มีหน่วยงานและเอกสารสิ่งพิมพ์ จำนวนมาก มักระบุว่า กำเนิดการบินของประเทศไทย เมื่อครั้งมีฝรั่งเดินทางมาเยือนประเทศไทยครั้งแรก เมื่อปี 2454 ซึ่งจะทำให้ปีนี้ ครบรอบ 100 ปี แต่ความเป็นจริงไม่ใช่ครับ ปีใหม่คือ ๑ เมษายน การกำเนิดการบินจึงเป็นเดือนมกราคม ปี 2453 ส่วนมกราคม 2454 เราส่งคนไปเรียน ซึ่งกองทัพอากาศ เค้าแก้ประวัติศาสตร์ เป็น 2453 ไปตั้งนานนนนนนนนนนน แล้วครับ ฉนั้น ปี 2554 นี้ จึงครบ ๑๐๑ ปีครับ มิใช่ ๑๐๐ ปี
พุทธศักราช ๒๔๕๓
๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๓ วันขึ้นปีใหม่ไทย
๒๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๕๓ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๖ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์
พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๓ นาย Charles van den born (ชาร์ล ว็อง แด็ง บอร์น) นักบินชาวเบลเยี่ยม นำเครื่องบินปีกสองชั้นแบบ Henri Farman IV (อ็องรี ฟาร์ม็อง ๔) ชื่อ “Wanda” ทำการแสดงการบินเป็นครั้งแรกที่ไซ่ง่อน อินโดจีน (กองทัพอากาศได้สอบถามไปยังราชบัณฑิต และฝรั่งเศส แล้ว และประกาศใช้อย่างเป็นทางการ ครับ ชื่อการอ่านออกเสียง ที่ถูกต้อง ต้องเขียนแบบนี้ครับ)
๓๑ มกราคม พ .ศ. ๒๔๕๓ บริษัทการบินแห่งตะวันออกไกล (Societe d’Aviation d’Extreme Orient) โดยนายคาร์ล ออฟเฟอร์ (Karl Offer) ได้นำเครื่องบินปีกสองชั้นแบบ Henri Farman IV (อ็องรี ฟาร์ม็อง ๔) ชื่อ “Wanda” โดยมีนาย Charles van den born (ชาร์ล ว็อง แด็ง บอร์น) ชาวเบลเยี่ยม เป็นนักบิน ทำการแสดงการบินเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยการเก็บเงินค่าเข้าชมและโฆษณาขายเครื่องบินแบบนี้ในสยาม เป็นครั้งแรก ให้ชาวไทยได้รู้จักกับเครื่องบินที่สนามม้าสระปทุม (ราชกรีฑาสโมสร) โดยในวันแรกของการแสดงการบินในครั้งนี้ผู้จัดงานต้องการให้คนไทยขึ้นเครื่องบินเพื่อเก็บเงินนอกจากการเสียบัตรเข้าชมแล้ว ซึ่งทางฝ่ายไทย ได้คัดเลือกให้ พันตรี หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ (สุณี สุวรรณประทีป) เป็นคนสามัญชนคนไทยคนแรกขึ้นบินกับนักบินนายนี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าปลอดภัยดี หลังจากนั้นจึงมีคนไทยจำนวนมากซื้อบัตรราคา ๕๐ บาทเพื่อขึ้นทำการบินด้วยต่อหลายคน การแสดงการบินมีตั้งแต่วันที่ ๓๑ มกราคม จนถึง ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๓ และเนื่องจากได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นอย่างมาก จึงมีการแสดงการบินเพิ่มเติมอีก ๑ วัน ในวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๔๕๓
๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๓ ระหว่างที่มีการแสดงการบินที่สนามม้าสระปทุมในวันนี้ นายพลเอก พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิศณุโลกประชานาถ เสนาธิการทหารบก และ นายพลโท พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน ผู้รั้งจเรทหารช่าง ได้เสด็จขึ้นทำการบินกับนักบิน เบลเยี่ยม ด้วยและเหตุนี้จึงมีความปรารถนาที่จะให้มีเครื่องบินในประเทศไทยบ้าง
๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๕๓ Charles Van den Born ทำการแสดงการบินที่ฮ่องกง (ในช่วงเวลานี้ ต่างประเทศ นับเป็นปี ๒๔๕๔)
๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๔ วันขึ้นปีใหม่ไทย
ต้นปี พ.ศ.๒๔๕๔ อันเนื่องมาจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงทำนุบำรุงกิจการทหารในด้านการป้องกันประเทศอย่างจริงจังและกว้างขวางยิ่งขึ้น และภายหลังจากที่พลเอก พระบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช เสนาบดีกระทรวงกลาโหม เสด็จไปยุโรป ได้ทรงทราบข่าวว่าประเทศฝรั่งเศสกำลังปรับปรุงกิจการการทหารอย่างกว้างขวางกว่าประเทศอื่นๆ เมื่อเสด็จกลับมาแล้วได้ทรงปรึกษากับ พลเอก สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิศณุโลกประชานารถ ถึงความจำเป็นต้องมีเครื่องบินไว้ใช้ป้องกันประเทศเหมือนอารยะประเทศ ที่เขากำลังเร่งดำเนินการอยู่ ด้วยเหตุเหล่านี้ กระทรวงกลาโหมจึงได้ดำริจะจัดตั้งกิจการบินขึ้นเป็นแผนกหนึ่งของกองทัพบก ตั้งแต่นั้นมาและได้ทำการคัดเลือกผู้ที่สมัครไปศึกษาวิชาการบิน ณ ประเทศฝรั่งเศส
๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๔ กระทรวงกลาโหมออกคำสั่งที่ ๒๑๑/๒๑๗๑๕ เพื่อให้นายทหารสามนาย ภายหลังจากที่คัดเลือกแล้วไปเข้าเรียนโรงเรียนการบินและศึกษาวิชาการบินและการช่างอากาศในประเทศฝรั่งเศส โดยมี นายพลโท กรมหมื่นกำแพงเพ็ชร์อัครโยธิน ผู้รั้งจเรทหารช่าง เป็นผู้จัดส่งนายทหารเพื่อไปศึกษา ประกอบด้วย
๑.นายพันตรี หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ (สุณี สุวรรณประทีป) ผู้บังคับการกองพันพิเศษ กองพลที่ ๕
๒.นายร้อยเอก หลวงอาวุธสิขิกร (หลง สินศุข) ผู้รั้งผู้บังคับการกองพันพิเศษ กองพลที่ ๙
๓.นายร้อยโท ทิพย์ เกตุทัต ผู้บังคับกองร้อยที่ ๓ โรงเรียนนายร้อยชั้นมัธยม
๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๔ นายทหารทั้งสามออกเดินทางจากประเทศไทยด้วยเรือนวนตุง ไปลงเรือ Ernest Simon ที่สิงคโปร์ พร้อมกับ หม่อมเจ้าไตรทศประพันธ์ (พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นเทววงศ์วโรทัย เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ) ซึ่งจะเสด็จออกไปทรงรับตำแหน่งอัคราชทูตพิเศษประจำกรุงวอชิงตัน ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา
๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ นายทหารทั้งสามท่านเดินทางถึงกรุงปารีส ของฝรั่งเศส โดยมี นายพลโท หม่อมเจ้าบวรเดช อัคราชทูตพิเศษประจำกรุงปารีส เสด็จมารอรับที่สถานีรถไฟ และจัดการหาที่พัก พร้อมจ้างครูฝรั่งเศสมาสอนภาษาให้
๑๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๕๔ นายแพทย์ฝรั่งเศสตรวจร่างกาย ๓ นายทหารไทย ปรากฏว่ามีร่างกายแข่งแรงสมบูรณ์ พร้อมเข้ารับการศึกษาวิชาการบิน โดย นายร้อยเอกหลวงอาวุธสิขิกร และนายร้อยโททิพย์ เกตุทัต เข้ารับการศึกษาในโรงเรียนการบินของบริษัทนิเออปอร์ต ส่วนนายพันตรีหลวงศักดิ์ศัลยาวุธ เข้ารับการศึกษาในโรงเรียนการบินที่ตำบลวิลลา ดูเบลย์
๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๕ วันขึ้นปีใหม่ไทย
๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๕ พันตรี หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ,ร้อยเอก หลวงอาวุธสิขิกรและร้อยโท ทิพย์ เกตุทัต ภายหลังเดินทางมาถึงฝรั่งเศส ได้เริ่มเรียนภาษาฝรั่งเศส พร้อมกับเข้าฝึกในโรงเรียนการบินทั้งทางทหารและพลเรือน ในเมืองวิลลาคูเบล์ย และมูรเมอลอง
๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๕๕ นายพันตรี หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ ได้เริ่มการศึกษาและฝึกการบินหลักสูตรของสโมสรการบินพลเรือนฝรั่งเศส ด้วยเครื่องบินเบร์เกต์ ชนิดปีก ๒ ชั้น ที่สนามบินตำบลวิลลาคูเบลย์ ส่วน นายพันตรี หลวงอาวุธสิขิกร (ได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็น พันตรี เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๕ ) ได้เริ่มการศึกษาและฝึกการบินด้วยเครื่องบินนิเออร์ปอร์ต ชนิดปีกชั้นเดียว ที่สนามบินตำบลมูลเมอะลอง เลอะกรังค์
๒๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๕๕ นายร้อยเอก ทิพย์ เกตุทัต (ได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็น ร้อยเอก เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๕ ) ได้เริ่มการศึกษาและฝึกการบินด้วยเครื่องบินนิเออร์ปอร์ต ชนิดปีก ชั้นเดียว ที่สนามบินตำบลมูลเมอะลอง เลอะกรังค์
๑๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๕๕ ในระหว่างการฝึกบินของ นายพันตรีหลวงอาวุธสิขิกรที่ประเทศฝรั่งเศส ปรากฏว่าเครื่องบินได้แฉลบตกลงในระยะสูงประมาณ ๑๕ เมตร นายพันตรีหลวงอาวุธสิขิกร ได้รับบาดเจ็บที่นิ้วกลางมือขวาถูกหลอดแก้วสำหรับตรวจน้ำมันบาดขาดไปถึงโคนเล็บ ต้องพักรักษาตัวอยู่หลายวัน
๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๕ นายพันตรี หลวงศักดิ์ ศัลยาวุธ สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรของสโมสรการบินฝรั่งเศส ณ สนามบินตำบลวิลลาคูเบลย์ ซึ่งถือเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับการฝึกบินและทำการบินเครื่องบิน และเป็นนักบินอย่างสมบูรณ์แบบ
ตุลาคม พ.ศ.๒๔๕๕ มีการจัดการแสดงการบินและประกวดเครื่องบินแบบต่าง ๆ ทั้งของชาวฝรั่งเศส และชาวต่างชาติ ณ กรุงปารีส นายทหารทั้งสามท่านจึงได้มีโอกาสเห็นความก้าวหน้าทางเครื่องบินและเครื่องอุปกรณ์การบินต่าง ๆ มากมาย
พ.ศ. ๒๔๕๕ ขณะที่นายทหารทั้งสามท่านที่ถูกส่งไปเรียนวิชาการบินอยู่นั้น กระทรวงกลาโหมได้สั่งซื้อเครื่องบินเพื่อนำกลับมาใช้ในกิจการทางทหารของไทยเป็นชุดแรกจำนวน ๔ เครื่อง**ประกอบด้วย
๑. นิเออร์ปอร์ต (Nieuport IIN) ชนิดปีกชั้นเดียวใช้เครื่องยนต์ โนม ๕๐ แรงม้า ๒ เครื่อง
๒. นิเออร์ปอร์ต (Nieuport IVG) ชนิดปีกชั้นเดียวใช้เครื่องยนต์ โนม ๒๘ แรงม้า ๑ เครื่อง
๓. เบร์เกต์ ๓ (Breguet III) ชนิดปีกสองชั้นใช้เครื่องยนต์โนม ๗๐ แรงม้า ๑ เครื่อง
(** หมายเหตุของผู้รวบรวม…."เอกสารและหนังสือหลายฉบับทั้งของไทยและต่างประเทศรวมทั้งของกองทัพอากาศไทยระบุว่า การจัดซื้อเครื่องบินครั้งแรกในประเทศไทยจัดซื้อพร้อมกันทั้งหมด ๗ เครื่องและ เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ซื้อให้อีก ๑ เครื่อง แต่ในบันทึกของกรมสารบรรณกองทัพอากาศในหนังสือ "ตำนานกองทัพอากาศ ประจำปีพุทธศักราช ๒๔๕๔ - ๒๔๖๓" ที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ของกองทัพอากาศ ระบุว่าจัดซื้อสองครั้ง ดังรายละเอียดที่กล่าว" )
๒๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๕๕ ร้อยเอก ทิพย์ เกตุทัต ประสบอุบัติเหตุขณะฝึกการบินเมื่อเครื่องบินชนกันกลางอากาศที่ระยะสูง ๓๐ เมตร ได้รับบาดเจ็บต้องเข้ารับการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเมืองแวร์ชายส์ เป็นเวลา ๓ เดือนเศษ แต่อย่างไรก็ตามท่านก็สามารถเข้าศึกษาวิชาการบินต่อจนจบหลักสูตรในวันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๖
๕ มกราคม พ.ศ.๒๔๕๕ นายพันตรี หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ พร้อมด้วย นายพันตรี หลวงอาวุธสิขิกร ได้เดินทางไปเบอรลิน เพื่อตรวจรับเครื่องโทรศัพท์ที่กระทรวงกลาโหมสั่งซื้อจากประเทศเยอรมนี ทั้งสองท่านเดินทางถึงกรุงเบอรลินในวันที่ ๖ มกราคม จากนั้นได้ถือโอกาสไปชมโรงงานสร้างเครื่องบินและโรงเรียนการบินของบริษัทแห่งหนึ่ง ในประเทศเยอรมนี จากนั้นจึงเดินทางกลับกรุงปารีส ในวันที่ ๒๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๕๕
๒๙ มีนาคม พ.ศ.๒๔๕๕ นายพันตรี หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ ได้ไปดูการแข่งขันเครื่องบินน้ำที่รัฐโมนาโค และเดินทางกลับกรุงปารีส ในวันที่ ๑๙ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๖
๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๖ วันขึ้นปีใหม่ไทย
๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๖ นายร้อยเอก ทิพย์ เกตุทัต สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรของสโมสรการบินพลเรือนแห่งประเทศฝรั่งเศส
๑๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๕๖ รัฐบาลไทย จัดให้นายทหารทั้งสามท่านไปดูกิจการบินทหารที่ประเทศอังกฤษ ในความอำนวยการของ นายพันเอก พระสารสาสน์พลขันธ์ (เยรินี)
๒๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๕๖ นายพันโท หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ สำเร็จวิชาการบินหลักสูตรการบินไกลระยะทาง ๒๐๐ กิโลเมตร ของกองทัพบกฝรั่งเศส (ได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็น พันโท เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ )
๓๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๕๖ นายพันโท หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ สอบการบินรูปทรงสามเหลี่ยมในระยะทาง ๓๐๐ กิโลเมตร และการบินเพดานบินสูงในคราวเดียวกัน แต่ขณะทำการบินเครื่องยนต์เกิดขัดข้องเนื่องจากก้านสูบขาด จำต้องลงโดยความจำเป็น และเมื่อแก้ไขแล้วจึงได้วิ่งขึ้นไปใหม่ แต่ยังไม่ทันได้ระยะสูงก็ต้องเลี้ยวหลบยอดไม้ เครื่องเสียการทรงตัวจึงแฉลบตกลงมาชำรุด นายพันโทหลวงศักดิ์ศัลยาวุธ ปลอดภัย การสอบจึงเลื่อนออกไปก่อน
๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๖ นายพันโท หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ สำเร็จการศึกษาการบินตามหลักสูตรของกองทัพบกฝรั่งเศส
๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๖ นายพันตรี หลวงอาวุธสิขิกร สำเร็จการศึกษาการบินตามหลักสูตรของสโมสรการบินฝรั่งเศส
มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๖ กระทรวงกลาโหมได้ทำการสั่งซื้อเครื่องบินเพิ่มอีก ๓ เครื่องเป็นรุ่นที่สอง หลังจากที่ซื้อมาแล้วครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. ๒๔๕๕ รวมทั้งในครั้งนี้ได้มีการจัดซื้อเครื่องยนต์เปล่าอีกหลายเครื่องเพื่อนำไปเป็นเครื่องยนต์สำรองด้วย ในครั้งที่สองนี้มีการซื้อเครื่องบินประกอบด้วย
๑. นิเออร์ปอร์ต (Nieuport IVG) ชนิดปีกชั้นเดียวใช้เครื่องยนต์ โนม ๒๘ แรงม้า ๑ เครื่อง
๒. เบร์เกต์ ๓ (Breguet III) ชนิดปีกสองชั้นใช้เครื่องยนต์ซัมป์ซองคองตองอุนเน ๑๓๐ แรงม้า
๑ เครื่อง
๓. เบร์เกต์ ๓ (Breguet III) ชนิดปีกสองชั้นรุ่นใช้เครื่องยนต์โนม ๕๐ แรงม้า ๑ เครื่อง
ในการจัดซื้อครั้งที่สองนี้ เจ้าพระยาอภัยภูเบศ ฝากกระทรวงกลาโหมซื้อ**เครื่องบินหนึ่งเครื่อง ซึ่งภายหลังได้น้อมเกล้าฯถวาย พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว (ในวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๗ ) ซึ่งได้พระราชทานให้กระทรวงกลาโหมนำไปใช้ราชการในกิจการแผนกการบิน คือ
๑.เบร์เกต์ ๓ ชนิดปีกสองชั้นรุ่นใช้เครื่องยนต์โนม ๑๐๐ แรงม้า ๑ เครื่อง
(** หมายเหตุของผู้รวบรวม…."บันทึกของกรมสารบรรณกองทัพอากาศในหนังสือ "ตำนานกองทัพอากาศ ประจำปีพุทธศักราช ๒๔๕๔ - ๒๔๖๓" ที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ของกองทัพอากาศ ระบุว่าจัดซื้อครั้งที่สองนั้น เจ้าพระยาอภัยภูเบศ ฝากกระทรวงกลาโหมซื้อ มิได้ระบุว่าซื้อให้กระทรวงกลาโหม" )
๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๔๖ ๓ เดือนเศษ ภายหลังจากนายพันโท หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ,พันตรี หลวงอาวุธสิขิกรและร้อยเอก ทิพย์ เกตุทัต จบวิชาการบินแต่ยังอาศัยอยู่ในฝรั่งเศส เพื่อเดินทางไปดูงานการบิน และตรวจรับเครื่องบินที่กระทรวงกลาโหมสั่งซื้อ ในวันนี้ได้เดินทางออกจากฝรั่งเศส โดยตลอดการเดินทาง ทั้งสามท่านยังได้แวะดูงานการบินในเยอรมนี รัสเซีย ไซบีเรีย และญี่ปุ่น
๑๕ กันยายน พ.ศ.๒๔๕๖ นายพันโท หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ,พันตรี หลวงอาวุธสิขิกรและร้อยเอก ทิพย์ เกตุทัต แวะดูงานการบินรัสเซีย ที่กรุงเปโตรกราก นครหลวงของรัสเซีย และได้ไปดูเครื่องบินและอากาศนาวาที่กัตชินา
๒๔ กันยายน พ.ศ.๒๔๕๖ นายพันโท หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ,พันตรี หลวงอาวุธสิขิกรและร้อยเอก ทิพย์ เกตุทัต แวะดูงานการบินที่สนามบินคอร์ปปุสนี
๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๖ นายพันโท หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ,พันตรี หลวงอาวุธสิขิกรและร้อยเอก ทิพย์ เกตุทัต เดินทางกลับถึงประเทศไทย ภายหลังทั้งสามท่านดูงานกิจการ ด้านการบินต่างๆผ่านทางประเทศเยอรมนี รัสเซีย ไซบีเรีย กรุงโตเกียว เซี้ยงไฮ้ และไซ่ง่อน
ธันวาคม พ.ศ.๒๔๕๖ เครื่องบินซึ่งกระทรวงกลาโหม สั่งซื้อชุดแรก เดินทางมากรุงเทพ ประกอบด้วย
นิเออร์ปอร์ต (Nieuport IVG) ชนิดปีกชั้นเดียวใช้เครื่องยนต์ โนม ๒๘ แรงม้า ๑ เครื่อง
เบร์เกต์ ๓ (Breguet III) ชนิดปีกสองชั้นใช้เครื่องยนต์ซัมป์ซองคองตองอุนเน ๑๓๐ แรงม้า ๑ เครื่อง
เบร์เกต์ ๓ (Breguet III) ชนิดปีกสองชั้นรุ่นใช้เครื่องยนต์โนม ๕๐ แรงม้า ๑ เครื่อง
ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ กระทรวงกลาโหมออกคำสั่งให้ตั้ง "แผนกการบิน" ขึ้นอยู่ในบังคับบัญชาของ พลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชร์อัครโยธิน จเรช่างทหารบก โดยมีที่ตั้งอยู่ที่สนามบินชั่วคราว สนามราชกรีฑาสโมสร ตำบลประทุมวัน ( โดยมีการจัดส่วนราชการดังนี้)
๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ ได้มีการทดลองทำการบินเป็นครั้งแรกด้วยนักบินไทยและเครื่องบินของไทย โดยมีจอมพล สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธ์วงศ์วรเดช จเรทหารบกและจเรทหารเรือ พร้อมด้วยพลเอก สมเด็จกรมหลวงพิศณุโลกประชานารถ เสนาธิการทหารบก เสด็จมาประทับทอดพระเนตร โดยมีข้าราชการฝ่ายทหารและพลเรือน ตลอดจนประชาชนคนไทยเขามาชมเป็นจำนวนมาก การบินในวันนี้ได้มีการทดลองบินเครื่องบินแบบนิเออปอร์ต ปีกชั้นเดียว จำนวน ๓ เครื่อง ใช้เครื่องยนต์โนม ๕๐ แรงม้า ๒ เครื่อง และรุ่นใช้เครื่องยนต์ ๒๘ แรงม้า ๑ เครื่อง โดยมีรายงานในหนังสือพิมพ์กล่าวถึงการบินในวันนี้ว่า (คัดลอกจากหนังสืออนุสรณ์เฉลิมอากาศ ๒๔๙๙ หน้า ๑๙–๒๑โดยใช้ภาษาและข้อความเดิม)
“..ณ เวลา ๗.๓๐ นาฬิกาเครื่องยนตร์ของเครื่องบินลำแรกได้ติดขึ้น และเครื่องบินลำนั้นก็แล่นออกไปข้างหน้า คนดูพากันโห่ร้อง เมื่อเครื่องบิน บินขึ้นไปในอากาศ และบินข้ามสนามกอล์ฟไปอย่างรวดเร็ว เครื่องบินลำนั้นเลี้ยวที่ศาลาแดง และนักบินก็บินเวียนสนามกอล์ฟและบินข้ามไปลงดิน เครื่องกีดขวางในสนามกอล์ฟนั้นน่ากลัวอยู่ แต่นักบินก็สามารถเลือกที่ลงได้ และเมื่อตอนที่เครื่องบินร่อนลงสู่พื้นดินนั้น เสียงเครื่องยนตร์ก็เบาลงจนเงียบ เครื่องบินลำที่สองบินขึ้นสู่อากาศและบินข้ามโรงเรียนพลตำรวจไป แล้วก็เลี้ยวขวาบินหักมุมโค้งอย่างกว้างไปทางศาลาแดง ก่อนที่จะบินกลับมาลงสนาม ต่อมาลำที่สามก็บินขึ้นไปโดยไม่มีเหตุขัดข้องใดๆ ในการร่อนลงซึ่งนับว่าทำยากที่สุดนั้น ก็มิได้มีเหตุร้ายอันใดเกิดขึ้น..”
เมื่อลำที่สามลงสู้พื้นดินเรียบร้อยแล้ว นายพันโท หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ จะขึ้นบินให้ดูอีกครั้งหนึ่ง ท่านขึ้นนั่งประจำบนเครื่องบินแบบเบรเกต์ปีกสองชั้น พอบังคับเครื่องบินแล่นข้ามสนามไปได้ เครื่องยนต์เกิดขัดข้อง จึงไม่อาจนำเครื่องบินเครื่องนั้นขึ้นบินได้ตามประสงค์
การบินในวันนั้น นายพันโท หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ และนายทหารคู่ใจทั้งสองท่านแสดงการบินได้เป็นอย่างดี ผู้ที่ได้ชมในวันนั้น ต่างมีความพอใจ และกล่าวชมเชยความสามารถของนักบินทั้งสาม อยู่ทั่วกัน เพราะการบินในสมัยนั้นเป็นการเสี่ยงภยันอันตรายอยู่นักหนา ถึงแม้คนสมัยนี้จะยิ้มเยอะว่าเป็นเรื่องตลกขบขัน แต่คนไทยที่สามารถบินได้ในสมัยนั้นย่อมเป็นผู้กล้าหาญ สมควรแก่เกียรติประวัติอันน่าสรรเสริญ การบินยังคงดำเนินต่อไปอีก ๑ วัน ในวันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๕๖
๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปยังโรงเก็บเครื่องบินและได้เสด็จทอดพระเนตรการบิน ซึ่งนายทหารนักบินทั้งสามท่าน ก็ได้ขึ้นทำการบินแสดงการบินถวายตัวและบินโปรยกระดาษถวายพระพรชัยมงคล เสร็จการบินแล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเหรียญดุษฎีมาลาเข็มศิลปวิทยา แก่ พันโท หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ ในการนี้ก็มีเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ข้าราชการ และประชาชนมาร่วมเฝ้าเสด็จและชมการแสดงการบินในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน (ปัจจุบันได้กำหนดให้วันนี้เป็น" วันการบินแห่งชาติ " )
๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๕๖ นายพันโทหลวงศักดิ์ศัลยวุธ นายพันตรีหลวงอาวุธสิขิกร และนายร้อยเอกทิพย์ เกตุทัตย์ ได้ขึ้นเครื่องบินขับไปยังจังหวัดนครปฐม เพื่อไปถวายตัวแด่ พระบาทสมเด็จพระมงกถฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งสนามจันทร์
ยาวนานเหมือนกันครับ ประมาณร้อยปี
ท่านท้าวครับ สมัยก่อนไทยเราเคยผลิตเครื่องบินได้ก่อน จีน อินเดีย ญี่ปุ่น หรือ เปล่าครับ และเครื่องบินลำนั้น ใช่ นางสาวสยาม หรือเปล่าครับ ขอขอบคุณล่วงหน้าเลย
ไม่ใช่นางสาวสยามครับ (เป็นเครื่องพลเรือน ซื้อจากต่างประเทศ) สำหรับเครื่องบินที่เราสร้างเองได้แบบแรกนั้น เท่าที่จำไม่ผิดจะเป็นการ licenced-built ของเครื่องแบบ Nieuport (ไม่ทราบรุ่น) แต่ถ้าเครื่องบินที่เราออกแบบและสร้างเอง ก็คือเครื่องบินแบบบริพัตร (Boripatra) ครับผม