เอาจากความทรงจำก่อน
ประเด็นที่ไทยไม่รู้ตัว อันนี้ก็มีคนตั้งข้อสงสัยเรื่องทฤษฏีสมคบคิดว่าจอมพลป.ต้องการเข้ากับฝั่งญี่ปุ่น แต่รู้ว่าประชาชนไม่สนับสนุน เลยทำทีสู้กันนิดหน่อยแล้วยอมแพ้ เพราะตอนที่ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบก จอมพลป.ไปอยู่ต่างจังหวัด
ตอนนั้นญี่ปุ่นโชวอหังการ บุกมันทั้งแปซิฟิกพร้อมกัน คือ ไทย สิงคโปร์ เพิร์ลฮาร์เบอร์ กับไรไม่รู้ ในเวลาไล่เลี่ยกันมาก (สมัยนั้นการสื่อสารไม่ทันสมัยเหมือนสมัยนี้ เพราะงั้นแค่นั้นก็เก่งแล้ว) อเมริกาก็เหวอเหมือนกัน
แต่ก็มีคนอเมริกาเชื่อว่าอเมริกาแกล้งปล่อยให้ญี่ปุ่นบุกเพื่อเข้าร่วมสงคราม ทฤษฏีสมคบคิดอีกเช่นกัน
ตนนั้นเราจะยันได้นานแค่ไหน ตอบไม่ได้ แต่ไม่นานหรอกครับ เพราะมากันเยอะมาก อาวุธยุทโธปกรณ์คนละเลวเว่วกันทั้งจำนวนและอานุภาพ แล้วพี่แกบุกมาทีเป็นแถบไล่มาตามอ่าวไทย ตอนสู้กันก็เจอเลคลื่นมนุษย์เราก็ถอยไปเรื่อยๆ จนมีประกาศหยุดยิง
ถามว่าเราเป็นนกสองหัวหรือหุ่นเชิดของญี่ปุ่นไหม ก็ตอบยาก เพราะสถานการณ์ค่อนข้างซับซ้อน ตอนเริ่มสงคราม ญี่ปุ่นให้เราเลือกว่าจะยอมให้ผ่านทางหรือจะเป็นพวก เราก็ยอมให้ผ่านทางจนโดนสัมพันธมิตรมาบอมบ์ทางรถไฟ (ญี่ปุ่นต้องการผ่านไทยไปอินเดีย) เราเลประกาศสงครามกับสัมพันธมิตร
แต่ก็มีกลุ่มต่อต้าน ซึ่งบุคคลแกนนำก็ไม่ใช่ชาวบ้านตาดำๆทั่วไป แต่เป็นบุคคลที่มีตำแหน่ง มีอำนาจสมัยนั้นก็มีเยอะ
ซึ่งก็เป็นกลุ่มเสรีไทยนั่นแหละ คอยก่อนสงครามจารชน รวมทั้งให้การสนับสนุนสายลับของอังกฤษกับอเมริกาในไทย
ส่วนตอนท้ายสงครามตอนญี่ปุ่นใกล้แพ้ ไทยกับญี่ปุ่นก็ไม่ค่อยไว้ใจกันละครับ จะรบกันเอง เคยอ่านมา ตอนนั้นมีแผนลอบสังหารผบ.กับนายทหารคนสำคัญๆของญี่ปุ่นหลายคน กะเอาชนะเลย เตรียมฝึกหน่วยคอมมานโด ตำรวจ ใช้ปืนกลมือทอมป์สันกับระเบิดมือเข้าไปลอบสังหาร แต่ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ก่อน
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันรอดูดอย่างเดียว
1.กองทัพเรือน่ะจะเอาอะไรไปสู้ครับ สมัยนั้นเรือขนาดใหญ่ที่สุดที่เรามีคือเรือปืนหนักศรีอยุธยา และกำลังรบหลักคือเรือตอร์ปิโดเล็ก-ใหญ่อีกราวๆ10ลำ ต่างจากญี่ปุ่นที่มีเรือประจัญบานฮารุนะเป็นเรือธง ล้อมรอบด้วยเรือลาดตระเวนหลายลำ ไปขวางคงได้ว่ายน้ำกลับสัตหีบกันหมด
2.อังกฤษบอกว่าให้ไทยสู้อยู่ก่อน เดี๋ยวมาช่วย...แต่สุดท้ายกำลังของอังกฤษในสิงคโปร์ก็พ่ายแพ้ไป
ไทยเราสู้ไม่ถึงวันก็สงบศึกแล้ว
อังกฤษตอนนั้นในแถบมลายูนี่ไม่มีจะสู้แล้ว เพราะในเกาะอังกฤษเองก็ตึงมือ
ตอนนั้นถือเป็นการบุกที่เซอร์ไฟรซ์มาก เพราะไม่มีใครเชื่อว่าจะมีใครบ้าทำอย่างนั้น บุกทีเดียวทั้งแปซิฟิค
เท่าที่จำได้
ญี่ปุ่นสมัยนั้นมีกองทัพที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่มาก ก่อนที่จะบุกเพิร์ลกองทัพญี่ปุ่นก็ทยอยเข้ายึดเกาะเล็กเกาะน้อยในแปซิฟิค เข้าใจว่าเป็นการเปิดทางให้กองเรือบรรทุกเครื่องบินสามารถเข้าไปใกล้ฮาวายได้โดยง่าย พอทางสะดวกก็ปล่อยฝูงบินไปถล่มเพิร์ลฮาเบอร์จนกองเรือแปซิฟิคของอเมริกาพังย่อยยับ
กลับมาตอนบุกไทย เช้าวันนั้นกองทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกตามแนวชายฝั่งอ่าวไทยน่าจะเกือบทั้งหมด กองทัพเราก็ไม่ทันได้ระวังตัวเลยสู้ได้ไม่นานแล้วก็ต้องประกาศยอมสวามิภักดิ์ต่อกองทัพญี่ปุ่นและประกาศสงครามกับสัมพันธมิตร บรรดาผู้มีอำนาจในกองทัพและรัฐบาลหลายคนก็ไม่เห็นด้วยเลยร่วมมือกับประชาชนจัดตั้งกองกำลังใต้ดินอย่างลับๆหรือที่เรียกกันว่า เสรีไทย นั่นแหละครับ คอยชี้เป้าที่ตั้งกองทัพญี่ปุ่นในไทยให้กองบินของสัมพันธมิตรมาทิ้งระเบิดใส่
ตามความเข้าใจของผมนะครับ
การข่าวทราบมาก่อนพอสมควรว่าอาจจะมีการบุกไทยเพื่อผ่านไปพม่า อินเดีย มลายู และสิงค์โปร์ เพียงแต่ไม่ทราบวัน ว. เวลา น. และสถานที่ที่ชัดเจน กองทัพเรือไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยอย่างในปัจจุบัน เชื้อเพลิงเงินทองก็มีจำกัด จะติดเครื่องเรือแล่นลาดตระเวณหาข่าวแบบตีกริตคงทำไม่ได้ กองเรือประมงใหญ่ยักษ์เพียบทั้งเรดาร์โซนาร์อย่างปัจจุบันก็ไม่มี มีแต่เรือใบหาปลาชายฝั่ง จะอาศัยให้เป็นเสือป่าแมวเซาเฝ้าระวังหาส่งข่าวให้หาได้ไม่ โดนบุกเอาเรือเทียบอาคารสุขตาศาลาสุขใจที่บางปูเป็นชั่วโมงไม่มีใครรู้ พร้อมกับที่วัฒนานครโดยบอม์บ ยุทธเวหาช่วงสั้นๆ เราก็ได้วีรบุรุษเสืออากาศอีก 3 ท่าน กิ-27 มันสอยฮอร์ค 3 เราเรียบ จากนั้นนั่งรถไฟวิ่งเข้ากรุงเทพฯ ไม่นับที่ประจวบฯ ชุมพลฯ นครศรีฯ ปัตตานี ฯลฯ ปะทะหนักกันทั้งสิ้น กำลังพลน้อยกว่าเพราะเป็นช่วงพลัดสอง กำลังฝึกทหารใหม่ อาวุธก็ด้อยกว่า กระสุนก็น้อยกว่า (ใช้ ปลย. แบบเดียวกัน) ปะทะยื้ดเยื้อตามแบบต่ออีกวันเราคงเสร็จ กลายเป็นประเทศแพ้สงครามให้ญี่ปุ่น ทีนี้ละดูไม่จืดกันเลย
พยายามเข้าใจคณะรัฐบาลในสมัยนั้น รบกับญี่ปุ่นบ้านเรือนราษฎร์ฉิบหายป่นปี้ จะโดนเค้ากดขี่เยี่ยงผู้แพ้สงคราม แต่ถ้ายอมให้เดินทัพผ่าน ยอมเป็นพันธมิตรร่วม ยังพอพาชาติบ้านเมืองผ่านวิกฤติไปได้ถึงแม้จะเป็นแบบชั่วคราวไม่รู้อนาคตก็ตาม ก็ถือว่าดีที่สุดที่จะทำได้แล้วในขณะนั้น
โชคดีของประเทศอีกอย่างคือเกืดขบวนการเสรีไทยขึ้นมาบาลานซ์ทันที ทำให้ตอนจบหวยออกข้างไหน ไทยเราก็ยังสามารถเอาสีข้างเข้าถูขออยู่ข้างชนะด้วยได้ แทนที่จะเสียมากก็เสียน้อยลง (ครั้งนี้เจ็บใจอังกฤษมาก ก่อนหน้านั้นก็เศษฝรั่ง)
ไม่มีทางสู้ได้ครับไม่ว่าด้วยอะไรทั้งนั้น กองเรือก็เล็กกว่ามาก รถรบของเรามีอย่างเก่งทั้งประเทศ ก็ไม่เกิน 80-100 คัน เทียบกับญี่ปุ่นที่เอามาอย่างต่ำ 300 เครื่องบินก็น้อยกว่าและยังเป็นรุ่นที่ต่ำกว่าด้วย ผมว่าการยอมแพ้เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วครับ ไม่งั้นญี่ปุ่นทำกับเราเหมือนทำกับจีนที่นานกิง แน่ๆ ฆ่าล้างเมือง ข่มขืนเรียบทั้งเด็กทั้งคนแก่ กลางถนนก็ไม่เว้น แข่งกันใช้ดาบซามูไรฟันคนเล่นว่าใครจะฟันได้มากกว่ากัน แล้วก็หาวิธีสารพัดที่จะฆ่าคนเล่นเพื่อให้เกิดความบันเทิง... ถ้าเราสู้ไม่ยอมแพ้ พูดได้เลยว่า บรรพบุรุษเราหลายๆคนอาจไม่ได้รอดมาเป็นต้นตระกูลเรา....
หนังสือหลายๆเล่มบอกว่าเป็น KI-27 แต่ผมกำลังนึกเล่นๆว่า หรือว่ามันจะเป็นเครื่อง A5M ของญี่ปุ่นกันแน่ เพราะเครื่องตระกูล KI มันสังกัดกองทัพบกพระจักรพรรดิ ....ไม่น่าจะใส่เรือมาถล่มเราได้ หน้าตาคล้ายกันมาก
กำลังทางอากาศของญี่ปุ่นที่ใช้โจมตีไทยและกองเรืออังกฤษที่มลายูบินมาจากอินโดจีนเวียดนามครับ เป็นฐานบินบนบกไม่ใช่มาจากเรือบรรทุก บ. บ.อย่างกิ-27 และ กิ-21 บินกันว่อน
เอ-5 เอ็ม ของกองบินทหารเรือใช้กันมากในสมรภูมิจีนครับ
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะใช้เรือลาดตระเวณไปทั่วอ่าวไทยแล้วจะเจอเรือญี่ปุ่นครับ
เรือญี่ปุ่นแล่นออกจากไซ่ง่อนวิ่งถึงบ้านเราไม่เกิน 72 ชั่วโมง ถ้าไม่ได้จับจ้องตั้งแต่เรือออกจากท่าคงยากที่จะรู้ตัวล่วงหน้า
อังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริการู้หรือเปล่าว่ามีการเคลื่อนกองเรือ แล้วถ้ารู้ฝรั่งมันทำยังไง จะแชร์ข่าวแบ่งข่าวแจ้งเตือนเราหรือเปล่า ?
เรือใหญ่ใช้ลาดตระเวณของเราก็มีแค่เรือปืนชายฝั่งศรีอยุธยา ระวางขับน้ำสองพันฝ่าๆ กับเรือพี่เรือน้องรัตนโกสินทร์/สุโขทัย ระวางขับน้ำพันต้นๆ กับเรือตอร์ปิโดใหญ่จากอิตาลี ระวางขับน้ำเกือบห้าร้อยตัน เรือสลุปสองลำ ระวางสองพันกว่าๆ แล้วก็เรือ ส. ชายฝั่งอีก 4 ลำ ระวางขับน้ำแค่ 370 ตัน ทั้งหมดไม่มีเรดาร์ แล้วก็ไม่ได้ออกเรือเพ่นพ่านทั้งกองเรือ ไม่มีใครบอกข่าวชี้เป้า ไม่มีเครื่องบินพิสัยไกลอย่างคาตาลิน่าของเมกัน บินเป็นกริตตระเวณค้นหา แล้วเราจะหาเรือญี่ปุ่นเจอได้อย่างไรครับ เป็นเรื่องยากมากๆ
วัน ว. เวลา น. ก็แยบยลมาก เลือกเอาวันสุกดิบที่เรากำลังจะจัดงานฉลองวันรัฐธรรมนูญ ประชาชนและข้าราชการทั้งหลายอยู่ในอารมณ์กำลังจะฉลองรื่นเริงกัน การเวรยามเฝ้าระวังอาจย่อนยาน อีกทั้งญี่ปุ่นเจ้าเล่ห์ยังอุตสาห์จัดงานราตรีสโมสรเชิญเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจระดับสูงและคณะรัฐมนตรีไปร่วมงานเพื่อไม่ให้สั่งงานตีโต้ได้ถนัด ทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงการเตรียมการเป็นอย่างดี แบบว่ารบต้องชนะเท่านั้น
ที่จะทำให้ญี่ปุ้นแปลกใจก็คือญี่ปุ่นต้องเสียเวลาและกำลังพลไปมากกว่าที่คาดการณ์ไว้กับการปะทะกับกำลังผสมของไทย จนต้องเร่งคำขาดให้จอมพล ป. ตัดสินใจยอมให้ญี่ปุ่นผ่านไปตีมลายู ไม่งั้นจะถล่มกรุงเทพฯ รวมทั้งวัดพระแก้วด้วย ผู้นำเราบวกลบคูณหารแล้วจำต้องยอมให้ญี่ปุ่น แล้วค่อยไปหาทางแก้ไขต่อไป
มดตัวน้อยตัวนิด เก็บแรงไว้รุมกัดเมื่อโอกาสอันควรมาถึง น่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับไทยเราในเวลานั้นครับ
เท่าที่ทราบ เราก็ไม่ได้ไม่รู้ว่าญี่ปุ่นจะมายกพลขึ้นบกนะครับ เพราะมีการตั้งแนวรับของทหารประจำการ,ยุวชนทหาร,ตำรวจ รวมถึงมีทั้งรังปืนกลและปืนใหญ่ต่างๆรวมอยู่ด้วย (โดยเฉพาะที่ประจวบฯ ในตำราที่อ่านเขียนว่าฝ่ายไทยนำกำลังทั้งทหารตลอดจนชาวบ้านเข้าสู้ มีแนวตั้งรับที่ประะกอบด้วยรังปืนกลและสิ่งกำบัง โดยมีทั้งอากาศยานและปืนใหญ่สนับสนุน)
อย่างที่บอกไปตอนแรก เราทราบครับว่าอาจจะมีการบุกโดยญี่ปุ่น แต่เราไม่ทราบชัดเจนว่าเมื่อไหร่และที่ไหน
ไม่งั้นญี่ปุ่นไม่มีทางย่องเงียบเข้ามาเชือดมายึดรังปืนกลหน้าอ่าวมะนาวเราได้หรอกครับ ทหารไทยกลุ่มแรกเลยครับที่เสียชีวิตในการรบ จากนั้นมีบางทหารวิ่งกลับมาบอกพวกได้ว่าญี่ปุนบุกแล้ว จากนั้นก็เริ่มซัดกันนัวจนขณะญี่ปุ่นประชิดโรงเก็บเครื่องบินและทางขับทางวิ่งได้แล้วก็โกลาหลกันครับ นบ. ก็พยายามเอาเครื่องขึ้น ญี่ปุ่นก็พยายามขัดขวาง นบ. และพลปืนหลังเราโดนทั้งยิงทั้งฟันเจ็บตายกันไปหลายอยู่ รวมทั้งคอร์แซร์ก็ยับไปหลายเครื่องด้วย มีที่ขึ้นได้หนึ่งลำหย่อนระเบิดใส่ญี่ปุ่นได้เสร็จก็ต้องร่อนลงหน้าอ่าวประจวบเพราะโดนไปหลายนัด
นานเข้ากระสุนเราร่อยหรอ ญี่ปุ่นก็ยังไม่ถอยไปไหน ผบ. กองบินท่านจึงสั่งให้เทครัวขึ้นไปปักหลักบนเขาเป็นที่มั่นสุดท้ายจนกว่าจะมีกำลังหนุนมาช่วย เกือบเที่ยงวันรุ่งขึ้นถึงมีไทยญี่ปุ่นคล้องแขนกันเข้ามาถือหมายให้หยุดยิงการรบจึงจบ
สรุปญี่ปุ่นตายไปสองร้อยเศษ ไทยในกองบินตายเกือบสี่สิบ รวมภรรยาท่านเฉลิมเกียรติฯ ด้วย ตำรวจที่ประจวบตายอีกสิบสอง
รบกันจำกัดเขตและเวลา หรือรบหน่วงเวลา ไทยเราสามารถแค่นั้นครับ ถ้ายืดเยื้อออกไปแล้วเราไม่ชนะหรือไม่มีใครมาช่วยก็เหลือประตูเดียวให้ไทยเราเดินคือเจรจาครับ กรณีญี่ปุ่นบุกไทยก็เช่นกัน ถามว่าเราแพ้ไหมอันนี้ต้องดูครับว่าเราบรรลุวัตถุประสงค์แห่งการรบนั้นๆ หรือเปล่า ทหารในสนามรบคงว่าไม่แพ้เพราะญี่ปุ่นผ่านพวกท่านทั้งหลายไปไม่ได้จนกระทั้งมีคำสั่งหยุดรบยอมให้ญี่ปุ่นผ่าน
แต่ถ้าการรบยืดเยื้อออกไป เราคงแพ้แน่เพราะไม่พร้อมทั้งจำนวนคน อาวุธ กำลังบำรุง สป.ต่างๆ และผลจากการรบถึงแพ้ไม่อยากจะนึกเลยชาติไทยเราจะเป็นอย่างไร
รูป Ki-27 Nate ครับ ญี่ปุ่นใช้เล่นงานเราตอนแรก ภายหลังเราขอซื้อราคามิตรภาพมาใช้แทนเครื่องฝรั่งที่ไม่มีอะไหล่ จำไม่ผิดรู้สึกว่า 9-12 ตัวอะไรประมาณนั้น จากนั้นไม่นานก็ได้โอกาสสร้างวีรกรรม 5 ต่อ 21 เหนือน่านฟ้าเขลางค์นครลำปางเป็นที่เลื่องลือสืบมา
ส่วนนี่ A5M กับ Ki-21 ครับ มีตัวไทยด้วย
Ki-21 เนี่ย ท่านใดเคยอ่านหนังสือ "พลปืนหลัง" ของท่านสุรินทร์ (ขออภัยจำนามสกุลไม่ได้) จะเข้าใจพลานุภาพของไทยเราในอดีตเป็นอย่างดี หมวดบินเราบินไปถล่มทหารจีนถึงเชียงตุงด้วยเครื่อง Ki-21 ใครจะคิดว่าประเทศเล็กอย่างเราจะมีกองทัพอากาศเป็นลำดับต้นๆ ของเอเซียและของโลก มีปฏิบัติการด้วยป้อมบินทิ้งระเบิดเหมือนประเทศมหาอำนาจจากฝูงบิน Ki-21 และ Martin Bomber เสริมด้วยฝูงบินโจมตีแบบ Ki-30 อีก 24 ตัว มีฝูงขับไล่ผสมทั้ง Ki-27 Nate และ Ki-43 Oscar รวมถึง บ. ฝรั่งอย่าง ฮอร์ค 75, ฮอร์ค 2 และ 3 และ บ. ที่เราสร้างเองอย่างคอร์แซร์ ดูแล้วเป็นรองแค่ญี่ปุ่นเท่านั้นมั้งครับยุคนั้น
มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากทราบคือ เครื่อง Zero กับ spiritfire เปรียบเทียบกัน สูสี่ ไหมคับ
zero fighter หรือ a6m นั้นเป็นเครื่องที่มาในหลักนิยมญี่ปุ่น คือ เบาไว้ก่อน วัสดุบางเฉียบ ทำให้ขนน้ำมันไปได้เยอะ บินไกลจนฝรั่งงง หลายครั้งที่บินไปโจมตีที่ต่างๆได้โดยฝ่ายอเมริกาคาดไม่ถึง เพราะไม่นึกว่าจะบินได้ไกลขนาดนั้น ตามหาเรือขนบ.กันจ้าละหวั่น ที่ไหนได้ เฮียแกบินข้ามทะเลมาเลย ข้อเสียคือ ด้วยหลักนิยมจักรวรรดิญี่ปุ่นทำให้ระบบความปลอดภัยต่างๆไม่มี (ไม่ต้องมีน้ำหนักส่วนเกิน) ทหารพร้อมไปตายอยู่แล้ว
ใช้ในกองทัพเรือ เป็นเครื่องโจมตีระยะไกล (ด้วยเหตุผลข้างต้น) ในยุคของมันก็ดีอยู่แหละครับ แต่ต่อมารุ่นอื่นๆก็แซงไปไกล
การออกแบบบ.ญี่ปุ่นสมัยนั้นถ้าจำไม่ผิด วิศวกรชาวเยรมันเป็นคนช่วยบุกเบิก ทำให้ญี่ปุ่นสามารถผลิตอะไรที่ฝรั่งงงได้ เพราะไม่ต้องใช้เวลาพัฒนาวิจัยค้นคว้าจากศูนย์
สปิตไฟร์เป็นเครื่องขับไล่โดยตรง ถ้าเดี่ยวๆกันซีโร่กระจายครับ ความเร็วซีโร่ตามไม่ทัน
Spitfire vs Zero คงเทียบกันได้ยากครับ เพราะถ้าผมจำไม่ผิด Spitfireมันเป็นGround-based aircraft ในขณะที่ZeroมันCarrier-based ข้อจำกัดเยอะกว่า เอามาซัดกับGroundbaseตรงๆคงไม่ไหว
ถ้าเทียบคงต้องเทียบกับSeafire (varianceของSpitfireสำหรับเรือบรรทุกเครื่องบิน) แต่กว่าจะออกมาก็1942แล้ว (Zeroรุ่นแรกๆออกมาตั้งแต่ก่อน1940) แถมปัญหาเยอะและตอนนั้นก็มีHellcatแล้วซึ่งเหมาะสมกว่า
หรือถ้าจะเทียบกับSpitfireคงต้องพวกGround-basedเหมือนกันอย่างพวกตระกูลKiบางรุ่น ซึ่งญี่ปุ่นตามหลังอยู่เยอะจริงๆโดยเฉพาะเรื่องเครื่องยนต์ ยิ่งท้ายๆสงครามยิ่งชัดเจน (แต่ก็ไม่ได้ขี้เหร่มากนัก เครื่องบินช่วงท้ายๆสงครามที่ซัดกับHellcat, Corsairได้สูสีก็มีอยู่ถึงแม้นักบินเก่งๆจะแทบไม่เหลือก็ตาม)
ส่วนเรื่องญี่ปุ่นกับไทยช่วงWW2 ในสารคดี(ที่สร้างโดยตะวันตก)หลายๆอันเขาก็มองไทยว่าเป็นประเทศเป็นกลางแล้วโดนญี่ปุ่นบุกจนต้องยอมเป็นบPuppet Stateหรือหุ่นเชิด(จริงๆก็Commonsenseเพราะไทยไม่ได้มีความตั้งใจเข้าร่วมสงครามตั้งแต่ต้น ไม่ใช่กรณีอย่างGerman+Italy) อนึ่ง...ไทยเองก็มีผลประโยชน์หลายๆอย่างที่จะได้จากการเข้าร่วมกับญี่ปุ่นด้วย(จริงๆต้องเรียกว่า"โอกาสเอาสิ่งที่เคยถูกขโมยไปคืนมา...โดยเฉพาะจากฝรั่งเศส") รายละเอียดเท่าที่เคยอ่านมันซับซ้อนพอสมควร มีทั้งฝ่ายต่อต้านทั้งฝ่ายสนับสนุน ทั้งเรื่องการเมืองและเรื่องอื่นๆ ต้องลองหาอ่านกันเอง เอาลงคงไม่เหมาะนัก
โ
ส่วนตัวผมเชื่อว่ารัฐบาลตอนนั้นทำถูกแล้ว ทุกอย่างทำเพื่อผลประโยชน์ของประเทศล้วนๆ ไม่ใช่อ้างความถูกต้องแล้วเชิดชูบูชาประเทศตะวันตกที่เคยข่มขู่กดดันและขโมยหลายๆอย่าง(โดยเฉพาะดินแดน)จากเราไป สร้างปัญหาให้เราจนถึงปัจจุบัน(และคงต่อๆไป) ผู้เดียวที่หยิบยื่นโอกาสได้สิ่งเหล่านี้คืนมาก็มีเพียงแค่ญี่ปุ่นในตอนนั้นเท่านั้น
ตอนต้นของสงคราม ประเทศไทยกองทัพอากาศเป็นรองแค่ญี่ปุ่นในเอเชียมั้ง สมัยนั้นเราก็ใหญ่แหละ ทั้งด้านเศรษฐกิจเทคโนโลยี่ด้วย เพราะที่เหลือเป็นอาณานิคมกันหมด ตอนเข้าสงครามเย็นเราก็ยังใหญ่ จนหลังๆ นี่ยังไงไม่รู้ กลายเป็นไม่ใช่หัวแถวแล้ว
ญี่ปุ่นถูกอเมริกาคว่ำบาตรทางการค้าครับ ทำให้ประเทศที่เป็นเกาะอย่างญี่ปุ่นซึ่งต้องพึ่งพาทรัพยากรจากการนำเข้าเป็นส่วนใหญ่อย่างญี่ปุ่นต้องตกที่นั่งลำบาก.......ซึ่งคนส่งออกให้ญี่ปุ่นรายใหญ่ก็ไม่ใช่ใคร คืออเมริกานั่นเอง เหตุนี้ญี่ปุ่นจึงต้องเลือกระหว่างสงคราม กับการล่มสลายของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ซึ่งทางญี่ปุ่นเองก็ได้พยายามเจรจากับสหรัฐให้ส่งออกสินค้าให้ตน แต่ทางสหัรัฐไม่ยอม เพราะต้องการเรียกร้องให้ญี่ปุ่นถอนทหารออกจากดินแดนอาณานิคมชาติตะวันตก ทำให้ญี่ปุ่นจำต้องเข้าสู่สงครามครับ ซึ่งแผนจริงๆแล้ว คือโจมตีสหรัฐอย่างรุนแรงให้สหรัฐหมดทางต่อต้านเพื่อบีบให้สหรัฐเปิดการเจรจา...เพื่อส่งออกน้ำมันและสินค้าแกญี่ปุ่น แต่มันไม่ได้เป็นตามแผน เพราะทางสหรัฐสามารถฟื้นตัวและตีโต้กลับจนญี่ปุ่นพ่ายแพ้ไปครับ..
ซึ่งถ้าจะไปโหมบุกโซเวียต ญี่ปุ่นคงมีทรัพยากรไม่พอ อีกประการดินแดนโซเวียตกว้างใหญ่มากต่อให้ยึดฝั่งตะวันออกในเอเชียได้ทั้งหมดก็ไม่ได้หมายความว่าโซเวียตจะพ่ายแพ้ เพราะหัวใจหลักของโซเวียตอยู่ที่ฝั่งตะวันตก..โซเวียตอาจจะถอนกำลังทั้งหมดจากฝั่งตะวันออกมาป้องฝั่งตะวันตกเพื่อรักษาหัวใจของประเทศไว้รอวันโต้กลับ
ขอตอบเป็นข้อๆนะครับ
1. ไทยเรานกสองหัวแน่นอน ผมเชื่อว่าจอมพลปและรัฐบาลไทยรู้เห็นเป็นใจกัยเสรีไทย เพราะ
1.1มีนายทหารบางท่านถูกส่งออกไปนอกประเทศเพื่อเข้ากับเสรีไทย. หากรัฐบาลไม่รู้จะไหได้อย่างไร
1.2 จากหนังสืออัตชีวประวัติของท่านจอมพลประพาศ จารุเสถียรเล่ม1 ท่านเขียนว่าสมัยท่านเป็นนายทหารเด็กๆ ประมาณร้อยเอก/พันตรี ท่านได้รับมอบหมายจากกองทัพให้เป็นผู้ควบคุมการสร้างสนามบินลับที่จังหวัดแห่งหนึ่งด้วยงปประมาณ3ล้านบาทเพื่อใช้ต่อต่านญี่ปุ่น แปลว่ารัฐบาลไทยก็แอบต่อต้านญี่ปุ่น
2. ไทยสู้ญี่ปุ่นไม่ได้แน่นนอนกำลังต่างกันเยอะ อเมริกายังกระเจิง อังกฤษยังถูกจับ. ต่อให้เราต้านได้ก็แค่ไม่กี่วันเพราะอย่าลืมว่ารถถังเรื่องบินกระสุนเราไม่ได้ผลิตเองตอนนั้นทั้งยุโรปกำลังวุ่นใครจะมาส่งอาวุธให้เรา.
2.1 สังเกตุดูว่าชาติต่างๆที่ญี่ปุ่นเข้าไปยึดจะโดนทารุนกรรมต่างๆผู้หญิงโดนข่มขืน แต่เหตุการนั้นไม่เกิดขึ้นกับไทยผมว่าผู้นำสมัยนั้นตัดสินใจถูกแล้ว
2.2 ส่วนตัวเชื่อว่าการที่ญี่ปุ่นเจรจากับเราเพราะเราไม่ได้เป็นเมืองขึ้นฝรั่ง เป็นเอเชียด้วยกัน เลยปฎิบัติต่างกัน ให้เกียติตางกัน
3. ทำไมญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกไม่มีใครรู้ เทคโดนโลยียุคนั้นไม่มีเรด้า ต้องเอาตามองอย่างเดียวการสื่อสารก็ไม่ดีขนาด บุกเพิลฮาเบิล อเมริกายังแทบจะไม่รู้ตัวเลย รี่ล่องมาไทย ไม่กี่วันจะรู้ได้ไง อ่าวไทยไม่ใช่เล็กๆถ้าต้องตรวจการด้วยตาอย่างเดียว
เท่าที่รู้มาจากเอกสารต่างประเทศนะครับ บ.ลาดตระเวณอักกฤษตรวจพบกองเรือรบญี่ปุ่นก่อนเข้าสู่อ่าวไทยหลายชั่วโมงกำลังทางอากาศอังกฤษที่อยู่ในมาลายู-สิงคโปร์ เตรียมเครื่องออกทิ้งระเบิดกองเรือญี่ปุ่น เเต่ภารกิจถูกยกเลิกเมื่ออังกฤษพบว่าเรือรบญี่ปุ่นมุ่งหน้าเข้าอ่าวไทย เเละเเจ้งมายังทางการไทยทางการไทยขอให้อักกฤษช่วยป้องกันประเทศโดยให้เหตุผลว่าญี่ปุ่นจะใช้ไทยในการเข้าตีมาลายูเเละพม่าที่เป็นอาณานิคมอักกฤษทางอักกฤษบอกว่า บริเตนใหญ่เคารพในเอกราชของไทย เเละไม่นานหลังญี่ปุ่นบุกไทยมลายยูก็เสียเเก่ญี่ปุ่นอย่างง่ายดาย
ญี่ปุ่นไม่ได้กะล่อให้อเมริกาหมดทางต่อต้านครับ ระยะยาวแพ้แน่นอนนายทหารระดับสูงของญี่ปุ่นหลายคนก็รู้ ถึงพยายามจะบุกแถวมลายูเพื่อเอาทรัพยากรธรรมชาติมาเลี้ยงระบบอุตสาหกรรมทางทหาร เพราะที่ผ่านมาพึ่งนำเข้าจากอเมริกาเยอะมาก พออเมริกาตัดการส่งออกให้จากการที่ญี่ปุ่นไปทำสัญญากับเยอรมันกับอิตาลี่ ซึ่งทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นศัตรูของอเมริกาไปก็งานเข้า
ด้วยศักยภาพทางอุตสาหกรรม กับทรัพยากรธรรมชาติเทียบกันไม่ติด ญี่ปุ่นแค่ต้องการทำฮึ่มใส่ โชว์พาว์เฉยๆ เพราะอเมริกายังไม่ได้อยู่ในสงคราม ประมาณขู่ว่าถ้าไม่อยากมีเรื่อง อยากอยู่สงบๆก็ให้ส่งออกวัถุดิบมาให้ญี่ปุ่น
ทรัพยากรทางธรรมชาติกับกำลังการผลิต(จำนวนประชากร)ทำให้อเมริกาสามารถปั๊มเรือรบเรือขนบ.ออกมาได้เรื่อยๆเพิ่มขึ้นๆ ขณะที่ญี่ปุ่นมีแต่น้อยลงๆ ส่วนใหญ่สร้างก่อนสงคราม โดนจมไปจมมาทดแทนไม่ทันทัพเรือเล็กลงๆ
ประเด็นเรื่องบุกโซเวียต ก่อนหน้านั้นสาวกันไปรอบนึงแล้วครับ ปี 1939 ญี่ปุ่นแตกกระจาย ว่ากันตามตรงนะครับ ทหารบกญี่ปุ่นไม่ได้รบเก่ง (ต่างกับทหารอากาศและทหารเรือในสมัยนั้น) ที่ไล่ชนะๆตอนแรกเพราะรบกับแต่ละประเทศอ่อนแอทั้งนั้น ไม่เคยประมือกับมหาอำนาจ สู้แต่กับประเทศอานาณิคมที่ประเทศแม่ไม่มีเวลามาดูแล ตีกันในยุโรปอยู่ หลักนิยมการรบด้วยยานเกราะ กับการสนับสนนด้วยปืนใหญ่ไม่มีศักยภาพ คือไม่ได้ตั้งเป็นหน่วยรถถัง หน่วยยานเกราะเหมือนตวต. แต่บรรจุเข้าหน่วยทหารราบรวมกันไป การดำเนินกลยุทธ์ก็เวิร์คเฉพาะเวลาเข้าเมืองไล่ฆ่าชาวบ้านเท่านั้น สังเกตว่าญี่ปุ่นรบที่ไหน ตายที่นั่น เพราะหลักการรบใช้บันไซๆวิ่งเข้าไปตาย ใช้ความเหี้ยมความไม่เป็นมนุษย์นี่ล่ะ
แถมรถถังยังห่วยกว่าโซเวียต โดนอัดขี้แตก หลังจากนั้นก็จ๋อยไม่กล้าแหยมโซเวียตอีก
ส่วนกรณีที่โซเวียตทุ่มทหารไปทางเยอรมันได้ เพราะพี่แกมีสายลับอยู่ในญี่ปุ่น เป็นทูตของเยอรมันประจำโตเกียว แต่ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ แกรายงานว่าญี่ปุ่นไม่มีแผนจะบุกโซเวียตแต่อย่างใด (นี่ก็เป็นอีกข้อพิสูจน์ว่าการข่าวกรองสำคัญอันดับต้นๆเลยถ้าไม่ใช่สำคัญที่สุด)
จอมพลป.ผมมองว่าสนับสนุนญี่ปุ่นเพราะเห็นเป็นประเทศต้นแบบที่ต้องการพัฒนาไทยไปเป็นมหาอำนาจเยี่ยงนั้น อีกอย่างก็มองว่าญี่ปุ่นจะชนะสงครามมหาเอเชียบูรพาด้วย
ไทยกับญี่ปุ่นเริ่มไม่ไว้วางใจกันหลังจากเปลียนนายกเป็นนายควงอภัยวงศ์ในเดือนสิงหาคม 2487 ซึ่งก็ชัดเจนว่าอยู่ฝ่ายไหน
ไทยเริ่มติดต่อกับจีนกับสัมพันธมิตร ทั้งที่สมัยจอมพลป.จะกีดกันชาวจีนมาก