สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องมาที่อ่านมา เล่าต่อๆกันฟังให้ผู้สนใจและก็ผู้ที่รู้แล้ว ก็สามารถอ่านและเสนอความคิดเห็นกันได้ ครับ
วันนี้ก็มากล่าวถึง รถถัง Tank กันครับ แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องงบประมาณจัดซื้อนู้นนี้นะครับ ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับ
เกราะของรถถัง Armor plate พอผมพูดถึงเกราะก็นึกถึง Depleted Uranium (DU) กันทันที
ไอ้เจ้า Depleted Uranium (DU) เนี้ย มีความหนาแน่นถึง 19050 kg/m³ ง่ายๆก็คือมันหนาแน่นกว่าน้ำ 19 เท่า ( น้ำ 1000 หรือเทียบกับ คอนกรีต 2400 kg/m³ คอนกรีต 1 ลูกบาศก์เมตรหนัก 2.4 ตัน แต่เจ้า DU 1 ลบ.ม.หนักถึง 19 ตัน
ก่อนจะไปรู้จัก Chabham Armour มารู้ความเป็นประวัติ กำเนิดของเกราะรถถังกันก่อนครับ
ในปี ค.ศ. 1918 นาย Neville Monroe Hopkins วิจัยค้นพบ Ballistic steel ซึ่งเป็นโลหะที่มีความแข็งแกร่งสูง มาเคลือบบางๆ 1-2 มิลลิเมตร เพื่อป้องกันการเจาะทะลุ พอมาถึงยุคปี 1960 อเมริกาก็ได้มีโปรแกรมการวิจัยเกราะยานยนต์โดยวัสดุผสมระหว่างเซรามิคกับโลหะ ในการวิจัยนี้ มุ่งไปที่อลูมิเนียมโครงสร้างผลึกเมทริกส์ (โลหะ) กับเสริมแรงโดย ซิลิกอน คาร์ไบด์( เซรามิค) นำไปประกบเหมือนแซนวิส กับโลหะเหล็ก และก็ใช้ประโยชน์จากความลาดเอียงของเกราะ เพื่อป้องกันการกระสุน Kinetic Energy Penetration (KE) และ high explosive anti-tank (HEAT) และมีการเลือกใช้วัสดุประเภทไฟเบอร์กลาสมาเคลือบแซนวิสกับเหล็ก เหมือนกับทางรัสเซีย ในยุค T-64 อเมริกาได้ทราบข้อมูลเมื่อถูกเปิดเผยหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย
และในแต่ละประเทศต่างๆ ก็เริ่มพัฒนาเกราะของตนเอง
1960 อังกฤษก็พัฒนาเกราะเช่นเดียวกัน โดยทีมวิจัย Gilbert Harvey โดยมุ่งเน้นไปที่วัสดุเซรามิคโครงสร้างผลึกรังผึ้ง ผสม Ballistic ไนลอน
ในปี 1973 ขณะที่โครงการ MBT-70 ของเยอรมันยังคงไม่สำเร็จ อเมริกาก็ได้วิจัยต่อยอดไปเป็นเกราะรุ่นใหม่สำหรับรถถังต้นแบบ XM815 และพัฒนารุ่นต่อไปๆ เพื่อต้านทานต่ออาวุธของรัสเซียที่พัฒนามาสู้กับเกราะรุ่นใหม่ๆ
ในปี 1974 อเมริกาและเยอรมันได้ร่วมกันวิจัยเกราะ Chobham Armour เพื่อเป็นเสนอตัวเลือกเกราะของรถถังหลัก มีการเสนอโดยการเติมเซรามิค โพลี-สตาลีนโฟม ในช่องว่างระหว่างลามิเนตหลายช่องในโครงสร้างของเกราะ
เข้ามาปาดแล้วรออ่าน ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับข้อมูลครับท่าน Troll
ภายหลังได้มีการพัฒนาเปลี่ยนวัสดุมาเรื่อยๆ เพราะว่าอำนาจการเกราะของอาวุธและระบบอาวุธนั้นดีมากขึ้น เช่น แผ่นโบรอน-คาไบด์และเรซินกลาส ทังสเตนอัลลอยในชาแลนเจอร์2 Depleted Uranium (DU) ใน M1 Abrams และอีกตัวคือ Titanium Carbide Modulas
ขอนอกเรื่องแปปหนึ่งครับ เห็นรายการนักช๊อป ตัวยง เลือก M1ไปใช้ แต่ อเมริกา เขาดาว์นเกรด โดยการตัด DU Armour ทิ้งออกหมดไม่ว่าจะเป็น
ออสเตรียเลีย 59 คัน อิยิปต์ 1005 คัน อิรักที่จะ นำมาประจำการ 140 คัน คูเวต 218 คัน ซาอุดิอาระเบีย 374 คัน
การพัฒนาเกราะ ในอังกฤษเกิดความล่าช้าเพราะเนื่องมากจากการล้มเหลวของโปรเจคหลายๆครั้ง จึงร่วมกับเยอรมันในโครงการรถถังหลัก และอังกฤษได้เน้นพัฒนาเกราะในยานยนต์ประเภท IFV ทำให้ยานเกราะมีขนาดเบากว่าเดิม 10 เปอร์เซนต์จากการป้องกันระดับเดียวกัน
ได้พัฒนาเกราะใน รถถัง FV 4211 และได้พัฒนาระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนโปรเจคถูกยกเลิกไป แต่รัฐบาลอินหร่านตัดสินใจซื้ออัพเกรด Shir-2 (FV 4030/3) ซึ่งใช้เทคโนโลยี Chobham ซึ่งมีน้ำหนักรวมทั้งสิ้น 62 ตัน แต่ยูกยกเลิกไปเพราะว่า เกิดปฎิวัติในอิหร่าน ภายใต้แรงกดดันจาก รัสเซีย ทำให้อังกฤษใช้กำลังการผลิตที่เกินมาส่วนนี้ ออกแบบ มาเป็น ชาเลนเจอร์ 1 ประจำการ 1983
Chobham Armour เวอร์ชั่นสุดท้ายในชาแลนเจอร์2 หรือเกราะรุ่นนี้ถูกเรียกว่า Dorchester armour แต่ Chobham Armour ในตระกูล M1 Abrams ต่างกัน วัสดุภายในเกราะ ใน M1 Abrams เป็นซิลิกอนคาร์ไบด์ และดูเหมือนจะได้ติดตั้งแผ่นอลูมิน่าและDU และยังไงเทคโนโลยีของเกราะยังคงถูกเปิดเป็นความลับ โลหะที่ผสม และสัดส่วน ต่างๆ เพื่อคุณสมบัติการต่อต้านการเจาะ
ซิลิกอน คาร์ไบด์ ...
M1A1 Abrams ระดับความของเกราะ ในปี 1991 | ||
---|---|---|
ในสงครามอ่าว 1991
|
ต้านการปะทะ KE
|
ต้านการปะทะ HEAT
|
ป้อม |
600 - 680 มม. RHAe
|
1,080 - 1,320 มม.RHAe
|
ส่วนหน้า |
560 - 590 มม.RHAe
|
510 - 800 มม.RHAe
|
ตัวถัง |
580 - 630 มม. RHAe
|
800 - 900 มม.RHAe
|
* RHAe คือ กระบวนการรีดร้อนเหล็ก เพื่อปรับปรุงคุณภาพ จากกระบวนการนี้ทำให้โครงสร้างเหล็กมี Gainที่ยาวและละเอียด มีผลทำให้กำลังวัสดุลดลง แต่ได้ความเหนียวเพิ่มขึ้น พอดีจบวิศวมาก็พอมีความรู้นิดหน่อย
M1A1 Abrams - ระดับความป้องกันของเกราะ ปี 2002 | ||
---|---|---|
M1A1HC, M1A1HA, M1A1D
|
ต้านการปะทะ KE |
ต้านการปะทะ HEAT
|
ป้อม |
800 - 900มม. RHAe
|
1,320 - 1,620 มม. RHAe
|
ส่วนหน้า |
560 - 590มม. RHAe
|
510 - 1,050 มม. RHAe
|
ตัวถัง |
580 - 650มม. RHAe
|
800 - 970 มม. RHAe
|
ทั้งสองแบบ มี Depleted Uranium DU อยู่ด้วย
ในเมื่อมีเกราะที่หนา การเจาะก็ต้องการ กระสุนที่มีอำนาจการเจาะมากขึ้นตามลำดับ
สำหรับ M1 Abrams ปิน 120มม. M256 ที่สามารถยิง M829A1,A2,A3 APFSDS-T (Armor Piercing, Fin Stabilized Sabot and Tracer) M830 High Explosive Anti-Tank (HEAT)
งั้นมาดูของรัสเซียคราวๆ แม้ไม่ได้ พูดถึงฝ่ายรัสเซียเลย - - ซักนิด ไม่ได้เอียงเอน แต่ไม่มีเวลาพิมพ์จริงๆ
จัดตัวเด่นพี่แกเลย T-90
T-90S - ระดับความป้องกัน | ||
---|---|---|
T-90S + Kontakt-5 ERA
|
ต้านการปะทะ KE |
ต้านการปะทะ HEAT
|
ป้อม |
750 - 920 มม.RHAe
|
1050 -1340 มม.RHAe
|
ส่วนหน้า |
670 - 710 มม.RHAe
|
990 - 1070 มม.RHAe
|
ตัวถัง |
240 มม.RHAe
|
380 มม.RHAe
|
ที่เด็ดก็น่าจะอยู่ที่ เกราะ ERA เริ่มวิจัยโดยชาวเยอรมัน โดยติดตั้งแผ่นพื้นวัตถุระเบิดโดยติดแซนวิสกับชั้นเหล็ก เมื่อหัวกระสุนยิงเข้ากระทบที่เกราะ เกิดระเบิดแผ่นโลหะผลักออกเพื่อสร้างความเสียหายแก่หัวเจาะ ....
T-72 ติด ERA
เกราะเสริม ERA นับว่าใช้ได้ผลดีในช่วงสงครามระหว่างอิสราเอลกับชาติอาหรับช่วงปีทศวรรษที่ 80 ครับ
แต่พัฒนาการของจรวดต่อสู้รถถังยุคใหม่ในทศวรรษที่ 90 ทำให้เกราะเสริม ERA ถูกท้าทายมากขึ้น
เนื่องจากได้มีการพัฒนาหัวรบเจาะเกราะ 2 ชั้น / โจมตีจากด้านบน ซึงเป็นจุดอ่อนของรถถัง
ตัวอย่างในกรณ๊สงครามกลางเมืองในอดีตยูโกสลาเวีย รถถัง M-84 (T-72 v Yugo) ถูกทำลายลงเป็นจำนวนมากจากการยิงของ อาวุธนำวิถี HJ-8 ของจีน ด้วยการยิงเพียงครั้งเดียว แม้แต่มุมด้านหน้าของรถถัง
ส่วนเหตุเหตุการณ์อื่นๆ เช่นในเชคเชน ในอีรัก ในเลบานอนที่กล่าวถึง Kornet-E, RPG-29 ที่มีหัวรบเจาะเกราะ 2 หัวรบ ตามบทความของ
พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ ตาม link คับ
เกราะยูเรเนี่ยมของM1A1มีปัญหารุนแรงกับทหารประจำรถถัง ที่โดนกัมนตรังสีที่ยังคงมีตกค้างในกากยูเรเนี่ยมที่เอามาทำเกราะรถถังM1จากรายงานข่าวที่เคยติดตามมีผู้เป็นมะเร้งจำนวนมากในทหารอเมริกันที่ไปรบที่อิรักก็ด้วยซึ่งต้องอยุ่ในรถถังเป็นเวลานาน มันจึงเป็นเกราะที่น่ากลัวต่อผู้ใช้มากที่สุด