Juan Carlos I คือเรือรบอเนกประสงค์(Multi-Purpose Warship) หรือเรือโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบก(Amphibious Assault Ships)ลำใหม่ล่าสุดของกองทัพเรือสเปน คอนเซบในการออกแบบเรือถ้าดูผ่านๆจะคล้ายคลึงกับการนำเรือชั้นWAPSของอเมริกา มาติดสกีจั๊มเข้าไปที่ด้านหัวเรือ เพื่อรองรับการปฎิบิตการของเครื่องบินขึ้นลงแนวดิ่งทางวิ่งสั้น (A vertical and/or short take-off and landing : V/STOL) เช่น AV-8B Harrier II หรือ F-35B ในอนาคต แต่เมื่อมองในรายละเอียดจะมีความแตกต่างกันอยู่พอสมควร บทความนี้ผมจะพูดถึงแนวทางการออกแบบเรืออย่างคร่าวๆ ไม่ได้ลงลึกในเรื่องประสิทธิภาพหรืออุปกรณ์ต่างๆที่ติดตั้งบนเรือ
Juan Carlos I จัดอยู่ในประเภทเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์และสนับสนุนการยกพลขึ้นบก Landing Helicopter Dock (LHD)ได้รับพระราชทานพระนามกษัตริย์สเปนองค์ปัจจุบันในการตั้งชื่อ เริ่มวางกระดูกเรือในเดือนพฤษภาคม2005(Laid down) ปล่อยลงน้ำในวันที่10มีนาคม2008(Launched) และเข้าประจำการในวันที่30กันยายน2010(Commissioned) ราคารวมของเรืออยู่ที่600ล้านเหรียญข้อมูลทั่วไปมีดังนี้
Principal characteristics
Displacement at full load: 26,800 t Displacement as aircraft carrier 23,900 t
Maximum length overall: 231.40 m Overall length between
perpendiculars: 205.70 m
Maximum beam: 32.00 m Design beam: 29.50 m
Design draught: 6.80 m Depth to flight deck 27.50 m
Propulsion
Gas Turbine Generator 1 x 19,750 BkW Diesel generator sets: 2 x 7,680 BkW
Propulsor PODS: 2 x 11.0 MW Propellers in each POD 2 x 4.5 m, 3
blades
Main Plant: 2 Transversal bow propulsion: 2 x 1500 kW
Maximum full load speed: 20.0 knots Aircraft carrier mode maximum
speed: 21.0 knots
Maximum sustained speed: 19.5 knots Autonomy @ 15 kn: 9,000 miles
Emergency diesel generators: 800 kW
Surface Areas
Hangar: 1,000 m2 Light cargo deck 2,050 m2
Dock: 975 m2 Heavy cargo deck 1,400 m2
Total deck cargo zones: 5,425 m2 Flight deck: >4,500 m2
Crew and troops
Crew: 243 hands Chiefs of Staff: 103 hands
Embarked airborne unit: 172 hands Naval Beach Group: 23 hands
Embarked forces: 902 hands Total accommodation capacity: 1,443 hands
Embarked forces can be increased by installing accommodation containers in the hangar and light material garage
This means a reduction in the vehicle and aircraft cargo capacity.
Cargo capacity in tanks
Diesel fuel: 2,150 t Aviation fuel, JP-5: 800 t
Lubricating oil: 40 t Technical water: 17 t
Drinking water: 480 t Ballast water: 9,140 t
Cargo capacity in holds
Larders and stores for
provisions 260 t Combat rations 60 t
General stores 80 t Supplies and spares 105 t
Crew provisions, EM, UNAEMB,
GNP 20 days Provisions embarked forces 30 days
The ship has an additional 60 tons of combat ration cargo that will be considered preloaded on the vehicles situated
in the cargo garages.
Juan Carlos I เป็นเรือในตระกูลTHE ATHLAS FAMILY ของบริษัทNavantiaประเทศสเปน ซึ่งสามารถแบ่งเรือออกเป็น3กลุ่มด้วยกันตามภาพคือ
1.กลุ่มเรือ LHD / LHA ซึ่งมีการต่อเรือชั้น Juan Carlos I ตามแบบATHLAS 26,000 แล้วจำนวน3ลำ
The LHD is more complete with flush deck and ski-jump for V/STOL aircraft, whilst on the LHA the deck, also flush, is only planned for helicopters and is fitted with neither trampoline nor aviation control facilities.
2. กลุ่มเรือ LPD / LSD Fore flight deck.ซึ่งมีการต่อเรือชั้นGaliciaตามแบบATHLAS 13,000แล้วจำนวน2ลำ
The LPD's are foreseen for the landing of material andpersonnel, and the LSD's are optimised for the transport of material and landing craft.3LKA /LPA Fore flight deck. The LKA version has been designed specifically to transportcargo, helicopter equipment and landing craft. The LPA is optimised for personnel transport.
3.กลุ่มเรือ LKA /LPA Fore flight deck. ตามแบบATHLASยังไม่พบข้อมูลว่ามีการต่อขึ้นมาครับ
The LKA version has been designed specifically to transport
cargo, helicopter equipment and landing craft. The LPA is optimised for personnel transport.
เรือที่Navantia นำเสนอในทำการตลาดมีอยู่ด้วยกันหลักๆ4รุ่นประกอบไปด้วย
- ATHLAS 8000(LPD): มีขนาดเรืออยู่ระหว่าง7,000ถึง10,000ตัน มีลานจอดและโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์จำนวน2ลำ สามารถบรรทุกเรือระบายพลขนาดกลาง(LCM)ได้2ลำในส่วนอู่ลอย(Well Deck)ใต้ท้องเรือ สามารถบรรทุกทหารได้จำนวน450คนและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆอีกจำนวน600ตัน มีการนำเสนอแบบเรือนี้กับกองทัพเรืออัลจีเรียและฟิลิปปินส์ ตามข่าวอัลจีเรียเลือกต่อเรือLPDติดเรดาร์EMPARและจรวดAster15จากประเทศอิตาลีแล้วจำนวน1ลำ ส่วนประเทศเพื่อนบ้านเรายังอยู่ในระหว่างการพิจารณา คงจะอีกนานเลยเมื่อเทียบกับการจัดหาอาวุธที่ผ่านมาของเขา
- ATHLAS 13000(LPD): มีขนาดเรืออยู่ระหว่าง10,000ถึง15,000ตัน แบบเรือนี้ถูกต่อให้กับกองทัพเรือสเปน2ลำ ชื่อเรือGaliciaและCastilla นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอให้กับมาเลย์เซียด้วย แต่ดูเหมือนเขาจะต้องการแบบเรือLHD/LHAมากกว่า
- ATHLAS 20000(LHD): มีขนาดเรืออยู่ระหว่าง16,000ถึง23,000ตัน. ดาดฟ้าด้านบนเป็นลาดจอดอากาศยาน(Flight Deck)ส่วนด้านล่างเรือแบ่งออกเป็น2ชั้น คือในส่วนโรงเก็บอากาศยาน(Hangar)และในส่วนอู่ลอยกับพื้นที่สำหรับขนถ่ายอาวุธยุทโธปกรณ์(Dock) มีการนำเสนอแบบเรือให้กับเบลเยียมและลักเซมเบิร์กพิจารณา แต่สุดท้ายโครงการนี้ก็ถูกเลิกไปเสียก่อน
- ATHLAS 26000(LHD): มีขนาดเรืออยู่ระหว่าง24,000ถึง28,000ตัน คุณสมบัติรูปร่างหน้าตาเหมือนATHLAS 20000แต่มีขนาดใหญ่กว่า มีทั้งแบบดาดฟ้าเรียบและติดสกีจั๊ม12องศาที่หัวเรือ มีการสั่งต่อแล้ว3ลำคือ Juan Carlos I ของสเปน และเรือชั้นCanberraของออสเตรเลีย2ลำที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง
Juan Carlos I (L-61) เป็นเรือรบขนาดใหญ่ที่สุดที่มีการสร้างขึ้นในประเทศสเปน นอกจากนี้ยังเป็นเรือลำใหญ่ที่สุดของกองทัพเรือสเปนอีกด้วย ต้นกำเนิดของเรือเริ่มต้นขึ้นวันที่19มิถุนายน1992 มีการประชุมรัฐมนตรีของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปที่จัดขึ้นในเมืองPetresbergในประเทศเยอรมัน มีการกำหนดนโยบายในการร่วมมือกันทางด้านการปฏิบัติการทางทหารโดยแบ่งออกเป็น3กลุ่มหลักๆด้วยกันคือ
-ภารกิจให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม และการอพยพพลเรือนในพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง
-ภารกิจรักษาสันติภาพในยามสงบ
-ภารกิจสู้รบในสถานการณ์วิกฤต หรือเพื่อสร้างความสงบสุขให้บังเกิดขึ้นอีกครั้ง
เพื่อที่จะสามารถทำภาระกิจดังกล่าวลุล่วงไปได้ สหภาพยุโรปจำเป็นต้องมีเรือ รบอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ ที่สามารถลำเลียงพลเรือนหรือทหารได้รวมกันถึง60,000คน ในช่วงเวลาก่อนปี2000 สเปนมีเรือบรรทุกเครื่องบิน Príncipe de Asturiasขนาด16,000ตันจำนวน1ลำ เรือLPDชั้นGaliciaขนาด13,000ตันจำนวน2ลำ รวมทั้งเรือLSTชั้นNewport ซึ่งเป็นเรือเก่าขนาด8,000ตันจากอเมริกาอีก2ลำ กองทัพเรือจึงมีแนวความคิดที่จะสร้างเรือLHDขนาดใหญ่ขึ้นมาทดแทนเรือเก่าทั้ง2ลำที่มีขนาดเล็กและอายุมากแล้ว
ในปี2000เบลเยี่ยมมีแผนปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัยชื่อ "The Modernisation Plan 2000-2015 of the Belgian Armed Forces"จึงมีโครงการ NTBL(Navire de Transport Belgo-Luxemburgois)เพื่อต่อเรือสนับสนุนการยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่ NavantiaหรือIZARในขณะนั้นได้เสนอแบบเรือของตนเอง2แบบด้วยกันในโครงการนี้คือ ATHLAS 20000(LHD) และ ATHLAS 20000(LKA)ให้พิจารณา
เมื่อกองทัพเรือสเปนต้องการจัดหาเรือLHDลำใหม่ Navantiaจึงได้นำดีไซน์เรือLHDจากโปรเจคNTBLมาปรับปรุงขยายขนาดให้ใหญ่มากขึ้นไปอีก เพิ่มความแข็งแกร่งของลาดจอดเพิ่มลานสกีขนาด12องศาที่ด้านหัวเรือ ขยายขนาดภายในเรือในทุกสัดส่วนปรับปรุงตำแหน่งลิฟท์และอื่นๆเพื่อรอบรับความต้องการที่มากขึ้น แม้โปรเจคNBTLหรือATHLAS 20000(LHD)จะถูกยกเลิกไปในปี2003 แต่เรือJuan Carlos Iสามารถเริ่มวางกระดูกเรือในอีก2ปีต่อมา จากนั้นอีก5ปีเรือจึงเข้าประจำการอย่างเป็นทางการ ภาพด้านล่างคือแบบเรือ NBTLครับ พื้นที่ด้านล่างแบ่งเป็น2ชั้นอย่างชัดเจน
Juan Carlos I (L-61)เป็นการนำสิ่งที่เป็นจุดเด่นของเรือบรรทุกเครื่องบินV/STOL และเรือสนับสนุนการยกพลขึ้นบกLPDเข้ามาไว้รวมกัน นั่นคือมีลานจอดพร้อมสกีจั๊มขนาด12องศา รองรับการปฎิบัติการของเครื่องบินV/STOLและมีห้องควบคุมการบินแยกออกมาต่าง หาก มีทั้งโรงเก็บอากาศยานและอู่ลอยกับพื้นที่สำหรับขนถ่ายอาวุธยุทโธปกรณ์ นอกจากนี้ยังสามารถบรรทุกทหารไปด้วย902คนและขนรถถังLeopardได้มากสุด46คัน
ดาดฟ้าเรือซึ่งใช้เป็นลานจอดอากาศยานและชั้นถัดไปคือโรงเก็บอากาศยาน มีการเชื่อมโยงด้วยลิฟต์ขนาดใหญ่เพื่อให้สามารถใช้งานกับเครื่องบินF-35Bได้ในอนาคต มีการติดตั้งเครนขนาดใหญ่รับน้ำหนักได้18ตันทั้งภายในและภายนอกเรือ มีโรงพยาบาลขนาด18เตียงรองรับทั้งผู้ป่วยหนักติดเชื้อ การผ่าตัดทางทันตกรรมหรือทำการเอ็กซเรย์ร่างกาย
โรงเก็บอากาศยานชั้นสองมีขนาด1,000 m2 รองรับอุปกรณ์ขนาดเบาได้ที่2,050 m2 อู่ลอยกับพื้นที่สำหรับขนถ่ายอาวุธยุทโธปกรณ์ด้านล่างสุดมีขนาด975 m2รอบรับอุปกรณ์หนักได้ที่1,400 m2 ส่วนลานจอดบนดาดฟ้าเรือสามารถรองรับได้ไม่เกิน4,500 m2
ระหว่างโรงเก็บอากาศยานกับพื้นที่สำหรับขนถ่ายอาวุธยุทโธปกรณ์ มีRAMเชื่อมต่อกันสำหรับขนอุปกรณ์ขนาดเบา การจัดเก็บอุปกรณ์ภายในสามารถปรับเปลี่ยนได้หลายรูปแบบ รองรับทั้งปฏิบัติการทางอากาศหรือลำเลียงรถถังเพื่อยกพลขึ้นบก
ATHLAS 26000 กับการส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ
1.ใน เดือนพฤศจิกายน2007 ออสเตรเลียได้เซ็นสัญญามูลค่า1,411.6ล้านยูโรเพื่อต่อเรือ ATHLAS 26000(LHD)จำนวน2ลำกับNavantia โดยเรือHMAS Canberra และ HMAS Adelaide จะถูกสร้างขึ้นในสเปนจนถึงดาดฟ้าเรือเท่านั้น จากนั้นเรือจะโดนขนย้ายไปทำการประกอบในช่วงสุดท้ายที่ออสเตรเลียต่อ ถึงตอนนี้เรือทั้ง2ลำถูกจัดส่งไปแล้ว ส่วนตามหมายกำหนดการ เรือHMAS Canberraจะมีการจัดพิธีปล่อยเรือลงน้ำในเดือนมกราคม2014 ความต้องการของออสเตรเลียในภาพรวมเหมือนกับเรือ Juan Carlos Iมากมีข้อแตกต่างออกไปบ้างไม่มากนักเช่น
-ใช้ระบบ Combat Management System แบบ 9LV ซึ่งเป็นของSAAB
-ใช้เรดาร์ Sea Giraffe AMB multi-role surveillance radar ของSAABเช่นกัน
-ใช้ Infra-red Search & Track System (IRST) แบบ Vampir NG
-MSSR 2000 I -ของ EADS Cassidian.
-Northrop Grumman เป็นบริษัทพัฒนาออกแบบและจัดการระบบต่างๆบนเรือทั้งหมด
2.ใน เดือนกันยายน2009 รัสเซียมีความต้องการต่อเรือLHDโดยใช้เป็นเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ด้วย Navantiaจึงเสนอแบบเรือ ATHLAS26000ที่ไม่ติดสกีจั๊มบนหัวเรือให้พิจารณา หลังจากทำการคัดเลือกอยู่1ปี4เดือนรัสเซียจึงประกาศให้แบบเรือ Mistral Class จากฝรั่งเศสได้รับการคัดเลือก เรือชั้นJUAN CARLOS Iจึงหยุดอยู่ที่3ลำต่อไป
3.ใน โครงการจัดหาเรือLPDของประเทศตุรกี (Landing Platform Dock Project) วันที่28ธันวาคม2013 ตุรกีได้ประกาศให้อู่ต่อเรือภายในประเทศชื่อSedefเป็นผู้ได้รับการคัดเลือก โดยอู่นี้ใช้แบบเรือ JUAN CARLOS I จากNavantiaเป็นต้นแบบ จะมีการต่อเรือลำนี้และจัดหาอุปกรณ์ต่างๆภายในประเทศตัวเอง ดังรายการต่อไปนี้
-1 LPD and
- 4 Landing Craft Mechanics (LCM)
- 27 Amphibious Assault Vehicles (AAV),
- 2 Landing Craft Personnel Vehicles (LCVP),
- 1 Commander Boat
- 1 RHIB (Rubber Hull Inflated Boat) will be acquired
มูลค่ารวมทั้งโครงการอยู่ที่1.7พันล้านเหรียญ ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต่อเรือขนาดใหญ่เองในประเทศจึงมีราคาแพงพอสมควร ผู้เขียนคาดการณ์เองว่าตัวเลขจริงๆจะสุงกว่านี้ (โดยเทียบกับโครงการปัจจุบันที่ตุรกีมีปัญหากับเรือคอร์เวตตัวเอง)ในโครงการนี้แบบเรือJuan Carlos Iเอาชนะคู่แข่งอย่างLHDจากจีน เรือชั้นDokdoจากเกาหลีใต้ และเรือLHDขนาด27,000ตันรุ่นใหม่ล่าสุดจากอิตาลีที่กำลังจะสร้างในอนาคต
จากเอกสารเผยแพร่ของNavantiaเองระบุไว้ว่า เรือลำนี้มีขนาด27,000ตันและใช้สำหรับเฮลิคอปเตอร์เท่านั้น(จึงไม่มีสกี จั๊ม12องศาที่หัวเรือ) เนื่องมาจากพื้นที่นอกชายฝั่งตุรกีไม่มีความกว้างไกลและลึกมากเท่าไหร่ จึงสามารถใช้เครื่องบินจากฐานทัพอากาศปฏิบัติการคลอบคลุมได้ทั้งหมด อากาศยานปีกแข็งบนเรือรบจึงไม่จำเป็นแต่อย่างใด
เรือชั้น Juan Carlos I มีการต่อเข้าประจำการอย่างน้อยที่สุดก็4ลำแล้ว จัดเป็นเรือรบอเนกประสงค์ที่ทันสมัยใช้งานได้หลากหลายภาระกิจและน่าสนใจเป็นอย่างมาก
ผมใส่ไว้ในบล๊อกตัวเองด้วยครับ ทำเสร็จจากที่โน่นแล้วค่อยก๊อปมาลงที่นี่ง่ายหน่อย ข้อมูลเหมือนกันเพิ่มรูปเยอะมากขึ้นเท่านั้นเอง
http://thaimilitary.blogspot.com/2014/01/the-juan-carlos-i-athlas-lhd-26000.html
ออกตัวนิดหนึ่งว่าข้อมูล95เปอร์เซนต์มาจากเอกสารฉบับเดียวคือ คลิกตรงนี้ครับ (ยาวมาก) ผมเลือกนำเสนอเฉพาะส่วนประวัติความเป็นมาและคอนเซปการออกแบบเรือเท่านั้น ข้อมูลที่เหลือพูดแค่รวมๆเรือติดปืนอะไรบ้างมีเรดาร์แบบไหนหาอ่านเอาเองแล้วกันนะครับ :)
อยากได้จังเลย ทร.ผมขอเป็นของขวัญปีใหม่ได้ไหมครับ ฮ่าๆๆๆ
ภาพเปรียบเทียบระหว่างเรือฟริเกตขนาด4,100ตัน เรือบรรทุกเครื่องบินขนาด16,000ตัน และเรือJuan Carlos Iขนาด26,000ตัน จะเห็นได้ว่าสุงกว่าใหญ่กว่ายาวกว่าและบวมน้ำมากกว่า(เหมือนดีไซน์รถในปัจจุบัน) ทำให้มีพื้นที่ภายในขนาดใหญ่รองรับภาระกิจได้หลากหลายเช่น
-สนับสนุนการยกพลขึ้นบกและยึดชายหาดของนาวิกโยธิน
-ลำเลียงทหารในการเดินทางไปปฎิบัติภาระกิจห่างไกลจากที่ตั้ง
-เรือบรรทุกเครื่องบินทั้งอากาศยานปีกแข็งและเฮลิคอปเตอร์
-การดำเนินงานที่ไม่ใช่การสู้รบ ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การอพยพพลเรือนจากพื้นที่เสี่ยง และเป็นโรงพยาบาลเคลื่อนที่ในในพื้นที่ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ
ขอบคุณมากครับท่าน superboy ขอคาราวะในความขยันหาข้อมูลจริงๆ.......
อยากให้คุณ superboy ทำบทความมหากาพย์การสั่งต่อเรือฟริเกต และ opv จากจีน ให้อ่านทีครับ
อยากทราบที่มาที่ไปจุดพลิกผัน ทำไมพี่จีนควาดีลนี้ไปได้
ช่วงก่อนมีดราม่าโปรจีนกับแฟนบิยท่านนึงเรื่องเรือชั้นเจียงหูกับเรือเรา ใครกอปใคร ใครออกแบบ อะำรทำนองนี้อ่ะครับ
เคยดูคลิปนี้มานานแล้ว โดยส่วนตัวชอบแนวคิดการออกแบบเรือของเค้ามาก
เคยเห็นแต่เครื่องบินที่เป็นแบบ multi-role fighter คราวนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเรือแบบ multi-role vessel
เห็นคลิปนี้แล้วก็อยากให้ประเทศไทยมีแบบนี้ซักลำ
แต่ถ้ามองในความเป็นจริงแล้ว ร.ล.จักรีนฤเบศ ตอนนี้ของเราก็ยังทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จำนวน ฮ. ที่ประจำเรือก็ยังไม่เต็มอัตรา
ถ้ามีเรือแบบนี้ขึ้นมาอีกซักลำแล้ว เราคงต้องเพิ่มจำนวนอากาศยานต่างๆ ให้เพียงพอก่อน
เพื่อให้สามารถใช้เรือเหล่านั้นได้เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งคงต้องลงทุนอีกมากพอสมควรเลยละครับ
ความจริงเอกสารต้นทางผมมีนานแล้วหละครับท่านีโอ เพียงแต่รอให้ดีลของตุรกีประกาศผลก่อนเท่านั้นเอง
ส่วนที่ท่านdeleteว่ามาสงสัยจะลำบาก เพราะประเทศในเอเชียที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก ส่วนมากจะโพสภาษาตัวเองแบบเรานี่แหละ ข้อมูลมีน้อยไม่ปะติดปะต่อเคยเห็นท่านจูดาสโพสอยู่เหมือนกัน เรื่องเรือที่เราต่อจากจีนเนี่ยผมคิดง่ายๆแบบนี้ครับ
เรือชั้นเจ้าพระยาและกระบุรีดีไซน์จากจีนอย่างแน่นอนเพราะมีพี่น้องเยอะมาก เรือชั้นนเรศวรน่าจะเป็นการดีไซน์ร่วมระหว่างไทยกับจีนเพราะนอกจากของเรา2ลำก็ไม่มีอีกเลย ขณะที่เรือชั้นปัตตานีพอมีหลักฐาน ในงานDSA 2012มีแบบเรือลำนี้ตั้งโชว์อยู่ด้วย ขณะเดียวกันเรือOPVของไนจีเรียที่จ้างจีนต่อครึ่งลำก็มีหน้าตาเหมือนกันไม่มีผิด ของเขา2ลำ42ล้านเหรียญนะครับไม่ยืนยันว่าแค่ไหนหรือรวมอะไรบ้าง
ลำบะเริ่มเฮิม สองลำสี่หมื่นกว่าล้าน
ไม่แพงเลยซักนิด ว่าแล้วอยากได้จัง
ยกโปรเจคไหม่ จาก เรือ เอนดูร๊าน สี่ลำ
เป็นนี่ลำเดียวพอได้รึป่าวนะ
ถามนอกเรื่องหน่อยครับ กำลังวาดเรือลำใหม่อยู่
ตกลงมันมี127/64LWออกมาแล้ว แล้วตัว127/54LWยังจะผลิต(หรือผลิตออกมาแล้ว)ไหมครับ กำลังมึนๆกับเจ้าสองรุ่นนี้อยู่ เพราะรุ่นแรกใหญ่ไปสำหรับเรือขนาด4000ตันผมเลยเล็งรุ่นหลังแทนเพราะเคยอ่านเจอว่าระยะยิงสั้นกว่ากันราวๆ20-30กิโลแต่ยังเกิน80อยู่ดีดังนั้นน่าจะยังใช้ได้ดีอยู่ แถมขนาดก็เล็กกว่าเยอะ
เป็นคำถามที่ตอบยากดีแท้ เหอๆๆ
อันที่จริง/54ควรจะใช้อุปกรณ์ของ/64ทั้งหมดนะครับ แต่ปืนคนหละขนาดอุปกรณ์ต่างๆเลยเล็กลงและเบาลงจาก29ตันเหลือ25ตัน ฉะนั้นถ้ามีคนสั่งซื้อเขาก็คงทำขายแหละ(ปืนรุ่นเก่าของโอโตก็/54นี่) แต่ปัญหาคือยังไม่มีคนสั่งก็เลยไม่ชัดเจน แต่เรือ MEKO A200 ขนาด4,000ตันนิดๆของอัลจีเรียก็ติด/64นะ
ผมงงว่าตกลงปืนของเรือลำไหนมันเป็นรุ่นไหนกันแน่ บางที่ก็บอกไม่เหมือนกันแถมยังมีคนบอกว่าเรือF125ใช้54คาลิเบอร์อีก ยิ่งอ่านยิ่งงง
ว่าแต่ดูจากมิติของชิ้นส่วนที่อยู่ในShipbucketนี่รุ่น54LWเล็กกว่า64LWมากเลยนะครับเหอๆ แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะมีผลิตจริงรึเปล่าจะเอามาติดเรือAAWซะหน่อย สงสัยคงได้ใช้รุ่น64แทน(ลองวางดูแล้วแทบจะบังหน้าต่างสะพานเดินเรือเลย)
ความเห็นส่วนตัวสุดๆ 54LWไม่น่ามีคนซื้อนะครับเพราะอิตาลีเองก็ยังไม่จัดหาเลย ส่วน64LWสามารถเบียดปืนประจำชาติของBAEไปติดตั้งบนเรือType26ได้ถือว่าสุดยอดมากๆ
ท่านภูวาดรูปเรืออะไรหละครับเอามายลโฉมหน่อย ไม่สนใจวาดเรือLHDพร้อมบ้างF-35Bเหรอใหญ่ๆไปเลย เรือผมเองยังไม่ได้ทำเพื่มเหมือนกันแค่เอาOPVมาปรับปรุงให้ติดอาวุธเพิ่มได้เท่านั้นแหละ
เรือMEKO D AAWน่ะครับ
เรดาร์หลักเป็นCEAFAR/CEAMOUNTซึ่งเป็นแบบโมดูลอยู่แล้วอยากเพิ่มสมรรถนะก็ยัดเพิ่มลงไปเลยง่ายดี(CEAFAR 30x30cm CEAMOUNT 20x20cm)
เดิมบนAnzacใช้ CEAFAR 4x4/แผ่น กับ CEAMOUNTที่ไม่มั่นใจว่ากี่โมดูล(เข้าใจว่า2x1/แผ่น) เพื่อยิงESSM
ลำนี้ผมเพิ่มจำนวนCEAFAR กับ CEAMOUNTต่อแผ่นไปประมาณเท่าตัว จะใช้Saabทั้งลำก็ได้ถ้าCMSรับloadของระบบไหว
มีMk.41 48ท่อเยอะดีแท้(Formidable 3000ต้นๆยังมี32ท่อ ใหญ่ขึ้นเกือบๆพันตันคงได้) เดิมท่อยิงด้านหลังเอาไว้ใช้กับland attack cruise missile แต่เราไม่มีใช้ก็เลยปรับใช้กับSAMแทน
คอนฟิกก็ 32x SM-2MR 24x ESSM เพื่อป้องกันกองเรือ 24x Iris-T SLS กับ 16x Nulka ไว้ป้องกันตัว (ในแผนที่ผมวางไว้จะใช้SM-2กับESSMในการคุ้มกัน ส่วนป้องกันตัวเองจะใช้จรวดactiveเพราะคงต้องใช้ในกรณีที่จรวดSemi Activeระยะใกล้-กลางอย่างESSMยิงไม่ทัน
ปืนเรือ5นิ้ว64คาลิเบอร์ตอนแรกไซส์ผิดมันก็เลยใหญ่ไป ใช้Ceros 200คุมปืนเรือ(เวอร์ไปไหม? มันมีรุ่นสำหรับคุมปืนเท่านั้นไหมครับ) ฟาลังซ์หัวเรือเป็นทั้งCIWsและปืนรองหัวเรือ ท้ายเรือมีปืนรองTyphoon 30mm 2กระบอก(ใช้ปืนอิสราเอลกับฟริเกตHi Endและเรือบรรทุกบ.ที่พื้นที่เหลือน้อย ใช้ปืนอังกฤษกับOPV LPD และเรือตรวจการณ์อื่นๆ) พร้อมปืน.50ร่วมแกนเลยใช้ SeaRAM(ซึ่งถูกกว่าRAM)เป็นCIWs คงไม่ต้องมีกล้องเพราะปืนทุกกระบอกมีกล้องอยู่แล้ว ดาดฟ้าข้างเสากระโดงมีปืนกล.50อีกข้างละกระบอก เป้าลวงหมุนได้ข้างละหนึ่ง(ไม่ขวางทางเดินเพราะจุดต่อจากปืนกลยิงมือเป็นบันไดลงแล้ว) อวป.ต่อต้านเรือใช้Harpoon block II ตามสไตล์ทร. มีMission Bay 1ช่องท้ายเรือ เครื่องยนต์เป็นCODLAGซึ่งทันสมัยมากและด้วยทรงdelta formทำให้เร็วถึง29น็อต(ในเอกสารเขียนว่า28+ ผมตีความเป็น29ละกัน) และประหยัดน้ำมันกว่าปกติ20%
ลำละเท่าไหร่ครับเนี่ย
ว่าแต่นี่มันกระทู้เรือJuan Carlosนี่นา
ท่านภูเอาMEKO Dมาทำเป็นMEKO D 500 นี่ครับ คอนเซปมันแตกต่างกันอยู่บ้าง
MEKO D ใช้รูปทรงdelta form และเครื่องยนต์CODLAGเพื่อให้เงียบ มีแรงต้านทานน้อยวิ่งตัดหัวคลื่นได้ดีกว่า ซึ่งจะช่วยในเรื่องSTALTHใต้น้ำ จึงเหมาะกับภาระกิจปราบเรือดำน้ำมากหรือจะใช้งานทั่วไปก็ประหยัดดี
ส่วน MEKO D 500 จะใช้รูปทรงด้านข้างเป็นรูปตัวX จะเห็นว่าด้านข้างเรือส่วนบนจะตีโค้งออก เพื่อให้การสะท้อนเรดาร์ไม่ย้อนกลับไปตรงๆ ซึ่งจะช่วยในเรื่องSTALTHบนอากาศ และเรือAAWส่วนมาก(อันที่จริงก็ทั้งทั้งหมดแหละ)ใช้COGAG หรืออย่างน้อยก็CODAG เพื่อให้มีความเร็วสุงมากพอจะคุ้มกันกองเรือได้
ถ้าเป็นAAWอย่างเดียวมันจะเสียของไปหน่อยนะ เป็นเรือฟริเกตอเนกประสงค์ด้วยเลยโดยยิงVL-ASROCได้น่าจะเข้าที
Anzacใช้ CEAFAR 6 แผ่นกับ CEAMOUNT 4 แผ่น ตัวหลังผมคิดว่าใช้กับSM-2ได้เลยแต่CEAFARสงสัยจะต้องใหญ่ขึ้น ส่วนCeros 200 ควบคุมแค่ปืนมีเยอะมาก เรือVisbyนั่นก็ใช่หรือจะเรือตรวจการณ์ของเกาหลีใต้ก็ใช้รุ่นล่างสุดราคาไม่แพง(จำชื่อเรือไม่ได้ เหอๆ)
ตอนแรกกะจะใส่VL-ASROCอยู่ครับ แต่สงสัยต่อเรือมาจริงๆคงไม่ขายให้หรอกเหอๆ แถมตอร์ปิโดมาตรฐานที่คิดไว้จะเป็นMU-90ด้วยครับ(ซึ่งมีmilasบนเรือปราบเรือดำน้ำด้วย) หรือเอามาเผื่อมีตอร์ปิโดสองแบบคงไม่วุ่นวายมาก Iris-Tเอาออกให้หมดNulkaเหลือ8 เครื่องยนต์กังหันก๊าซล้วนก็ได้ครับจะได้เอาไปปั่นไฟใส่เรดาร์ที่ดูจะกินไฟเหมือนกัน ตัวเรือค่อนข้างเงียบอยู่แล้วก็คงพอชดเชยความเงียบของระบบไฟฟ้าได้ (แต่Juan Carlosไม่ได้ทำมาปราบเรือดำน้ำยังใช้ไฟฟ้าเลยนี่ ว่าแต่ตกลงมันเป็นCODLAGหรือIEPครับ เพราะแต่ละที่เขียนไม่เหมือนกัน) CEAFARบนAnzacเป็น4x4ผมขยายขนาดไปเยอะอยู่ ทั้งสองชิ้นเลยแต่จำนวนแผ่นและองศาการวางยังเท่าเดิมคงได้ประสิทธิภาพมากกว่าเดิมพอสมควร CEAMOUNTใหญ่ขึ้นเพื่อความมั่นใจ(แต่คงไม่ต้องห่วงเท่าไหร่ เคยไปแข่งกับเอจิสมาแล้วนี่) CEAFARใหญ่ขึ้นเพื่อให้ใช้ประสิทธิภาพของจรวดได้เต็มที่
ไปๆมาๆมันกลายเป็นเรือพิฆาตเทพ3มิติแล้วนะครับเหอๆๆๆ แต่ไม่มีECMเพราะไม่รู้จะใช้รุ่นไหนดี ราคาคงไม่ต้องพูดถึงโดยเฉพาะค่าลูกจรวดรวมทั้งลำ+Nulkaรวมทั้งสิ้น99ลูกเลขสวยมาก
ส่วนเรื่องLHDผมชอบเรือบรรทุกบ.เบาแท้ๆมากกว่าน่ะครับเหอๆ อย่างน้อย911ตามการจัดกำลังทางเรือในความคิดผมยังเป็นเรือกระดูกสันหลังอยู่ดีแบกAV-8Bซึ่งล้าสมัยแล้วแต่ผมก็ยังชอบ
ว่าไปนั่น เหตุผลหลักคือวาดLHDไม่เป็นครับเหอๆ
ส่งผลงานก่อนจะหยุดวาดแล้วไปทำงานต่อเสียที ผมพัฒนาเรือโลซิ่น9000จนเปลี่ยนจากเรือLPDกลายมาเป็นเรือLPHไปแล้ว เป็นเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำและสนับสนุนการปฏิบัติการทางอากาศ ยาว133เมตรกว้าง22เมตรระวางขับน้ำ8800ตัน ตัดอู่ลอยทิ้งไปเปลี่ยนด้านล่างเป็นโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์แทน แต่ส่วนหน้ายังสามารถบรรทุกรถเกราะได้มีประตูเข้าออกด้านข้าง สามารถเก็บ AH-1W จำนวน6ลำ และMH-60SหรือS-70Bอีกจำนวน6ลำ มีจุดจอดเฮลิคอปเตอร์3จุด(หน้า1หลัง2)มีลิทฟ์ฝั่งตรงข้ามหอบังคับการซึ่งใช้จอดอย่างเดียวเพราะแคบไปหน่อย ย้ายห้องCICลงไปด้านล่างเพื่อความปลอดภัย เรือแบบนี้หอบังคับการมันแคบกว่าปรกตินั่งแก้อยู่นาน
ติดMK-41 1หน่วย สามารถติดESSM 24-32นัดและหรือNulka 8นัดมีปืนรอง25มม.ด้านหลัง2จุดกลางเรืออีก1จุด เพราะเป็นเรือธงด้านหน้าสุดเลยติดCIWSออโต้แบบฟาลังซ์ด้วย(ลำเดียวในกองเรือผมเลยนะเนี่ย) Sea Giraff AMB Ceros200 9LV MK4 เจ้าเดิม ติดโซนาร์หัวเรือและตอร์ปิโดด้วยเผื่อจำเป็นต้องสู้ เครื่องยนต์1แก๊ส2ดีเซลเผื่อต้องทำความเร็วให้คนเรือลำอื่น วันหลังค่อยมาตกแต่งให้สวยแค่นี้ก็ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เดี๋ยวกระทู้จะกลายพันธ์เสียก่อนพบกันใหม่คราวหน้าครับ
ลำล่างมีจรวดMistralโผล่มาจากไหนน่ะครับเหอๆๆ
กลับเข้าเรื่องJuan Calos I ละกันครับ ทำไมเรือตระกูลนี้ลิฟต์ตัวหน้าถึงใช้แบบฝังดาดฟ้าแทนที่จะเป็นแบบDeck Edgeที่ยืดหยุ่นกว่าล่ะครับ อย่างMistral Juan CarlosกับCanberraแล้วก็เรือจีนก็เป็นdeck edge 1ตัว แบบฝัง1ตัว Dokdo เรือตุรกี(จากโมเดล)ใช้แบบฝัง2ตัว Wasp กับAmericaมีdeck edge 2ตัว
ลิฟท์แบบฝังก็จะได้มุมมองแบบนี้ทุกด้านแหละครับ อาจจะใส่เครื่องบินยาวๆไม่ได้แต่ภายในเรือจะปิดสนิทไม่มีจุดเสียว ราคาน่าจะถูกกว่านะผมไม่แน่ใจ(ข้างเรือไม่ต้องเปิดตามไปด้วย) บางทีอเมริกาก็ใช้แต่แบบที่ตัวเองชอบนั่นแหละ ผมชอบเรือที่เรียบๆไม่มีกิ่งยื่นเลยวางลิฟท์เฮลิคอปเตอร์มันกลางเรือเลยสะใจ
ลืมตอบคำถาม ในเอกสารต้นทางบอกไว้ว่า Juan Carlos I ใช้เครื่องยนต์ CODGEL1 gas turbine,2 diesel 2 pods แต่พอถึงตอยลงรูปว่าเป็น CODAGL plant (COmbined Diesel And Gas turbine eLectric) คนเขียนคงจะมืนๆอยู่เหมือนกัน
แต่สรุปแล้วก็น่าจะเป็นCODAG ยามปรกติใช้2ดีเซลในการเดินทางแต่ถ้าการความเร็วจะใช้1แก๊สเข้ามาช่วยเร่ง เหมือนเรือฟริเกตุลำใหม่เรานั่นแหละครับ เป็นมาตราฐานเรือใหม่ๆแทนCODOGไปแล้ว