เจาะลึกกองทัพพม่าที่ดูแข็งกร้าว แท้จริงไร้ประสิทธิภาพ
โดย : สำนักข่าว S.H.A.N (24/10/2006 01:39 PM)
เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2549 ที่ผ่านมา เอเซียนไทม์ออนไลน์ ได้ตีแผ่บทวิเคราะห์ที่เขียนโดย คลิฟอร์ด แมคคอย ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารที่เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของกองทัพพม่า โดยระบุว่า แม้ว่าที่ผ่านมากองทัพพม่าได้มีการสั่งซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่จากหลายประเทศเพื่อนำมาเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกองทัพของตนอย่างต่อเนื่องก็ตาม แต่ในการสู้รบกับกองกำลังต่อต้านทุกครั้งที่ผ่านมาไม่ปรากฏเห็นว่ามีการนำอาวุธเหล่านั้นออกมาใช้ โดยอาวุธหลักที่นำมาใช้ก็จะเป็นแบบเดิมๆ เช่นปืนค. 120 มม. เป็นส่วนใหญ่
บทวิเคราะห์ระบุว่า ตลอดช่วงหลายปีมานี้ กองทัพพม่าได้จัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ชนิดต่างๆ จากหลายประเทศ โดยกองทัพบกได้จัดซื้อรถถัง จากประเทศยูเครนแบบ ที-52 จำนวน 50 ลำ รถหุ้มเกราะแบบ BTR-3 U จำนวน 1,000 ลำ ขณะที่จีนได้ขายรถหุ้มเกราะแบบ T-85 และ T-90 ให้อีกรวมกว่า 300 ลำ นอกจากนี้กองทัพพม่ายังได้ซื้อรถถังชนิดต่างๆ จากทั้งยูเครนและจีนอีกด้วยซึ่งได้แก่ รถถังแบบ T-6911, T-59 D, T-80, T-85 รวมทั้งสิ้น 200 ลำ และ T-63 อีก 105 ลำ
ขณะเดียวกันกองทัพบกพม่าได้ซื้อปืนใหญ่หลายแบบจากหลายประเทศเช่นเดียวกัน โดยที่ซื้อจากจีนได้แก่ปืนใหญ่ขนาด 155 มม. แบบ MW52 รวมทั้งขนาด 122 มม. แบบ T34 รวม 100 กระบอก และขนาด 155 มม. แบบ T63 อีก 30 กระบอก ส่วนที่ซื้อจากอิสลาเอล ได้แก่ขนาด 155 แบบ Solton 16 กระบอก จากเกาหลีเหนือขนาด 130 มม. แบบ T59 16 กระบอก และจากอินเดียขนาด 75 มม. อีกรวม 80 กระบอก
ส่วนทางด้านกองทัพอากาศเมื่อเร็วๆ นี้ได้สั่งซื้อเครื่องบินรบสมรรถนะสูงแบบ MIG-29 รวมทั้งเฮลิคอปเตอร์จากประเทศรัสเซียเพิ่มอีกจำนวนหนึ่งด้วย
อย่างไรก็ตามบทวิเคราะห์ระบุว่า ในการสู้รบกับกองกำลังต่อต้านต่างๆ ที่ผ่านมา กองทัพพม่าไม่ได้นำอาวุธเหล่านี้ออกมาใช้ ซึ่งมีเพียงปืนค.120 มม. ที่มักจะนำมาใช้เป็นอาวุธหลักในการโจมตี ขณะที่ยานพาหนะที่นำมาใช้ก็มีเพียงรถบรรทุกสำหรับขนย้ายทหารที่ซื้อมาจากจีนเท่านั้น ส่วนสาเหตุที่กองทัพพม่าไม่ได้นำเอาอาวุธสมัยใหม่ออกมาใช้นั้น เนื่องจากมีอุปสรรคในการขนย้ายรวมทั้งการดูแลรักษา เพราะยุทโธปกรณ์บางส่วนอะไหล่มีไม่เพียงพอ
โดยการสู้รบส่วนใหญ่ กองทัพพม่าจะใช้ทหารราบซึ่งมีเพียงเป้ และอาวุธประจำกายแบบ MA ที่กองทัพผลิตใช้เอง ส่วนการขนส่งเสบียงและอาวุธก็จะใช้ลูกหาบที่เกณฑ์มาเป็นส่วนใหญ่เพราะสามารถเข้าได้ทุกพื้นที่ ด้วยเหตุนี้การสู้รบในแต่ละครั้งจะพบว่ามีกองกำลังฝ่ายต่อต้านเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ซึ่งแท้ที่จริงก็คือลูบหาบที่ถูกบังคับมาให้นำทาง
บทวิเคราะห์ระบุอีกว่า แม้ว่ากองทัพพม่าจะผลิตอาวุธประจำกายใช้เองมาตั้งแต่ปี 2543 แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่สามารถนำไปใช้ได้อย่างทั่วถึง ซึ่งทหารบางส่วนยังคงใช้อาวุธปืนแบบเก่าอันได้แก่ ชนิด G3 และ G4 กันอยู่ ส่วนกระสุนที่ผลิตใช้เองก็ไม่ได้มาตรฐานซึ่งทำให้ลำกล้องร้อนง่ายมาก ขณะที่ทหารที่ต้องออกรบก็ขาดแคลนอุปกรณ์เครื่องใช้จำเป็น ซึ่งในเป้ของพวกเขาแทบจะไม่มีอาหารหรือยารักษาโรคและแม้กระทั่งเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยน ขณะที่เสื้อผ้าชุดเครื่องแบบและรองเท้าที่สวมใส่ก็ไม่ได้มาตรฐาน
น่ากลัวอีกที...อิอิ..กองทัพพม่าประจำการด้วยจรวด SAMs แบบใหม่ S-125 Neva/Pechora
อาวุธ ที่น่ากลัวที่สุดของพม่าคือ ประชากร ที่ฝังตัวอยู่แทบทุกตลาดค้าส่งพืชผลทางการเกษตรและตามแหล่ง อุตสาหกรรมอาหารทะเลของไทย
ขยันมาก บางคนเป็นเจ้าของร้านอาหารคาราโอเกะ...
น่าเป็นห่วงเรื่องนี้นะ สอดส่องไม่ทั่วถึง จนเดี๋ยวนี้ขยายครอบครัวในประเทศไทยไปแล้ว....
พม่คงไม่กล้าใช้อาวุธหนักรบกับชนกลุ่มน้อยหรอกครับเพราะว่าภมิประเทศส่วนใหญ่ที่ชนกลุ่มน้อยอยู่เป็นภูเขาแล้วจะเอาอะไรขึ้นไปรบล่ะครับ รถถังหรอ? ปืนใหญ่ ยิงไปก็ติดภูเขา เครื่องบินรบก็ดูโหดร้ายไป ฮ.โจมตีก็คงไม่กล้าเดี๋ยวโดน SAM ประทับบ่าของชนกลุ่มน้อยสอยเอา อาวุธที่ดีที่สุดที่เหมาะสมกับการรบบนเขาก็คือทหารเดินเท้านี่แหละครับ ส่วนที่ใช้ ค.สนับสนุนเพราะ ค.สามารถแบกไปได้โดยทหารเพียง2-3 คน และตั้งยิงได้เร็วเหมาะสมกับการเป็นอาวุธสนับสนุนครับ แต่ส่วนใหญ่ฝ่ายที่สูญเสียจะเป็นทหารพม่าซะเยอะครับ เพราะพวกนี้โดนเกณฑ์มาจากที่อื่นอุปกรณ์สนับสนุนการรบก็ไม่มี ไม่ชำนาญทาง สุดท้ายแล้วมันจะไปสู้กับเจ้าของพื้นที่ๆชำนาญพื้นที่ได้อย่างไรครับยื่งตอนนี้กองกำลังต่างๆที่เคยยอมสยบให้กับพม่ามาเล่นบทแข็งแล้วไม่ยอมเป็นกองกำลังป้องกันชายแดนหรือ Border guard force หรือ BGF ซึ่งต้องใช้เครื่องแบบพม่า เป็นกำลังส่วนหนึ่งของพม่า ห้ามใช้เครื่องหมายหรือชุดทหารของชาติพันธ์ตัวเอง คือจะกลืนกองกำลังให้แปรสภาพเป็นกำลังทหารพม่าแหละครับ ทำให้ทหารของชาติพันธ์ต่างๆไม่ยอมรับและจับอาวุธขึ้นรบกับพม่าอีกครั้งอย่างเช่น กระเหรี่ยง DKBA ซึ่งเคยจับมือกับทหารพม่าไปแล้ว สุดท้ายก็ต่อสู้กับทหารพม่าโดยกลับไปร่วมกับกระเหรี่ยง KNU ช่วยกันรบแต่ยังใช้สัญลักษณ์และเครื่องแต่งกายของ่กระเหรี่ยง DKBAอยู่ครับ และล่าสุดคือกองกำลังรัฐฉานเหนือ หรือกองกำลังไทใหญ่เหนือ ที่เคยยอมหยุดยิงกับพม่าแต่เจอปัญหาเดียวกันคือไม่ยอมเข้าร่วมเป็น BGF เลยกลับมาจับมือกับ เจ้ายอดศึก หรือ กองกำลังกู้ชาติไทใหญ่มีฐานใหญ่อยู่บนดอยไตแลง อีกครั้งครับและครั้งนี้เห็นเค้าบอกว่ากลุ่มชาติพันธ์ต่างๆ จะร่วมมือกันรบกับทหารพม่าครับซึ่งถ้ากลุ่มชาติพันธ์หรือชนกลุ่มน้อยทุกกลุ่มที่ยังรบกับทหารพม่ามารวมตัวกันแล้วจะมีกำลังพลมากถึง100,000 กว่าคนเลยครับ
สุดท้ายฝากลิงค์ให้เข้าไปอ่านดูความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับไทใหญ่เรานะครับว่าเป็นมาอย่างไรเผื่อจะยังมีคนที่ยังไม่ได้รู้จักครับ
1-2 ทหารไทใหญ่ครับ
3.กระเหรี่ยงKNU
4.กระเหรี่ยง DKBA
5.ทหารไทใหญ่เหนือครับ
-ผมคนหนึ่งแหละครับ ที่มองว่าทุกวันนี้ทหารพม่า สู้ชนกลุ่มน้อยไม่ได้(ผมอยู่แม่ฮ่องสอนครับ)
ยิ่งทุกวันนี้ชนกลุ่มน้อยที่เคยเข้าร่วมกับรัฐบาลทหาร กลับมาร่วมตัวกันอีกครั้ง(จริงๆมีหลายกลุ่มครับ ที่เป็นข่าว รู้จัก ที่ดังก็ไม่มีกลุ่ม)
แต่กลุ่มต่างๆ ยังไม่รวมกันจริงๆจังๆ เพียงแต่มีจุดมุ่งมายเดียวกัน และที่สำคัญอาวุธประจำกาย ดูทันสมัย กว่ากองกำลังรัฐบาลด้วยซ้ำ
เคยมีโอกาศ ไปงานบนดอย(ไตแลง) มีทั้งไฟฟ้า....เหมือนเมือง เมืองหนึ่งเลย น่าแปลกที่พม่าไม่ใช้กำลังทางอากาศ
คงเป็นเพราะ อาจกลัวมีปัญหากับเราก็เป็นได้ แต่ชัยภูมิฝั่งชนกลุ่มน้อยดีกว่าจริงๆ(ฟันธง)
ที่พม่าไม่ใช่เครื่องบิน(ในตอนนี้) น่าจะเพราะเรื่องงบประมาณมากกว่า รวมถึงปัญหาในการส่งกำลังบำรุง
ฮ.โจมตี ที่กำลังจะได้มาหากประจำการ ผมว่าได้ออกโรง แต่เคยอ่านเจอรู้สึกชนกลุ่มน้อยมีพวกจรวดประทับบ่าเหมือนกัน
ประเทศนี้ยัง fresh มาก ทรัพยากรธรรมชาติอะไร ๆ ยังเหลือเฟือ น่าท่องเที่ยวมาก ๆ เสียที่ไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่
ผมว่ายังมีคนๆนี้อยู่ในพื้นที่
พม่าเลยไม่กล้ากับชนกลุ่มน้อย..
ผมว่าเค้าใช้งบส่วนมากไปกับการซื้อ แต่การซ่อมบำรุงไม่ดีเท่าที่ควร
แล้วไหนลิ้งละครับท่าน champ thai army
อยู่ที่ว่านักบินและเครื่องบินพร้อมรบแค่ไหน MiG-29 ที่ไก้รับมาทีแรก 10 ลำ พร้อมรบกี่ลำ เครื่อง MiG-29 ที่ได้รับใหม่ก็คงยังไม่พร้อมรบรวมถึง K8 และฮ.โจมตีMI-35 ด้วยครับ ก็ต้องรอดูปีสองปีนี้ว่าพม่าสร้างนักบินที่มีคุณภาพได้แค่ไหน แต่น่ากลัวถ้าเขามีความพร้อมเมื่อไหร่เขาคงจัดการกับชนกลุ่มน้อยอย่างเด็ดขาดก็จะกระทบกับชายแดนของเราก็ได้ครับ
ผมชอบพม่าพูดคำใหนคำนั้นไม่กลับกลอกเป็นอดีตข้าศึกที่น่านับถือ ไม่เคยยอมใครไม่ว่า อังกฤษ,จีน,มองโกล
ผมว่าเป็นชาติที่น่าคบอย่าพยายามคิดว่าเขาเป็นคู่ศึกของไทยเลยครับ
ไม่เหมือนบางชาติแถวนี้มันคบไม่ได้จริงๆ
ท่าน TEERAPHONG ครับ มันแม่นคือเจ้าว่าอีหลี
ผมว่ากว่าที่พม่าจะพร้อมรบก็ประมาณ 2 ปีจากนี้ไป แน่นอนสถานการณ์ความรุนแรงในการปราบปรามชนกลุ่มน้อยจะรุนแรงกว่าที่เคยเป็นมา การกระทบกระทั้งกับไทยต้องมีแน่นอน มากกว่าทุกครั้ง คราวนี้ไทยมีเวลาเตรียมการให้พร้อมรบ 2 ปี โดยเฉพาะกองทัพอากาศ หากไทยยังครองอากาศได้เด็ดขาด ทัพบก ทัพเรือของเราก็สบายครับ พม่าเองก็คงไม่กล้าทำอะไรมากมายเพราะเค้าก็มองๆเราอยู่ถ้าไม่แน่จริง ไม่แหย่รังแตนแน่นอน ครับ
เพิ่งรู้ว่ารถถังเค้าเรียกเป็นลำ
สำคัญว่าเราจะเอาแบบใหน
การสะสมอาวุธของพม่า ผมว่าการใช้งบด้านอาวุธหากเทียบรายได้ประชาชาติน่าจะอันดับต้นๆของเอซีย งบด้านอื่นไม่ต้องพูดถึงโดยเฉพราะด้านกระทรวงศึกษาและสาธารณะสุขคงจะเหลือน้อยมาก แต่เรื่องน้ี้ผมว่ามันเป็นลักษณะรัฐทหารอย่างพม่าซึ่งเป็นลักษณะนี้มาแต่โบราณแล้วมันเกินความจำเป็นที่จะป้องกันตนเอง
เราเน้นการจัดหาอาวุธเพื่อป้องกันตนเองให้เหมาะสมต่อความจำเป็น ฐานะของประเทศ และความเป็นอยู่ของประชาชนดีกว่าครับ ปล่อยพม่าเขาไปตามทางเถอะครับอย่าไปยุ่งกับเขา
ที่สำคัญไทยไม่ควรมีปัญหากับพม่าอย่างเด็ดขาด เกิดขัดใจขึ้นมาไม่ต้องรบหรอกครับ แค่งดจ่ายแก๊สให้ไทย ยึดสัมประทานแหล่งพลังงานของ ปตท. เท่านี้เราแย่ๆๆๆๆแล้ว ดังนั้นยกพม่าไว้ประเทศปล่อยให้เขาเป็นสุขเป็นสุขเเถิด อย่าไปยุ่งกับเขาเลยยยยยยย
เห็นด้วยครับที่เราไม่ควรยุ่งกับพม่า แต่เราต้องยึดคำขวัญที่ว่า แม้ยามสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ ครับ ไทยเราคงไม่ต้องจัดงบซื้ออาวุธอะไรมากมาย แค่ปรับปรุงของที่มีอยู่ให้ทันสมัย และจัดซื้อทดแทนอาวุธปลดประจำการก็น่าจะเพียงพอ โดยเฉพาะกองทัพอากาศ ส่วนทหารก็ต้องฝึกให้ชำนาญ ให้พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจสมกับผู้ที่ยึดอาชีพรั้วของชาติ ก็น่าจะเพียงพอ ครับ
ทางที่ดีที่สุดของไทยตามความคิดของผมนะครับ ไทยควรจะลงทุนร่วมพัฒนาประเทศพม่า การลงทุนจะต้องให้พม่าเป็นส่วนร่วมจะต้องได้ผลกำไรแบ่งกันอย่าง win-win
อย่าเอาแต่ผลประโยชน์กลับประเทศ พม่าเป็นประเทศใหญ่มีทรัพยากรมากจำนวนมากน่าจะร่วมใช้ประโยชน์ระหว่างเรากับพม่าได้อย่างดีครับ ขณะเดียวกันด้านชนกลุ่มน้อย ไทยไม่ควรเข้าไปยุ่งนอกจากด้านมนุษยธรรมอันนี้ต้องเกี่ยวพอสมควรครับ
ชายแดนด้านเหนือ ด้านตะวันตก ด้านใต้ พยายามผูกมิตรเข้าไว้ จะได้มีเวลาแก้ปัญหา คนบ้าแห่งse-asia สำหรับหมอนี่จะทำอะก็ได้ครับเหลืออดจริงๆ
ผมว่าประเทศพม่าน่าคบมากกว่าหลายประเทศรอบข้างเรานะ
เราเข้าไปช่วยสงเสริมพัฒนาลงทุนร่วม ที่ผ่านมาเขาก็เป็นมิตรประเทศที่ดี
อย่าไปมองเป็นภัยคุมคามหรืออย่างอื่นดีกว่่า
การเป็นมิตรกับเพื่อนบ้านเป็นที่ดีครับ แต่บางครั้งมันก็มีปัญหา แม้แต่กับพม่าก้ย่อมเป็นปัญหากับเรา ไม่ว่าจะเป็น แรงงานเถื่อนที่ลักลอบเข้ามา ปัญหายาติด รวมทั้งปัญหาจากการปราบปรามชนกลุ่มน้อยของพม่าที่มักจะกระทบกับเรา อีกทั้งพม่าเองนั้นก็ยังมีความระแวงแคลงใจเราอยู่เช่นกันทางด้านความมั่นคง ซึ่งถ้าหากกล่าวถึงเรื่องกิจการภายในประเทศเขาเราก็ไม่ควรจะไปยุ่งเกี่ยว แต่ในแง่ของเศรษฐกิจนั้น ถ้าเราสานเรื่องความร่วมมือกันได้จะมีประโยชน์ให้กับเราอย่างมาก อยู่ที่ว่าปัญหาเรื่องพืนที่อิทธิพลของชนกลุ่มน้อยในพม่านั่นแหละทีจะทำให้เรื่องความร่วมมือทางเศรษกิจล่าช้าเพราะไม่สามารถดำเนินการพัฒนาพื้นที่บางส่วนเพื่อรองรับความร่วมมือได้ ทุกวันนี้ทางด้านกาทหารของพม่า ปัญหาไม่ได้มองอยู่ทีเราครับ ปัญหาของเขาอยู่ที่ชนกลุ่มน้อยต่างหาก แต่ปัญหาของเราอยู่ที่ผมกล่าวข้างต้น
นั่นสิท่าน Akula ผมเองก็พึ่งรู้ หลงเรียกว่าคันมาส่ะนาน - -" แล้วหลังจากนี้ต้องเรียกว่าไงอะ
เห็นพม่าแล้วก็สงสาร
กลับมามองที่ประเทศไทย สงสารยิ่งกว่า เมื่อไหร่มันจะจบสักที
บางทีเรื่องพวกนี้ไช้ลูกปืนแก้ปัญหาไม่ได้
ขอโทษทีครับท่าน panumat99 ลืมครับมัวแต่พิมพ์เยอะเกิน 555+ ไม่รู้ว่าจะเห็นหรือเปล่าถ้าได้อ่านแล้วบอกกันบ้างนะครับ กระทู้ก็ตกมาเยอะแล้วด้วย link ตามนี้เลยครับ http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1565337 เป็นลิงค์ที่ดีมากครับเนื้อหาสาระดีครับ เครดิต ตามลิงค์เลยครับ