียมความพร้อมทางฝั่งนี้ได้เช่นกันครับ แต่ท้งนี้หมายถึงว่า SU-30 นั้นต้องมีจุดมุ่งหมายที่เป้าหมายทางทะเลเป็นหลักหรือมาจากทางทะเลครับ ถึงจะมีโอกาสปะทะกับ JAS-39 ได้
F5 อับเกรดนะดีแล้วครับผมเชียด้วยคน เอามาเปลี่ยนเครื่องใหม่ เอาแบบปรับท้อท้ายได้เป็นดี แล้วทำปีเล็กข้างหน้าผมว่านะเหมือนกริบปินยังไงชอบกลเอาด้าต้าลิ้งด้วยก็ยิ่งดีนะนี่
ว่าแล้วผมฝันไปหรือเปล่านี่ เฮอ......
^^^ ยอมรับว่า ปาบ และ กราบขอภัย ในคำพูด ที่ไม่สุภาพ ครับ
ที่ผมมองโอกาศ ในกรณีที่ Jas-39 เจอกับ F/A-18D จะมากกว่าเจอ Su-30 ด้วยเหตุที่ว่า
มาเลเซีย วางกำลังทางอากาศที่มีภาระกิจทางทะเล ดูแลผลประโยชน์ทางช่องแคบมะละกา คงจะเป็น F/A-18D ที่ประจำการที่ บัตเตอร์เวิอค (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ)
และทางฝั่งอันดามัน เป็นจุดที่กองกำลังทางเรือของไทย จะเพียงตรวจการณ์ ไม่เต็มยุทธวิธีเหมือนกับทางฝั่งอ่าวไทย หรือ ด้อยกว่านั่นเอง ในขณะที่ มาเลเซีย จะมีฐานทัพเรือ ลูมุท ซึ่งเป็นที่ตตั้งกองทัพเรือ หรือ กองกำลังทางยุทธวิธี ผมจึงมองว่า กองบิน 7 น่าจะรับผิดชอบแบบเต็ม ๆ กรณีเกิด ความขัดแย้งในทะลฝั่งอันดามัน ระหว่าง ไทย กับ มาเลเซีย มากกว่า ทางฝั่งอ่าวไทย โดยทางฝั่งอ่าวไทยจะมี กองทัพเรือ ขนาดใหญ่ และกองบินสนับสนุนจาก ทอ. ที่นอกเหนือจาก กองบิน 7 ก็จะเป็นจากสนามบินอู่ตะเภา พร้อมสนับสนุน...ซึ่งผมเห็นด้วยในกรณีที่ว่า โอกาสของ Jas-39 กับ Su-30 ของเวียดนามก็น่าจะมีเช่นกัน...
โอกาสที่จะมีการกระทบกระทั่ง ไม่ถึงขั้นการทำสงครามเต็มรูปแบบ น่าจะเป็นทางฝั่งอันดามัน ที่โอกาสจะเกิดจะมากกว่าทางฝั่งอ่าวไทย เพราะความขัดแย้งขนาดใหญ่ในปัจจุบัน ก็จะมาจากทางฝั่งนั้น ทั้ง ตะวันออกกลาง บังคลาเทศ อินเดีย พม่า อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ถ้าจะยกกรณีระหว่าง ไทย กับ มาเลเซีย ผมเลยจึงมองที่ว่า โอกาสของ Jas-39 กับ F/A-18D น่าจะเกิดมากกว่า Su-30...
และถ้าเกิดกรณีความขัดแย้งทางทะเลระหว่างไทย กับ มาเลเซีย ผมมองว่า มาเลเซีย คุมน่านน้ำฝั่งอันดามัน จะมีศักยภาพทุกอย่าง ทั้ง กองเรือรบ กับ กองบินรบ ในด้านฝั่งอ่าวไทย น่าจะเป็นพื้นที่รับผิดชอบของ กองเรือดำน้ำ ที่จะคุมน่านน้ำในด้านนี้ เพราะฐานทัพเรือดำน้ำ ตั้งอยู่ทางฝั่งนี้ ซึ่งมองดูแล้ว การจะมีศึกทางด้านนี้ ที่ ไทย มีศักยภาพการรบครบทุก มิติ เป็นเรื่องยากมากกว่าครับ...แต่ โอกาสที่จะเกิดการกระทบกระทั่ง ทางฝั่งอันดามัน อาจจะมีมากกว่า
แต่ผมคิดว่าปัญหาเราเกิดกับมาเลเซียมีน้อยกว่าเกิดกับข้างบ้านเราบางประเทศนะครับ ดูขนาดเรื่องชายแดน เขายังไม่เห็นกระทบกับเรามากเลยขนาดทับซ้อนบางส่วน หรือในพื้นที่ทับซ้อนนั้นมันไม่มีทรัพยากรให้แย่งรึเปล่า แตกต่างกับที่ข้างบ้านชาวระแวก แต่อีกเหตุผลหนึ่งอาจจะมาจากตัวปราสาทพระวิหารเองด้วยละครับ แล้วอีกหน่อยมันจะมาหาเรื่องกับปราสาทชมพูอีกไหมเนี้ย ซึ่งสงกรานต์ชาวระแวกจะมากราบไว้ปราสาทชมพูทุกๆปี