หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


+++ "ยุทธเวหา" เสืออากาศไทย – ฝรั่งเศส ใน สงครามอินโดจีน +++

โดยคุณ : qwertyuiop เมื่อวันที่ : 21/10/2012 02:06:43

« เมื่อ: ตุลาคม 11, 2012, 10:15:31 PM »

 




สงครามอินโดจีน เกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลไทยในสมัยนั้นได้เกิดปัญหาการปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับเขตอินโดจีน (ลาว – กัมพูชา) ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส โดยก่อนหน้านั้น ฝรั่งเศสได้ยึดดินแดนบางส่วนของไทยไปแล้วถึง 5 ครั้ง ประชาชนจำนวนมากเกิดความเคียดแค้นชิงชังฝรั่งเศส จนพาออกมาเดินขบวนสนับสนุนรัฐบาลไทยในการเรียกร้องขอดินแดนคืนจากฝรั่งเศส

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2483 รัฐบาลจึงมีคำสั่งเตรียมพร้อมสำหรับสงครามอินโดจีน และได้ส่งกองกำลังทั้งทางบก ทางเรือ และทางอากาศ รุกคืบหน้าเพื่อยึดดินแดนที่เรียกร้องคืนมาให้จงได้



ศึกจ้าวเวหาในสงครามอินโดจีน ไทย-ฝรั่งเศส 

กองทัพอากาศไทย ถือได้ว่าเป็น หนึ่งในกองทัพอากาศที่เก่าแก่ที่สุดในโลกในยุคที่รุ่งเรืองสูงสุดก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพอากาศไทย คือ กองทัพอากาศที่มีอานุภาพมากเป็นอันดับ 2 ของเอเชียรองจากญี่ปุ่นกองทัพอากาศไทยมีบทบาทอย่างสูงในกรณีพิพาทอินโดจีน ระหว่างไทยกับฝรั่งเศส 

ยุทธเวหาระหว่างเสืออากาศไทยกับกองบินรบของฝรั่งเศสในศึกอินโดจีน นับว่าเป็นการรบที่ห้าวหาญ ดุเดือด น่าตื่นเต้นเป็นอย่างมากในห้วงเวลานั้น

กองทัพอากาศของไทยตอนนั้น มีเครื่องบินที่พร้อมกระโจนเข้าสู่สงครามอินโดจีน เช่น เครื่องบินขับไล่เคอร์ติส ฮอว์ก - 2 เครื่องบินขับไล่เคอร์ติส ฮอว์ก - 3 เครื่องบินโจมตีวอจ์ต คอร์แซร์ เครื่องบินทิ้งระเบิด มาร์ติน 139 ดับบลิวเอสเอ็ม 



และยังมีเครื่องบินขับไล่สมรรถนะสูงที่สั่งซื้อจากสหรัฐอเมริกา คือ เครื่องบินขับไล่เคอร์ติส ฮอว์ก 75 เอ็น จำนวน 16 เครื่อง แต่ในขณะที่กำลังขนส่งมาทางเรือถึงกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2483 รัฐบาลสหรัฐได้สั่งกักเครื่องบินทั้งหมดที่จะนำมาให้กองทัพอากาศไทยไว้ที่นั่นโดยที่ไม่แจ้งเหตุผลให้ทราบ

เมื่อสหรัฐฯ เกลอเก่าของไทยไม่ยอมส่งเครื่องบินมาให้ดื้อๆ เสียอย่างนี้ ไทยจึงหันหน้าไปพึ่งญี่ปุ่นผู้ซึ่งทำตัวเป็นมหามิตรรายใหม่ทันที ญี่ปุ่นยื่นมือเข้าช่วยเหลือด้วยการส่ง เครื่องบินขับไล่ ตาชิกาว่า มาให้ 10 เครื่อง ไทยจึงได้ซื้อ เครื่องบินโจมตีทิ้งระเบิด มิตซูบิชิ กิ - 30 (นาโกย่า) จำนวน 2 ฝูง ด้วย (สหรัฐฯยอมปล่อยเครื่องบิน ฮอว์ก – 75 ที่กักเอาไว้ที่ฟิลิปปินส์มาให้ไทยในช่วงท้ายๆ ของสงครามอินโดจีน)

ยุทธเวหาระหว่างเสืออากาศไทย – ฝรั่งเศสกำลังจะระเบิดขึ้นแล้ว !!

ก่อนเปิดฉาก : 

วันที่ 23 ตุลาคม 2483 ก่อนที่รัฐบาลไทยจะประกาศสงครามกับฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการ เครื่องบินทิ้งระเบิด ฟามัง ของฝรั่งเศส จำนวน 2 เครื่อง บินล้ำเข้ามาเหนือน่านฟ้า อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ไทยเราจึงส่งเครื่องบินขับไล่ 3 เครื่องขึ้นไปสกัดกั้น จนมีทีท่าว่าจะปะทะกันอยู่แล้ว แต่อยู่ดีๆ เครื่องฟามัง ชิ่งหนีกลับไปทางเวียงจันทน์เสียก่อน หลังจากนั้น ฝรั่งเศสก็ได้ปฏิบัติการบินยุแหย่ไทยเราตลอดมา



เปิดฉาก ปะทะ “โมราน ซอนเยร์” :

วันที่ 28 พฤศจิกายน 2483 เวลา 08.00 น. เครื่องบินไทย 2 เครื่อง ขึ้นบินสกัดกั้นเครื่องบินของฝรั่งเศส 4 เครื่อง เหนือน่านฟ้าจังหวัดอุดรธานี ปะทะกันได้ครู่หนึ่งฝรั่งเศสก็ถอนตัวกลับไป

แต่ในวันเดียวกันนั้นเอง เครื่องบินแบบโมราน ซอนเยร์ ของฝรั่งเศส จำนวน 5 เครื่อง บินเข้ามาทิ้งระเบิดที่นครพนม ฝ่ายไทยเราก็ได้ส่งเครื่องบินจำนวน 3 เครื่อง ขึ้นบินสกัดกั้น เมื่อเครื่องบินของทั้ง 2 ฝ่ายเข้าปะทะกัน เครื่องของ ร.ท.ศานิต นวลมณี เกิดหลุดเดี่ยวออกมาจากฝูง โมรานอีก 3 เครื่องจึงบินเข้ามารุมกินโต๊ะทันทีเป็นศึก 3 ต่อ 1 แต่เสืออากาศไทยของเราควบคุมสติไว้มั่น พยายามขับหนีและล่อหลอกจนยิงถูกเจ้าโมรานควันโขมง เมื่อเห็นดังนั้น ร.ต.ทองใบ พันธุ์สบาย จึงรุดเข้าช่วย จนชุลมุนกันอยู่พักใหญ่ เครื่องของฝรั่งเศสต้องบินหนีไป รวมเวลารบกันทั้งสิ้น 17 นาที ผลคือ เครื่องบินแบบโมรานของฝรั่งเศสถูกยิงตก 1 เครื่อง ส่วนเครื่องบินฝ่ายไทยไม่ได้รับความเสียหาย นับเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของกองทัพอากาศไทย 

ถล่มท่าแขก :

วันที่ 29 พฤศจิกายน 2483 มีเครื่องบินข้าศึกเข้ามาบินตรวจการณ์เหนือเมืองนครพนม ไทยเราจึงส่งเครื่องบินฮอว์ก – 3 ขึ้นขับไล่จนข้าศึกต้องบินหนีออกไป 

วันที่ 30 พฤศจิกายน 2483 ข้าศึกเข้ามาบินตรวจการณ์เหนือ บ้านศรีเชียงใหม่ และอำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย อีก ไทยจึงส่งเครื่องบินคอร์แซไปทิ้งระเบิดทำลายหน่วยที่ตั้งทางทหารของฝรั่งเศสที่เมืองท่าแขก ทำให้หน่วยทหารแห่งนั้นโดนถล่มยับเยินไม่มีชิ้นดี 

ฝรั่งเศส พยายามยกพลขึ้นบก : 

วันที่ 1 ธันวาคม 2483 เกิดการปะทะกันกลางอากาศเหนือน่านฟ้านครพนม ระหว่างเครื่องบินของไทย 1 เครื่องกับเครื่องบินข้าศึก 2 เครื่อง โดยมี ร.อ.ไชย สุนทรสิงห์เป็นนักบิน ปะทะกันอยู่ราว 10 นาที เครื่องบินข้าศึกจึงถอยหนีไป และไม่ปรากฏความเสียหายทั้งสองฝ่าย

วันเดียวกันนั้นเองทางด้านชายทะเลฝั่งตะวันออก ในเวลา 08.30 น. นาวิกโยธินฝรั่งเศสยกพลมาทางเรือพยายามจะขึ้นบกที่ฝั่งทะเลจังหวัดตราด เมื่อไทยเราทราบ กองบินจังหวัดจันทบุรีจึงส่งเครื่องบินขับไล่โดยมี น.ต. หลวงล่าฟ้าเริงรณ (กิ่ง ผลานุสนธิ) เป็นผู้บังคับฝูง เข้าถล่มกองเรือนาวิกโยธินฝรั่งเศส ทำให้ข้าศึกไม่สามารถยกพลขึ้นบกได้และถอยกลับไปทางเกาะกง  



บอมบ์เวียงจันทน์ :

วันที่ 8 ธันวาคม 2483 ไทยส่งเครื่องบินทิ้งระเบิด คอร์แซร์ โดยมี ร.ท.ศานิต นวลมณี กับ ร.ต.เฉลิม ดำสัมฤทธิ์ ขึ้นบินจากฐานบินอุดรธานีไปโจมตีที่ตั้งทางทหารของฝรั่งเศสที่เวียงจันทน์ ผลปรากฏว่า ฐานที่มั่นข้าศึกเสียหายยับเยิน แต่คอร์แซร์ของเราก็ถูกปืนต่อสู้อากาศยานยิงอย่างหนักหน่วง แต่ก็ยังสามารถประคองเครื่องกลับมาถึงฐานบินอย่างได้สำเร็จและปลอดภัยทั้งหมด

วันที่ 9 ธันวาคม 2483 ฝรั่งเศสตอบโต้ด้วยการเข้ามาทิ้งระเบิดที่ อุดรธานี เครื่องบินขับไล่ของไทยขึ้นสกัดกั้น แต่คราวนี้ เครื่องของ ร.ท.บุญ สุขสบาย ถูกยิงตกและได้เสียชีวิต ในระหว่างนี้มีการรบกันกลางอากาศในรูปแบบตัวต่อตัวระหว่างเครื่องบินขับไล่ของ ร.อ.ทองใบ พันธุ์สบาย กับ เครื่องของฝรั่งเศส ผลปรากฏว่า ข้าศึกถูกยิงตกลงสู่พื้นดิน



วันที่ 10 ธันวาคม 2483 ไทยส่งเครื่องบินคอร์แซร์ไปทิ้งบอมบ์ที่เวียงจันทน์อีกครั้ง โดย 2 คู่หูเสืออากาศอย่าง ร.ท.ศานิต นวลมณี นักบิน และ จ.อ.เฉลิม ดำสัมฤทธิ์ พลปืนหลัง แต่คราวนี้เครื่องของเราได้ถูกปืนต่อสู้อากาศยานของฝรั่งเศสยิงโดนเข้าที่ถังน้ำมัน จนไฟลุกไหม้ ร.ท.ศานิต ถูกกระสุนเข้าที่เข่าและถูกไฟลวก แต่ก็ยังพยายามประคองเครื่องคอร์แซร์คู่ชีพเข้ามายังฝั่งไทยและกระโดดร่มลงมา ร.ท.ศานิต บาดเจ็บสาหัสและได้เสียชีวิตในเาลาต่อมา ส่วน จ.อ.เฉลิม ตกลงพร้อมกับเครื่องเสียชีวิต



วีรกรรมของ ร.อ.จอน สุกเสริม : 

วันที่ 12 ธันวาคม 2483 เวลา 02.00 น. เสียงหวอเตือนภัยก็ดังขึ้นไปทั่วทั้งเมือง เครื่องบินของข้าศึกจำนวนหนึ่งบินจู่โจมทิ้งระเบิดกลางเมืองนครพนม ในขณะที่ ป.ต.อ.ของไทยยิงกราดขึ้นไปบนฟ้าในคืนนั้น ร.อ.จอน สุกเสริม จึงรีบขึ้นประจำเครื่องฮอว์ก – 2 บินขึ้นสกัดแต่เพียงลำพัง และได้เข้าปะทะกับข้าศึกไม่ทราบจำนวน ทราบแต่เพียงว่ามีมากกว่าเครื่องบินของเรา ผลก็คือ เครื่องบินของ ร.อ.จอน ถูกยิงตก และท่านก็ได้เสียชีวิตอย่างไว้ลายชายชาติทหาร

ขยี้ฟามัง ตายยกฝูง :

วันที่ 8 มกราคม 2484 เครื่องบินข้าศึกเข้ามาทิ้งระเบิดในเขตอำเภอขุขันธ์และอำเภอเมืองศรีสะเกษ ไทยจึงตอบโต้ฝรั่งเศสอย่างทันควันด้วยการส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดเข้าไปถล่มเมืองพระตะบองและเสียมราฐ ทำให้ฐานทัพของฝรั่งเศสพังยับไม่มีชิ้นดี

วันที่ 10 มกราคม 2484 ฝรั่งเศสเข้ามาทิ้งระเบิดในตัวเมืองอุบลราชธานีได้ 10 ลูก เครื่องบินขับไล่ของไทยจึงขึ้นสกัดกั้น สามารถไล่ต้อนให้ข้าศึกบินหนีกลับไปได้



ในวันเดียวกันนี้เอง เราได้รับรายงานว่า ฝูงบินทิ้งระเบิด ฟามัง จอดอยู่ที่ฐานบินเมืองเสียมราฐ ไม่ไกลจากเขตแดนของไทยมากนัก เราจึงยกไปโจมตีฐานบินฝรั่งเศสที่เมืองเสียมราฐในวันนั้นเอง โดยใช้เครื่องบินโจมตีทิ้งระเบิด มิตซูบิชิ กิ - 30 นาโกย่า ได้ น.ท. หม่อมเจ้ารังษิยากร อาภากร ทรงทำหน้าที่เป็นหัวหน้าหมู่ มีลูกหมู่อีก 2 เครื่อง คือ ร.อ.ประสงค์ สุชีวะ (นักบิน) และ ร.อ.มานพ สุริยะ (พลปืนหลัง) จับคู่กับ ร.ท.บุญเยี่ยม ปั้นสุขสวัสดิ์ รวมเป็น 3 เครื่อง  



เมื่อถึงเป้าหมาย นาโกย่า ของเสืออากาศไทยทั้ง 3 เครื่อง ทำการทิ้งระเบิดทันที แบบปลดครั้งเดียวหมดทั้งตับ ส่งผลให้เครื่องฟามังที่จอดเรียงรายอยู่บนฐานโดนทำลายหมดยกฝูง แต่ระหว่างที่กำลังทิ้งระเบิดใส่ฐานอยู่นั้น ได้มีเครื่องบินขับไล่ โมราน ซอนเยร์ จำนวน 4 เครื่อง ขึ้นสกัดกั้น จนเกิดการปะทะกันกลางอากาศอยู่เป็นเวลานาน ทำให้เครื่องหมายเลข 3 ของ ร.อ.มานพ กับ ร.ท.บุญเยี่ยม เกิดโชคร้ายหลุดออกจากหมู่ จึงถูกโมรานทั้ง 4 เครื่องรุมยิงจนตก เสียชีวิตทั้งคู่ ส่วนอีก 2 เครื่อง บินกลับฐานได้อย่างปลอดภัย 



บอมบ์สตรึงเตรง ครองความเป็นเจ้าเวหา :

วันที่ 12 มกราคม 2484 เครื่องบินข้าศึกได้บินเข้ามาทิ้งระเบิดที่ธาตุพนม 

วันที่ 16 มกราคม 2484 เครื่องฟามัง ก็เข้ามาโจมตีอรัญประเทศในยามดึก

วันที่ 17 มกราคม 2484 ไทยจึงเปิดแผนการโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่เพื่อครองความเป็นเจ้าเวหา โดยมี น.ท.ขุนรณนภากาศ ผู้บังคับฝูงบินพิบูลสงคราม นำเครื่อง นาโกย่า ที่มีอยู่ทั้งหมด บินไปถล่มฐานทัพฝรั่งเศสที่เมืองสตรึงเตรง ทำให้ฐานของฝรั่งเศสต้องถึงคราวพินาศ เมื่อถล่มจนไม่มีระเบิดเหลือแล้ว เสืออากาศทั้งหมดจึงบินกลับฐานโดยปลอดภัยทุกเครื่อง

วันที่ 21 มกราคม 2484 ฝูงบินกลุ่มเดิมได้ขึ้นไปโจมตีเมืองสตรึงเตรงอีกเป็นครั้งที่ 2 ทำให้ฐานของฝรั่งเศสแห่งนี้ถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง 



บินเดี่ยวถล่มเสียมราฐ : 

วันที่ 23 มกราคม 2484 เมืองอุบลก็ได้ลิ้มรสการโดนบอมบ์อีกเป็นครั้งที่ 2 

วันที่ 24 มกราคม 2484 น.ท.ขุนรณนภากาศ ได้ฉายเดี่ยวนำเครื่องบินโจมตีทิ้งระเบิด กิ – 30 นาโกย่า บินไปโจมตีฐานที่ตั้งทางทหารของฝรั่งเศสในเมืองเสียมราฐ ใกล้กับนครวัด ขากลับก็มาพบกับเครื่องบินโมรานของฝรั่งเศส 4 เครื่อง การต่อสู้ทางอากาศก็เริ่มขึ้นอย่างดุเดือดแบบ 4 ต่อ 1 เป็นเวลา 20 นาที ในที่สุดเสืออากาศผู้กล้าหาญของไทยเราฝ่าวงล้อมบินกลับฐานได้อย่างปลอดภัย 

ยุทธเวหาเหนือบ้านยาง :

วันที่ 24 มกราคม 2484 ขณะที่ ฮอร์ค 2 ของไทยจำนวน 3 เครื่อง บินลาดตระเวนอยู่เหนือน่านฟ้าบ้านยาง อรัญประเทศ โดยการนำของ ร.อ. เฉลิมเกียรติ วัฒนางกูล ได้พบกับเครื่องบินทิ้งระเบิด โปเตซ์ 1 เครื่อง และเครื่องบินขับไล่แบบโมราน 406 อีก 3 เครื่องของฝรั่งเศส ทั้ง 2 ฝ่ายจึงได้เข้าประจัญบานกันทันที ผลก็คือ เครื่องแบบโมราน ถูกนักบินไทยยิงตกไป 2 เครื่อง ทำให้เครื่องบินที่เหลือของฝรั่งเศสต้องล่าถอยออกไป 



ทิ้งระเบิดที่ศรีโสภณ :

การรบทางอากาศขั้นสุดท้ายของไทยก่อนที่สงครามอินโดจีนจะสงบ กองทัพอากาศไทยได้ส่งเครื่องบิน กิ – 30 นาโกย่า จำนวน 9 เครื่อง ไปโจมตีทิ้งระเบิดที่บ้านไพลินและบ้านศรีโสภณ โดยมี ฮอร์ค 75 จำนวน 3 เครื่องที่สหรัฐฯ ยอมส่งมาให้หลังจากที่ถูกกักอยู่ที่ฟิลิปปินส์ บินคุ้มกัน การปฏิบัติการครั้งนี้ได้สร้างความเสียหายให้กับข้าศึกมาก ก่อนที่ญี่ปุ่นจะมาไกล่เกลี่ยและเจรจายุติสงครามกันในที่สุด

สงครามอินโดจีนครั้งนี้ ได้สร้างตำนานวีรบุรุษขึ้นมาอย่างมากมาย ด้วยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของเสืออากาศไทยในครั้งนี้นี่เอง เราจึงได้ดินแดนของ พระตะบอง ศรีโสภณ และดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงในเขตลาว หลวงพระบาง จำปาสัก กลับคืนมาเป็นของไทย ในตอนนั้น 

ขอบคุณ ออกหลวงมงคล @ pantip.com

สดุดีทหารกล้า สละชีพเพื่อเอกราชชาติไทย  ...

ขอบคุณอีกครั้ง

http://www.thailandsusu.com/webboard/index.php?topic=264245.0





ความคิดเห็นที่ 1


สมัยก่อนไทยเรารบเก่งนะครับ แต่สมัยนี้ จะทำอะไรก็ กล้าๆกลัวๆไปหมด 

โดยคุณ apsaktoam เมื่อวันที่ 16/10/2012 22:42:33


ความคิดเห็นที่ 2


น่าจะมีการนำไปทำฉากการรบจำลองของเสืออากาศไทยกับฝรั่งเศสใน dogfight history channel บ้างนะ

โดยคุณ Condor เมื่อวันที่ 17/10/2012 09:08:15


ความคิดเห็นที่ 3


แต่ก่อนด้านการทหาร เราเป็นอันดับสองในเอเชีย รองเพียงญี่ปุ่นเท่านั้น เดี๋ยวนี้...

โดยคุณ tongwarit เมื่อวันที่ 17/10/2012 12:24:08


ความคิดเห็นที่ 4


อย่าคิดมากครับ ตามสัดส่วนน่าจะแข็งแกร่งกว่าปัจจุบันแต่มันคงไม่ดีอย่างคิด อย่าลืมว่าในยุคนั้นในเอเซียมีประเทศเอกราชกี่แห่ง น่าจะแค่ญี่ปุน,จีน,ไทย,เนปาล และไทยไม่น่าจะแซงจีนได้ ญี่ปุนกับไทยในยุคนั้นอย่าเอามาเทียบกันเลยครับ

โดยคุณ trai เมื่อวันที่ 17/10/2012 16:30:38


ความคิดเห็นที่ 5


โปรดตรวจสอบข้อมูลด้วยครับ  น่าจะมีตรงไหนไม่ดูกต้องนะครับ

ท่าน มานพ สุริยะ เป็นครูการบินระดับแนวหน้าของ ทอ. มีลูกศิษย์ลูกหาเพรียบ
และที่สำคัญท่านอยู่รับราชการใน ทอ. ต่อมาจนได้ยศเป็น พลอากาศโท และได้รับพระราชทานเพลิงเมื่อปี 2532

 



ในวันเดียวกันนี้เอง เราได้รับรายงานว่า ฝูงบินทิ้งระเบิด ฟามัง จอดอยู่ที่ฐานบินเมืองเสียมราฐ ไม่ไกลจากเขตแดนของไทยมากนัก เราจึงยกไปโจมตีฐานบินฝรั่งเศสที่เมืองเสียมราฐในวันนั้นเอง โดยใช้เครื่องบินโจมตีทิ้งระเบิด มิตซูบิชิ กิ - 30 นาโกย่า ได้ น.ท. หม่อมเจ้ารังษิยากร อาภากร ทรงทำหน้าที่เป็นหัวหน้าหมู่ มีลูกหมู่อีก 2 เครื่อง คือ ร.อ.ประสงค์ สุชีวะ (นักบิน) และ .อ.มานพ สุริยะ (พลปืนหลัง) จับคู่กับ ร.ท.บุญเยี่ยม ปั้นสุขสวัสดิ์ รวมเป็น 3 เครื่อง  



เมื่อถึงเป้าหมาย นาโกย่า ของเสืออากาศไทยทั้ง 3 เครื่อง ทำการทิ้งระเบิดทันที แบบปลดครั้งเดียวหมดทั้งตับ ส่งผลให้เครื่องฟามังที่จอดเรียงรายอยู่บนฐานโดนทำลายหมดยกฝูง แต่ระหว่างที่กำลังทิ้งระเบิดใส่ฐานอยู่นั้น ได้มีเครื่องบินขับไล่ โมราน ซอนเยร์ จำนวน 4 เครื่อง ขึ้นสกัดกั้น จนเกิดการปะทะกันกลางอากาศอยู่เป็นเวลานาน ทำให้เครื่องหมายเลข 3 ของ ร.อ.มานพ กับ ร.ท.บุญเยี่ยม เกิดโชคร้ายหลุดออกจากหมู่ จึงถูกโมรานทั้ง 4 เครื่องรุมยิงจนตก เสียชีวิตทั้งคู่ ส่วนอีก 2 เครื่อง บินกลับฐานได้อย่างปลอดภัย 

 

อ้างอิง

หนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พล.อ.ท. มานพ สุริยะ ม.ว.ม., ป.ช., ท.จ.ว., ภปร ๓ ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันอาทิตย์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๓๒

http://books.google.co.th/books/about/%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0.html?id=kD3nugAACAAJ&redir_esc=y

  

โดยคุณ seaman เมื่อวันที่ 17/10/2012 17:21:59


ความคิดเห็นที่ 6


กองทัพอากาศ ได้ทำสารคดีการรบทางอากาศ การปฏิบัติการทางอากาศ นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 จนถึงเหตุการณ์ปัจจุบันครับ  น้องๆ สารคดี DOGFIGTH ครับ   มีโอกาสจะหามาให้ชมครับ....หรือไปชมได้ที่ พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ

โดยคุณ ท้าวทองไหล เมื่อวันที่ 18/10/2012 07:31:20


ความคิดเห็นที่ 7


รบกวน สอบถามนิดครับ ตรงโพสของ คุณ seaman ตัวเครื่องบินภาพแรก สีขาวอมเทา(ภาพมันขาว-ดำ) เป็น เครื่องบินไทย ใช่ไหมครับ และ เป็นเครื่องบินที่มาจากผู้ผลิตญี่ปุ่น เป็นเครื่องรุ่น อะไรครับ  ผมมีโมเดล(1/144)อยู่ คล้ายๆกัน ถ้าใช่ตัวไทย ผมจะได้หาข้อมูลเพื่อจะทำโมตัวไทยครับ  ขอบพระคุณครับ  รบกวนผู้ที่ทราบนิดหนึ่งครับ

โดยคุณ jeab2511 เมื่อวันที่ 19/10/2012 09:30:05


ความคิดเห็นที่ 8


เครื่องในภาพขวาดำนั้นคือ Ki-30 นาโกย่า

เครื่องบินแบบ ๒๖ ( Nagoya ) หรือ จ. ๒

เครื่องบินแบบ ๒๖ ( บ.จ. ๒ )
เครื่องบินแบบ ๒๖ เป็นเครื่องบินโจมตีสองที่นั่ง ซึ่งปัจจุบันกองทัพอากาศกำหนดแบบของเครื่องบินแบบนี้ว่า บ.จ. ๔ ( เครื่องบินโจมตีแบบ ๒ )
กองทัพอากาศซื้อเครื่องบินแบบ ๒๖ ( บ.จ. ๒) จากประเทศญี่ปุ่น จำนวน ๒๕ เครื่อง ใน พ.ศ. ๒๔๘๓ ซึ่งบริษัทมิตซูบิชิ เป็นบริษัทผู้ผลิต โดยทำการสร้างที่โรงงานของบริษัทในเมืองนาโกย่า สันนิษฐานว่า เรียกชื่อนี้จาก เมืองนาโกย่า อันเป็นเมืองที่ตั้งของโรงงานที่ผลิตเครื่องบินแบบนี้
บทบาทของเครื่องบินโจมตี-ทิ้งระเบิด แบบ ๒๖ นาโกย่า (จ. ๒)
ในปี พ.ศ. ๒๙๘๓ กองทัพอากาศได้ซื้อเครื่องบินแบบ มิตซุยบิชิ เอ็ม ๑๐๓ จากประเทศญี่บุ่น จำนวน ๒๕ เครื่อง เข้าประจำการ ทางกองทัพอากาศนิยมเรียกว่า เครื่องบินแบบนาโกย่า ทางราชการเรียกชื่อรหัสในสมัยนั้นว่าเครื่องบินแบบ ๒๖ ปัจจุบันมีรหัสชื่อ จ. ๒ เป็นเครื่องบินโจมตีทิ้งระเบิดที่ทันสมัยที่สุดในสมัยเกิดกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศษ ในเครื่องบินมีวิทยุติดต่อกันได้ทั้งอากาศและพื้นดิน ร.อ.ม.จ. รังษิยากร อาภากร กับนักบินอีก ๑๒ - ๑๔ คน พร้อมทั้งช่าง ได้เดินทางไปรับจากประเทศญี่ปุ่น นักบินไทยกับนักบินญี่ปุ่น ได้ร่วมกันบินมาประเทศไทย โดยนักบินไทย ๑๒ เครื่อง นักบินญี่ปุ่น ๑๒ เครื่อง และผู้ช่วยทูตทหารญี่ป่นประจำเทศไทยบินมาอีก ๑ เครื่อง
กองทัพอากาศได้ตั้งฝูงบินขับไล่พิบูลสงครามขึ้น ๒ ฝูง ที่ดอนเมือง และบรรจุเครื่องบินแบบ นาโกย่าเข้าประจำการในฝูงบินขับไล่พิบูลสงคราม ๑ และ ๒ ใน บน. ผสมที่ ๖๖ ดอนเมือง แห่งกองบินใหญ่ภาคใตั ชึ่งมี น.ท. ขุนรณนภากาศ เบ็นผู้บังคับกองบิน ฝูงบินขับไล่พิบูลสงคราม ๑ มี ร.อ. ประสงค์ สุชีวะ เป็น ผบ.ฝูง ร.ท. ชุมสาย เอกฉันท์ เป็น รอง ผบ.ฝูง ฝูงบินขับไล่พิบูลสงคราม ๒ มี ร.อ. พิชัย พิริยายน เป็น ผบ.ฝูง และ ร.ท. มานพ สุริยะ เป็น รอง ผบ. ฝูง
เครื่องบินนาโกย่า ได้เป็นกำลังอันสำคัญของกองทัพอากาศในการรบในกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศษ

http://www.encyclopediathai.org/aircraft/Attack/nagoya/nagoya.htm

สำหรับการปฏิบัติภารกิจของเครื่องรุ่นนี้ในช่วงสงครามอินโดจีน ที่สำคัญๆ มีดังนี้

วีรกรรมเหนือฟ้านครวัด ของ นาวาอากาศโท ขุนรณนภากาศ (จอมพลอากาศ ฟื้น ฤทธาคนี)

กองทัพอากาศไทยได้จัดฝูงบินโจมตี และฝูงบินไล่ขับไล่ ไปโจมตีทิ้งระเบิดสนามบินนครวัด ๒ ครั้งด้วยกัน ทำให้เกิดการยุทธทางอากาศที่สำคัญ ดังนี้

ครั้งที่ ๑ เป็นการสู้รบติดพันกลางอากาศของฝูงบินรบฝ่ายไทยกับฝูงบินขับไล่ฝ่ายข้าศึกครั้งที่รุนแรงที่สุด ซึ่งผลจากการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ ทำให้นักบินที่เข้าร่วมปฏิบัติภารกิจได้รับพระราชทานเหรียญกล้าหาญแทบทุกคน เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๔๘๔ ฝ่ายไทยได้ส่งฝูงบินโจมตี พิบูลสงครามจากดอนเมือง มุ่งไปโจมตีทางอากาศ ที่สนามบินนครวัด โดยมี นาวาอากาศโทขุนรณนภากาศ เป็นผู้บังคับฝูงบินโจมตี ประกอบด้วย เครื่องบินโจมตีแบบ ๒ (Ki-30 Nagoya) จำนวน ๔ หมู่บิน (๑๒ เครื่อง) และ เครื่องบินขับไล่แบบ ๑๑ (Hawk-75N) บินคุ้มกันจำนวน ๒ เครื่อง ครั้งเมื่อฝูงบินโจมตีเดินทางถึงสนามบินนครวัด ฝ่ายไทยได้ถูกต่อต้านด้วยอาวุธต่อสู้อากาศยานของข้าศึกอย่างดุเดือด แต่ฝ่ายไทยก็สามารถปฏิบัติภารกิจได้สำเร็จ โดย เครื่องบินขับไล่ฝ่ายไทย จำนวน ๒ เครื่อง (มี พันจ่าอากาศเอกสังวาลย์ วรทรัพย์ กับ จ่าอากาศเอกทองคำ เปล่งขำ เป็นนักบิน) สามารถยิง เครื่องบินขับไล่ฝ่ายข้าศึก แบบโมราน (Morane-Saulnier 406) ตก จำนวน ๒ เครื่อง และ เครื่องบินโจมตีฝ่ายไทย (มี พันจ่าอากาศเอกสว่าง พัดทอง เป็นนักบิน และ พันจ่าอากาศเอกสำราญ โกมลวิภาต เป็นพลปืนหลัง) สามารถยิง เครื่องบินข้าศึกแบบโมราน (Morane-Saulnier 406) ตก จำนวน ๑ เครื่อง นอกจากนั้น เครื่องบินโจมตีฝ่ายไทยยังสามารถทำลาย เครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดใหญ่ของข้าศึกแบบ ฟาร์มัง (F-221 FARMAN) บนลาดจอดเสียหายอีกด้วย แต่ขณะเดียวกันฝ่ายไทยได้สูญเสียเครื่องบินโจมตีแบบ ๒ (Ki-30 Nagoya) จำนวน ๑ เครื่อง (มี พันจ่าอากาศเอก บุญเยี่ยม ปั้นสุขสวัสดิ์ เป็นนักบิน และ พันจ่าอากาศเอกบุญ สุขสบาย เป็นพลปืนหลัง)

ครั้งที่ ๒ เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๔๘๘ ฝ่ายไทยได้ส่งฝูงบินโจมตีขนาดใหญ่ จำนวน ๓๓ เครื่อง โจมตีสนามบินนครวัดและเป้าหมายทางทหารในพื้นที่ใกล้เคียงที่เสียมราฐและสนามบินใหม่ที่นครธม โดยมี นาวาอากาศโทขุนรณนภากาศ เป็นผู้บังคับฝูงบินโจมตี ประกอบด้วย เครื่องบินโจมตีแบบ ๒ (Ki-30 Nagoya) จำนวน ๗ เครื่อง เครื่องบินโจมตีแบบ ๑ (Corsair V-93S) จำนวน ๑๖ เครื่อง เครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ ๓ (Martin 139 WS) จำนวน ๓ เครื่อง และ เครื่องบินขับไล่แบบ ๑๑ (Hawk-75N) จำนวน ๗ เครื่อง เมื่อฝูงบินโจมตีฝ่ายไทยเดินทางไปถึงที่หมายเมืองเสียมราฐและสนามบินนครวัด ได้ถูกต่อต้านด้วยอาวุธต่อสู้อากาศยานข้าศึกอย่างหนัก และฝ่ายข้าศึกได้ส่งเครื่องบินขับไล่จากสนามบินนครธมขึ้นมาสกัดกั้นการปฏิบัติการของฝ่ายไทยเช่นเดียวกับคราวที่แล้วมา แต่ฝ่ายไทยสามารถปฏิบัติภารกิจโจมตีทิ้งระเบิดต่อที่หมายทางทหารในพื้นที่ดังกล่าวได้สำเร็จ และสามารถบินเดินทางกลับฐานที่ตั้งในประเทศไทยได้โดยสวัสดิภาพทุกเครื่อง ซึ่งในการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ นาวาอากาศโทขุนรณนภากาศ ซึ่งเป็น ผู้บังคับฝูงบินโจมตี นอกจากจะปฏิบัติการโจมตีทิ้งระเบิดถูกโรงเก็บ เครื่องบิน และคลังน้ำมันจนเกิดการระเบิดไฟลุกไหม้ขนาดใหญ่แล้ว แทนที่จะรีบบินเดินทางกลับตามฝูงบินที่เดินทางกลับเมื่อเสร็จภารกิจ กลับได้บินตรวจการณ์ถ่ายภาพทางอากาศภายหลังจากการใช้อาวุธของฝ่ายไทยในพื้นที่เป้าหมายโดยลำพัง ทั้งที่บริเวณสนาบิน นครวัดและบริเวณสนามบินใหม่ที่นครธมซึ่งอยู่ทางเหนือของสนามบินนครวัดขึ้นไปประมาณ ๑๕ ไมล์ โดยไม่หวั่นเกรงเครื่องบินขับไล่ข้าศึกซึ่งยังคงบินปฏิบัติการในพื้นที่แต่อย่างใด และจากการปฏิบัติภารกิจโดยลำพังอย่างกล้าหาญนี้เอง ทำให้ นาวาอากาศโท ขุนรณนภากาศ ได้มีโอกาสแสดงฝีมือบินชั้นครูและความองอาจกล้าหาญของนักบินไทย ให้ประจักษ์ต่อนักบินขับไล่ฝ่ายข้าศึกซึ่งนำหมู่บินขับไล่แบบโมราน (Morane-Saulnier 406) จำนวน ๔ เครื่อง เข้าจู่โจมรุกไล่รบติดพันกันกลางอากาศกับ เครื่องบินโจมตีแบบ ๒ (Ki-30 Nagoya) ซึ่งมีความเร็วต่ำกว่า ก่อนที่เครื่องบินโจมตีแบบ ๒ (Ki-30 Nagoya) จะสามารถฝ่าวงล้อมของเครื่องบินขับไล่ของข้าศึกกลับมายังเขตไทยที่สนามบินจันทบุรีโดยสวัสดิภาพ จากการที่ นาวาอากาศโท ขุนรณนภากาศ ได้แสดงฝีมือบินและความองอาจกล้าหาญให้เป็นที่ประจักษ์ทั้งตัวผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งเป็นลูกหมู่ และตัวข้าศึกในการรบทางอากาศที่เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต ทั้ง ๒ ครั้งนี้ ชาวไทยและชาวกองทัพอากาศทั้งปวงจึงถือกันว่าท่านเป็นวีรชนผู้ยิ่งใหญ่ของชาติ และของกองทัพอากาศท่านหนึ่ง

http://yyoothp15.wordpress.com/

 

เป็นที่น่าเสียดายว่าหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบ และเมื่อประเทศไทยเข้าเป็นพันะมิตรกับสหรัฐและเริ่มรับความช่วยเหลือทางทหารจากสหรัฐ ที่ปรึกษาทางทหารของสหรัฐได้ขอให้ไทยทำลายเครื่องบินญี่ปุ่นให้หมด (สาเหตุคงเพราะไม่ชอบเป็นการส่วนตัว) จึงไม่เหลือเครื่องรุ่นนี้ให้คนไทยรุ่นหลังได้เห็นอีกครับ  คงเหลือแต่เครื่องบินฝึกของญี่ปุ่น บ.ฝ.๖ ทาชิกาวา (Tachikawa) ที่รอดมาได้เพียงเครื่องเดียวเท่านั้น

http://www.rtaf.mi.th/museum/BLDG2-1.HTM

โดยคุณ seaman เมื่อวันที่ 19/10/2012 23:20:21


ความคิดเห็นที่ 9


ขอบคุณ คุณseaman มากเลยครับ
โดยคุณ jeab2511 เมื่อวันที่ 20/10/2012 04:44:59


ความคิดเห็นที่ 10


ผมอ่านแล้วได้ความรู้ขึ้นมากๆเลยครับ วีรกรรมของเสืออากาศไทยนี้สุดยอดไปเลย ทั้งเก่งและกล้าหาญมาก .....ขอบคุณ คุณ seaman มากๆๆครับ

โดยคุณ VIRUS เมื่อวันที่ 21/10/2012 02:06:43