หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


ที่มาของพระบรมรูปทรงม้ากับการลองของของพวกเศษฝรั่ง

โดยคุณ : aeeclub เมื่อวันที่ : 26/04/2011 13:49:09

ขอรวบรัดตัดตอนเส้นทางเสด็จ ไม่ขอนำความมากล่าวโดยละเอียด ณ ที่นี้ เมื่อพระองค์เสด็จถึงประเทศฝรั่งเศส ประธานาธิบดี เฟลิกซ์ ฟอร์ ได้ถวายการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่แรกไม่คิดจะต้อนรับขับสู้อย่างดีหรอกครับ แต่สืบข่าวดูแล้ว ทุกประเทศที่พระองค์เสด็จผ่านมาก่อนหน้าที่จะเข้าฝรั่งเศส ไม่ว่าจะเป็นสวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี ออสเตรีย ฮังการี รัสเซีย เดนมาร์ก อังกฤษเบลเยี่ยม เยอรมัน ต่างก็ถวายการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ โดยเฉพาะรัสเซีย พระเจ้าซาร์ นิโคลัสทรงยกย่องนับถือเสมือนหนึ่งพระอนุชาร่วมอุทรของพระองค์เอง มีการฉายภาพพระบรมฉายาลักษณ์คู่กัน เผยแพร่ไปทั่วยุโรป แล้วอย่างนี้ "เจ้าเศษฝรั่ง" จะทำเป็นทองไม่รู้ร้อนได้อย่างไร

ในช่วงที่ทรงพำนักในกรุงปารีส ฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ ๑๑ กันยายน ถึง ๑๗ กันยายน ๒๔๔๐นี่เอง ที่พระองค์ได้ประสบกับความแม่นยำในอนาคตังสญาณของพระปลัดเอี่ยม ข้อที่ ๒ หากไม่ได้เตรียมการ หรือเตรียมพระองค์ล่วงหน้าแล้ว มีหวังที่จะต้องเอาพระชนม์ชีพไปทิ้งเสียที่นี่กระมัง
โบราณว่าไว้ "หากไม่เข้าถ้ำเสือ แล้วจะได้ลูกเสืออย่างไร ? " เป็นบทท้าทายคำพิสูจน์ให้เห็นเด่นชัดตอนที่ล้นเกล้า ร.๕ พระปิยมหาราชเสด็จพระราชดำเนินเหยียบดินแดนของผู้ที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นศัตรู ที่ร้ายกาจ หวังจะครอบครองแผ่นดินไทยให้ได้ทั้งหมด แม้จะได้เป็นบางส่วนแล้วก็ตามก็หาเป็นที่พอใจไม่

ในช่วงที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนทวีปยุโรปครั้งแรก เมื่อ ร.ศ. ๑๑๖ (พ.ศ. ๒๔๔๐) นั้น สยามประเทศของเรายังคงมีกรณีพิพาทต่อกันในเรื่อง "สิทธิสภาพนอกอาณาเขต" กล่าวคือเราต้องยอมให้อังกฤษและฝรั่งเศสตั้งศาลกงสุลของตนในดินแดนไทย สำหรับตัดสินคดีความต่าง ๆ เมื่อคนของเขา หรือคนใดก็ตามแม้แต่คนไทยหัวใสบางคนที่ยอมตนจดทะเบียนเป็นคนในบังคับ (คล้าย ๆ กับการโอนสัญชาติ แต่ไม่ใช่ เพราะยังไม่มีสิทธิที่จะพำนักในประเทศของเขา ) ซึ่งก็มีจำนวนไม่น้อย เพราะเวลาทำผิดแล้วไม่ต้องขึ้นศาลไทย ไม่ใช้กฎหมายไทยตัดสิน คนไทยเองก็เถอะ หากทำความผิดต่อคนของเขาแล้ว ต้องขึ้นศาลเขาและต้องยอมเขาทุกอย่าง แม้ศาลไทยจะตัดสินว่า "ถูก" หากเขาเห็นว่า "ผิด" คนผู้นั้นก็ต้องถูกลงอาญา ซึ่งเป็นหนามยอกอกของคนไทยในสมัยนั้นมาก ต้องยอมให้คนต่างชาติต่างแดนมากดหัวเรา มาเอาเปรียบเรา เป็นการยั่วยุให้เราหมดความอดทน หากก่อสงคราม ก็มีหวังสูญเสียเอกราชของชาติแน่นอน

กรณี "พระยอดเมืองขวาง" แขวงเมืองคำเกิดคำมวน วีรบุรุษไทยที่รักผืนแผ่นดินไทย รักในองค์พระมหากษัตริย์ไทย ได้ดับความอหังการ์ของทหารฝรั่งเศส ที่บุกรุกอธิปไตยของไทยที่เมืองขวาง จนต้องถูกจำคุกเสียหลายปี แม้ศาลไทยจะให้ปล่อยตัวเพราะเป็นการทำตามหน้าที่ แต่ศาลกงสุลของฝรั่งเศสในไทยตัดสินให้จำคุก ท่านก็ต้องติดคุกเพื่อชาติ เรื่องนี้คนไทยทั้งแผ่นดินในขณะนั้น แค้นแทบจะกระอักเลือดเลยครับ เกือบจะทำสงครามกันรอมร่ออยู่แล้ว ดีแต่องค์พระปิยมหาราชเจ้า ท่านทรงดำเนินวิเทโศบายด้านต่างประเทศด้วยการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ในยุโรปเสียก่อน แล้วพระองค์ก็ทรงทำสำเร็จเสียด้วย ผู้ที่แค้นแทบจะกระอักเลือดแทน ก็คงจะเป็น "เจ้าเศษฝรั่ง" น่ะเองซึ่งมันก็รอจังหวะและโอกาสที่จะล้างแค้นเหมือนกัน มันคิดว่า

"หากไม่มีล้นเกล้า ฯ ร.๕ เสียพระองค์หนึ่ง สยามประเทศเราก็เปรียบเสมือนมังกรที่ไร้หัว" ที่นี้คงมีโอกาสมากขึ้นหากจะฮุบประเทศชาติของเราไว้ในกำมือ และแล้วแผนการอันแยบยลก็อุบัติขึ้นเมื่อพระองค์เสด็จเยือนประเทศฝรั่งเศส แม้เขาจะต้อนรับพระองค์อย่างสมพระเกียรติก็ตาม แต่นั่นเป็นเพียงหน้าฉากเท่านั้น หลังฉากน่ะหรือ ? ได้กำหนดขึ้นเพื่อต้อนรับพระองค์ไว้เรียบร้อยแล้ว ในสนามแข่งม้าชานกรุงปารีสนั่นเอง เมื่อพระองค์ได้รับคำทูลเชิญให้เสด็จทอดพระเนตรการแข่งม้านัดสำคัญนัดหนึ่งซึ่งมีขุนนาง ข้าราชการ พระบรมวงศานุวงศ์ฝรั่งเศสมาชมกันมาก พวกมันได้นำเอาม้าดุร้ายและพยศอย่างร้ายกาจมาถวายให้ทรงประทับ โดยถือโอกาสขณะที่อยู่ท่ามกลางมหาสมาคม แม้รู้ว่าม้านั้นดุร้าย พระปิยมหราชเจ้าก็จะไม่ทรงหลีกหนี ด้วยขัตติยะมานะที่ทรงมีอยู่ในฐานะผู้นำประเทศ หากทรงพลาดพลั้งนั่นคือ "อุบัติเหตุ" ใครก็จะเอาผิดหรือต่อว่าเจ้าเศษฝรั่งไม่ได้

ม้าตัวนั้นเล่าลือกันว่า เคยโขกกัดผู้เลี้ยงดูและผู้หาญขึ้นไปขี่ตายมาแล้วหลายคน จะเอาไปไหนต้องมีคนจูงด้วยเชือกล่ามเท้าทั้งสี่ไว้ เพื่อป้องกันการพยศและขบกัดผู้คน นัยว่าเป็นม้าของเจ้าชายแห่งฝรั่งเศสพระองค์หนึ่ง เมื่อถูกนำเข้ามาในสนาม ทุกคนก็ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจและหวาดกลัว ตัวแทนรัฐบาลฝรั่งเศสเริ่มวางหลุมพราง โดยกราบบังคมทูลว่า

"ไม่ทราบเกล้าว่าเมื่ออยู่ในสยามประเทศเคยทรงม้าหรือไม่ พระเจ้าข้า"

"แน่นอน ข้าพเจ้าเคยทรงอยู่เป็นประจำ เพราะในสยามประเทศก็มีม้าพันธุ์ดีอยู่มาก"

"โอ วิเศษ ขออัญเชิญพระองค์ทรงเสด็จขึ้นทรงม้า ตัวที่กำลังถูกจูงเข้ามานี้ให้ประจักษ์ชัดแก่สายตาของผู้คนในสนามม้านี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า"

ตัวแทนรัฐบาลฝรั่งเศสกราบทูลด้วยความกระหยิ่มใจ

"แน่นอน ข้าพเจ้าจะแสดงให้ท่านทั้งหลายได้ดูว่า กษัตริย์แห่งสยามประเทศนั้นไม่เคยหวาดหวั่นกลัวแม้แต่อัสดรที่พยศดุร้าย หรือผู้คุกคามที่มีอาวุธพร้อมสรรพ "

จบพระราชดำรัสก็ทรงลุกขึ้นเปิดพระมาลาขึ้นรับการปรบมืออันกึกก้องสนามม้าแห่งนั้น แล้วเสด็จพระราชดำเนินลงจากอัฒจันทร์ สู่ลู่ด้านล่างซึ่งขณะนั้นม้ายืนส่งเสียงร้องและเอากีบเท้าตะกุยจนหญ้าขาดกระจุยกระจาย

คำพยากรณ์ของพระปลัดเอี่ยมยังกึกก้องอยู่ในพระกรรณ ทรงก้มพระวรกายลงใช้พระหัตถ์ขวารวบยอดหญ้าแล้วดึงขึ้นมากำมือหนึ่ง ทรงตั้งจิตอธิษฐานถึงพระรัตนตรัย พระสยามเทวาธิราชและพระปลัดเอี่ยม เจริญภาวนาพระคาถาอิติปิโสเรือนเตี้ยที่พระปลัดเอี่ยมถวายสามจบ ทรงเป่าลมจากพระโอษฐ์ลงไปบนกำหญ้านั้น แล้วแผ่เมตตาซ้ำ ยื่นส่งไปที่ปากม้า เจ้าสัตว์สี่เท้าผู้ดุร้ายสะบัดแผงคอส่งเสียงดังลั่นก่อนจะอ้าปากงับเอาหญ้าในพระหัตถ์ไปเคี้ยวกินแล้วก็กลืนลงไป

ผู้แทนรัฐบาลฝรั่งเศสโบกผ้าเช็ดหน้า เป็นสัญญาณให้แก้เชือกที่ตรึงเท้าม้าออกไปพ้นทั้งสี่เท้าบัดนี้เจ้าสัตว์ร้ายพ้นจากพันธนาการ และบรรดาผู้ที่จูงมันเข้ามาก็ผละหนี เพราะเกรงกลัวในความดุร้ายของมัน พระปิยะมหาราชเจ้าทรงทอดสายพระเนตรจับจ้องอยู่ที่นัยน์ตาของม้านั้น ก็เห็นว่ามันมีแววตาอันเป็นปกติ มิได้เหลือกโปนดุร้าย ทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปตบที่ขาหน้าของมันสามครั้ง เจ้าม้านั้นก็ก้มหัวลงมาดมที่พระกรไม่แสดงอาการตื่น หญ้าเสกสำริดผลตามประสงค์

อาชาที่ดุร้ายกลับเชื่องลงเหมือนม้าลากรถ เจ้าชีวิตแห่งสยามประเทศยกพระบาทขึ้นเหยียบโกลนข้างหนึ่งแล้วหยัดพระวรกายขึ้นประทับบนอานม้าอย่างสง่างามไร้อาการต่อต้านของม้าที่เคยดุร้ายเสียงคนบนอัฒจันทร์ส่งเสียงตะโกนขึ้นเป็นเสียงเดียวกันว่า "บราโวส บราโวส" อันหมายถึงว่า "วิเศษที่สุด เก่งที่สุด ยอดที่สุด" ทรงกระตุ้นม้าให้ออกเดินเหยาะย่างไปโดยรอบสนาม ผ่านอัฒจันทร์ที่มีผู้คนคอยชม เปิดพระมาลารับเสียงตะโกนเฉลิมพระเกียรติบางคนก็โยนหมวก โดยมีดอกกุหลาบลงมาเกลื่อนสนามตลอดระยะทางที่ทรงเหยาะย่างม้าผ่านไปจนครบรอบ จึงเสด็จลงจากหลังม้ากลับขึ้นไปประทับบนพระที่นั่งตามเดิม

บรรดาพี่เลี้ยงม้าก็เข้ามาจูงม้านั้นออกไปจากสนาม คำพยากรณ์ข้อที่สองและคาถาที่พระปลัดเอี่ยมแห่งวัดโคนอนถวาย ได้สำริดผลประจักษ์แก่พระราชหฤทัย ทรงระลึกถึงพระปลัดเอี่ยมว่า เป็นผู้ที่จงรักภักดีโดยแท้จริง และได้ช่วยให้ทรงผ่านสถานการณ์อันเลวร้ายมาถึงสองครั้งสองครา และทั้งหมดนี้คือจุดเล็ก ๆ ในเกร็ดพระราชประวัติ เป็นปฐมเหตุแห่งพระบรมรูปทรงม้า หน้าพระราชวังดุสิต ที่เล่าขานกันต่อมาช้านาน และยังคงกึกก้องในโสตประสาทของปวงชนชาวไทยต่อไป ชั่วกาลปาวสาน

ที่มา.........................
http://board.palungjit.com/f4/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A1-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87-%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%96%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C-%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B9%88-%E0%B8%A3-5-a-44274.html





ความคิดเห็นที่ 1


ช่วยการอ่านให้จบแล้วจะรู้ว่า ประเทศนี้มัน.................จริงๆ ลอบกัดทั้งตัวมันเองไม่พอ.ยังหนุนสมุนมันมากัดเราอย่างทกวันนี้
โดยคุณ aeeclub เมื่อวันที่ 24/04/2011 11:43:55


ความคิดเห็นที่ 2


^^เคยได้ยินมาเหมือนกัน ครับ ว่าเป็นฝรั่ง ที่กะล่อน มากๆครับ


โดยคุณ pisit2012 เมื่อวันที่ 24/04/2011 12:03:43


ความคิดเห็นที่ 3


เรื่องนี้ฝรั่งเศสต้องจดจำไปชั่วลูกหลานเหลนโหลน

ว่ารสชาติของการที่ถูกชาติอื่นเข้ายึดครองมันเป็นเช่นไร


โดยคุณ chaisoi3 เมื่อวันที่ 24/04/2011 15:17:15


ความคิดเห็นที่ 4


ช้กรู้สึกชอบตาหนวดนี่ขึ้นมานิดๆแล้วเฮะ

โดยคุณ hinnoi เมื่อวันที่ 24/04/2011 17:08:54


ความคิดเห็นที่ 5


ชอบเหมือนกันเลยครับ  ตาหนวดคนนี้เข้าไปเหยียบย่ำได้ถึงที่เลย  หนำซ้ำยังถ่ายรูปเก็บไว้อีก 

โดยคุณ thorn009 เมื่อวันที่ 24/04/2011 20:03:40


ความคิดเห็นที่ 6


^^ ตาหนวดคือใครครับ

โดยคุณ pisit2012 เมื่อวันที่ 24/04/2011 22:44:32


ความคิดเห็นที่ 7


ลุงฮิตเลอร์ ดิ ไอดอล

โดยคุณ heroes เมื่อวันที่ 24/04/2011 23:44:03


ความคิดเห็นที่ 8


เอาเป็นว่า

ผมไม่โกรธพวกฝรั่งเศส หรอกครับ

แต่ผมจะไม่ลืมโดยเด็ดขาด

และจะสอนลูกสอนหลานในเรื่องนี้ด้วย เช่นกันครับ

 

โดยคุณ deedeedeedee เมื่อวันที่ 25/04/2011 01:56:39


ความคิดเห็นที่ 9


ผมเป็นคนหนึ่งที่แค้นฝังหุ่นฝรั่งเศษจนถึงทุกวันนี้ ผมจะพยายามเล่าเรื่องอับปรี จัญไร ที่มันทำไว้กับเราให้ลูกค้าผมฟังเสมอตลอดเวลาที่ว่างให้รู้ว่าไอ้ประเทศ เชี่ย เนี่ยมันทำอะไรกับเราไว้บ้าง ผมจะเกลียดมันจนวันตาย คนไทยเราส่วนใหญ่จะจงเกลียดจงชังแต่พม่า ว่าพม่ามาเผากรุงศรีเรา แต่หาได้เกลียดฝรั่งเศษไม่ พม่าแค่มาเผากรุงศรี เอาทองเราไป ฆ่าคนของเรา แต่ไม่ได้เอาแผ่นดินเราไป แต่ฝรั่งเศษ มันทั้งฆ่าทหารเราคนของเรา โขมยแผ่นดินไปตั้ง300,000 กว่าตารางกิโลเมตร แต่คนไทยเราส่วนใหญกลับไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย ชาติที่เราควรเกลียดให้เข้ากระดูกดำน่าจะเป็นฝรั่งเศสมากกว่าพม่า พม่าก็ตกที่นั่งเดียวกับเรามาก่อน เออเน๊อะ มันก็น่าแปลกใจดีเหอะๆๆ..

โดยคุณ champ thai army เมื่อวันที่ 25/04/2011 02:58:45


ความคิดเห็นที่ 10


เสริมเพิ่มเติมนิดนึงนะครับ พระปลัดเอี่ยม วัดโคนอน ภายหลัง ได้มาคลอง วัดหนัง และสร้างเหรียญ ติด 1 ใน 5 เบจภาคี พระเหรียญของเมืองไทย ทั้งยังสร้างพระปิดตา  ภควัมบดีที่ยอดนิยม อย่างมากของไทย นามของท่านคือ หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง

โดยคุณ PIZZi เมื่อวันที่ 25/04/2011 03:05:45


ความคิดเห็นที่ 11


ผมขอบคุณ จขกท.เป็นอย่างยิ่งที่นำมาโพสให้อ่านกันลูกหลานพวกเราทุกวันนี้อาจจะไม่รู้เรื่องจะได้ทราบว่าพระมหากษัตริย์ของเรายิ่งใหญ่เกรียงไกรขนาดใหน  ผมก็เข้าสู่วัยกลางคนแล้ว ได้อ่านเรื่องนี้หลายครั้งหลายครา  น้ำตาแห่งความเศร้าเสียใจไม่เคยเหือดแห้ง ไอ้ฝรั่งชาตินี้ผมไม่เคยลืมการกระทำของมัน เหตุการณ์เมื่อ ร.ศ.๑๒๒ มันไม่เคยลบไปจากความรู้สึก ความรู้สึกเกลียดชังมันยังฝังอยู่ในใจมิลืมเลือน ทุกวันนี้เห็นมันจุ้นไปทั่ว ลิเบียทุกวันนี้เป็นอย่างไร พวกเราก็คงทราบดี  ฝรั่งอีกประเทศหนึ่งที่มันคอยหยามเราก็ไอ้ฝรั่งที่อยู่ใกล้ๆเรา นี้อีกบรรพรุษของพวกนี้ก็คืออดีตนักโทษเก่า เจ้าฝรั่งชาตินี้ทุกวันนี้มันก็คอยซำเติมเราเหมือนกัน ระวังไว้ให้ดี ออสซี่ตัวแสบ

โดยคุณ dakdam เมื่อวันที่ 25/04/2011 04:11:04


ความคิดเห็นที่ 12


ขอบคุณครับ ที่นำ สิ่งดี ๆ มาให้ เยาวชนในบอร์ด อ่าน กันครับ

ผมจะนำบทความนี้ ไป เล่าให้ลูก  ฟัง ^^

โดยคุณ wanwa เมื่อวันที่ 26/04/2011 02:49:11