หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


~~มากันทำไมอะ~~~

โดยคุณ : seekmen เมื่อวันที่ : 11/04/2007 15:50:06

จับตาชนกลุ่มน้อย "อารกัน" อดีตนักรบรับจ้างทะลักไทย

น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับชนกลุ่มน้อยอารกัน ที่ไม่ได้รับการยอมรับว่า เป็นคนพม่าหรือบังกลาเทศ ล่องเรือทะลักเข้าไทย เฉพาะปี 2549 มีมากถึง 700 คน จนรัฐต้องเฝ้าจับตามอง !

 ข่าวการจับกุมชนกลุ่มน้อยโรฮิงญา หรืออารกัน จากระนอง 64 คน ซึ่งเป็นชายฉกรรจ์ล้วนๆ เมื่อเช้าวันที่ 7 มีนาคม แทบจะถูกมองข้าม หากว่าต้นเดือนมกราคมปีเดียวกัน จะไม่เกิดกรณีคล้ายกันนี้ เมื่อกองเรือภาคที่ 3 จับกุมชาวอารกันที่ลักลอบมากับเรือประมงเข้ามาที่ จ.ระนอง 64 คน !?!

 เป็นการสอดคล้องกันอย่างบังเอิญหรือจงใจ ทั้งพฤติกรรมและจำนวนคน

 และเมื่อตรวจสอบข้อมูลจากตำรวจตรวจคนเข้าเมืองระนองพบว่า ปี 2549 มีสถิติการจับกุมชนกลุ่มน้อยกลุ่มนี้มากถึง 700 คน

 ประกอบกับการสอบปากคำทุกคนไม่สามารถให้คำตอบได้ว่า จะไปไหนและเพื่ออะไร ? กลายเป็นที่มาของการเฝ้าจับตามองอย่างเข้มงวดของเจ้าหน้าที่รัฐ  ป้องกันการแฝงตัวเข้ามาก่ออาชญากรรมความมั่นคง

 กรณีที่เกิดขึ้นล่าสุด เช้าวันที่ 7 มีนาคม พ.ต.ท.ประเสริฐ ศรีคุณรัตน์  สว.หน.สถานีตำรวจน้ำระนอง รับแจ้งจากเรือประมงไทยว่า พบเห็นเรือประมง 2 ลำ แล่นอยู่กลางทะเลอันดามัน ทางทิศตะวันตกของเกาะช้าง หมู่ 2 ต.เกาะพยาม อ.เมือง จ.ระนอง ในลักษณะมีพิรุธ มีชายฉกรรจ์นั่งอยู่เต็มลำเรือ

 ข่าวชิ้นนี้ถูกส่งต่อไปยัง พ.ต.ท.ชัยวัฒน์ อุ้ยคำ รอง ผกก.ด่านตรวจคนเข้าเมืองระนอง และ พ.ต.ท.ภูวพัศ สุวรรณรงค์  สว.ด่านตรวจคนเข้าเมืองระนอง  นำกำลังขึ้นเรือตรวจการณ์หมายเลข 32 ออกไปยังพิกัดตามที่ได้รับแจ้ง และแจ้งให้  "กาญจนา กี่หมัน" ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง รับทราบ

 เรือประมง 2 ลำ ใช้เชือกผูกติดกันลอยลำอยู่กลางทะเลอันดามัน เจ้าหน้าที่บนเรือตรวจการณ์ส่งสัญญาณให้หยุด พบชาวโรฮิงญา หรืออารกัน เป็นชายล้วน อายุระหว่าง 18-45 ปี มากถึง 64 ปี ทุกคนล้วนมีสัมภาระติดตัว จึงลากจูงเรือประมงขึ้นฝั่งที่บ้านปากคลอง หมู่ 1 ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.ระนอง นำตัวไปสอบสวน

 "ชาวโรฮิงญา" เป็นภาษาเรียกที่ติดปากของหน่วยงานความมั่นคงมากกว่า "อารกัน" เป็นชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ในรัฐยะไข่ ประเทศพม่า ติดกับบังกลาเทศ เมื่อครั้งอดีตสมัยที่สหราชอาณาจักรแผ่อิทธิพลมาถึงเอเชีย ปกครองประเทศพม่า ชนกลุ่มน้อยอารกันเป็นกลุ่มที่คอยสนับสนุนช่วยเหลืออังกฤษสู้รบกับพม่า  แต่หลังจากอังกฤษมอบอำนาจการปกครองคืนพม่า  ทำให้ทางการพม่าเริ่มกวาดล้างชนกลุ่มน้อยอารกัน ประกอบกับบังกลาเทศเองก็ไม่ยอมรับชนกลุ่มนี้เป็นบุคลากรของประเทศ  พวกเขาจึงตกอยู่ในภาวะโดดเดี่ยว

 ชาวโรฮิงญา พูดภาษายาวีและนับถือศาสนาอิสลาม เมื่อเกิดปัญหาระหว่างพม่าและบังกลาเทศ ชนกลุ่มนี้จึงต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ให้รอดพ้นจากการปราบปราม กระทั่งหลายปีก่อน มีชาวโรฮิงญากลุ่มหนึ่งล่องเรือจากรัฐยะไข่มาตามทะเลอันดามันผ่านน่านน้ำไทยและแวะหลบซ่อนอยู่ตามเกาะต่างๆ เพื่อหาโอกาสเดินทางต่อไปยังประเทศมาเลเซียผ่าน จ.พังงา และภูเก็ต

 ทางการมาเลเซียเองก็พยายามผลักดันชนกลุ่มน้อยเหล่านี้กลับประเทศ ประกอบกับมีข่าวปล่อยในรัฐยะไข่ว่า จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยเปิดรับแรงงานต่างด้าว  ทำให้ชนกลุ่มน้อยชาวอารกันกลุ่มแล้วกลุ่มเล่ากระเสือกกระสนลักลอบเข้ามาในประเทศไทย 

 แต่ที่น่าสนใจมากกว่านั้นก็คือ  ทุกครั้งที่มีการจับกุมชนกลุ่มน้อยผู้ถูกปฏิเสธจากผืนแผ่นดินแม่ พวกเขามักจะไม่ให้การไปในทำนองอื่นใด  ยกเว้นแต่เพียงว่ามาหางานทำในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ !?!

 ด้วยเหตุนี้เองหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทยจึงได้รับคำสั่งให้ติดตามกวาดล้างชาวอารกัน หรือโรฮิงญาออกนอกประเทศ เพราะเกรงว่าจะเป็นภัยต่อความมั่นคง แต่ก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายนัก เนื่องจากพวกเขาไม่ได้รับการยอมรับจากแผ่นดินแม่ ดังนั้น จึงถูกปฏิเสธที่จะรับตัวกลับไป

 พ.ต.ท.ภูวพัศ สุวรรณรงค์  สว.ด่านตรวจคนเข้าเมืองระนอง ให้ข้อมูลว่า ทุกครั้งที่มีการจับกุมชาวอารกัน หรือโรฮิงญา มักจะไม่บอกข้อมูลใดเลย  จนเกิดข้อสงสัยหลายอย่าง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นเกี่ยวกับความมั่นคง แต่เวลาส่งกลับก็มีปัญหา คือ ต้องส่งไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อผลักดันกลับทาง อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อไปถึงทางการพม่าก็ยืนยันว่า ชนกลุ่มนี้ไม่ใช่ประชาชนของพม่า เมื่อนำกลับมาควบคุมตัวที่ฝั่งไทยชั่วคราวก็เป็นปัญหาอีก กลายเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก

 "เมื่อก่อนเวลาตำรวจน้ำกับตำรวจตรวจคนเข้าเมืองระนองออกกวดขันจับกุม  พวกนี้เห็นกลัวจะถูกจับก็หลบไปอยู่ตามเกาะต่างๆ จับกุมก็ยาก  พวกเขาไม่ยอมให้จับ เพราะต้องการไปประเทศที่สามที่มีความเจริญกว่า แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องเลย  พอเห็นเจ้าหน้าที่บางครั้งก็จมเรือประมงที่พามาเลย แล้วว่ายน้ำเข้ามาหาเรือตรวจการณ์ บางครั้งก็ยอมให้จับแต่โดยดี" 

 ทั้งนี้ พ.ต.ท.ภูวพัศ เองก็ไม่อาจอธิบายได้ว่า เพราะเหตุใดทำไมถึงเป็นเช่นนั้น  แต่มีข้อสังเกตว่าทุกครั้งที่จับกุมได้ ชนกลุ่มน้อยชาวอารกันมักไม่แสดงท่าทางอิดโรยจากการล่องเรือมาเป็นเวลานานๆ แสดงให้เห็นว่าอาจจะมีผู้อยู่เบื้องหลังคอยส่งเสบียงอาหารและน้ำจืด แต่เมื่อสอบสวนก็ไม่สามารถจับกุมตัวการใหญ่หรือผู้ที่คอยช่วยเหลือได้

 ข้อมูลเดียวที่เจ้าหน้าที่จะได้รับจากล่ามทำหน้าที่แปลการสนทนาโต้ตอบ คือ ชาวอารกันเหล่านี้จะเสียเงินคนละ 3,000-4,000 บาท แลกกับการไปประเทศที่สาม แต่ไม่ยอมเปิดเผยว่าเงินจำนวนนี้สุดท้ายแล้วไปอยู่กับใคร  จึงเป็นปัญหาของทางการไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องปรึกษาหาทางแก้ไขเอาเอง ขณะเดียวกันก็สอดส่องดูแลน่านน้ำและพื้นที่รับผิดชอบอย่างเข้มงวด

ที่มา http://www.komchadluek.net/2007/03/scoop/p001_97067.php?news_id=97067

0
"เขมรมุสลิม"ลง3จว.ใต้ 2ปี..เกือบ20,000ชีวิต!
1 เมษายน 2550 13:12 น.

"เขมรมุสลิม" แห่ลง 3 จว.ใต้ ยอดรวม 2 ปี พุ่งสูงกว่า 2 หมื่นคน แต่ทิ้งพาสปอร์ต-กลับจริงไม่ถึง 20% พบขนยา เวชภัณฑ์ -"ผงชูรส" ลงใต้ จนท.เชื่ออาจนำไปรักษาคนเจ็บในพื้นที่

ขณะที่สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังเหตุการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ ณ แนวชายแดนบูรพาทิศ ด้าน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว กลับมี "สัญญาณความผิดปกติ" ซึ่งคล้ายจะมีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ความรุนแรงในภาคใต้เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ มานานกว่า 2-3 ปีแล้ว

 สัญญาณผิดปกติที่ว่า คือ การหลั่งไหลของชาวกัมพูชา ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม หรือ "เขมรมุสลิม" ไปทำงานยังประเทศมาเลเซีย และไปเรียนศาสนาที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะชาวเขมรมุสลิมจาก จ.กัมปงจาม ประเทศกัมพูชา ซึ่งมีประชากรชาวมุสลิมอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก

 ที่น่าจับตาก็คือ ระยะหลังจะมีกลุ่มวัยรุ่น หรือชายฉกรรจ์ รวมตัวกันลงไปจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นกลุ่มๆ โดยระบุว่า จะไปเรียนศาสนาบ้าง ไปเยี่ยมญาติบ้าง ซึ่งมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างผิดสังเกต

 นอกจากนี้ ยังมีการลักลอบขนเวชภัณฑ์ ยารักษาโรค และ "ผงชูรส" ลงไปยังพื้นที่ภาคใต้ด้วย ซึ่งฝ่ายความมั่นคงกำลังจับตามองอยู่

 โดยเฉพาะผงชูรสนั้น ดูเผินๆ อาจแค่เป็นเครื่องปรุงธรรมดาๆ แต่จริงๆ แล้วสรรพคุณของมันยังสามารถใช้เป็น "ยาห้ามเลือด" ชะงัด จึงเข้าข่าย "ยุทธปัจจัย" ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดได้อีกด้วย

 ผงชูรสที่เจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดได้นั้น เป็นผงชูรสจากประเทศเวียดนาม ซึ่งมีลักษณะพิเศษ คือ มีเกล็ดใหญ่กว่าผงชูรสของไทย ซึ่งข้อดีประการสำคัญ คือ ละลายช้า จึงสามารถใช้ห้ามเลือดได้นานกว่า

 ประเด็นนี้ถ้าตามให้ดีๆ ก็อาจจะช่วยตอบโจทย์ได้ว่า เหตุใดเมื่อฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบถูกยิงแล้วจึงไม่มีใครมารักษาตัวที่โรงพยาบาลเลย

 พ.อ.ไชยชัยยันห์ โสธรชัย ผบ.ฉก.กรม.ทพ.ที่ 12 กกล.บูรพา ให้ข้อมูลว่า จากคำรับสารภาพของชาวเขมรมุสลิมที่ลักลอบขนยารักษาโรค และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ไปยังจังหวัดชายแดนภาคใต้ทำให้เชื่อได้ว่ายา และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์เหล่านี้อาจจะนำไปใช้ในพื้นที่ป่าเขา

 ส่วนที่อ้างกันว่าจะนำไปใช้เอง หรือนำไปให้ญาติที่มาเลเซียนั้นก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะประเทศมาเลเซียจะห้ามนำเข้าอย่างเด็ดขาด อีกทั้งกฎหมายของมาเลเซียก็เข้มงวดในเรื่องนี้อย่างมากด้วย

 พฤติกรรมเหล่านี้อาจจะเป็นปัญหาด้านความมั่นคงจึงจำเป็นต้องดำเนินคดีในข้อหาลักลอบนำยาและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต

 ส่วนการเดินทางเข้ามาก็น่าสงสัยไม่แพ้กัน เพราะมักจะมากันเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละ 10-12 คน โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น และชายฉกรรจ์

 พ.อ.ไชยชัยยันห์ ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ส่วนใหญ่ชาวเขมรมุสลิมมักจะอ้างว่าจะไปหางานทำในมาเลเซีย แต่จากการคำนวณแล้วพวกเขาต้องเสียค่าทำพาสปอร์ตและขอวีซ่าเข้าประเทศไทยตกคนละเกือบ 1 หมื่นบาท ขณะที่วีซ่าก็มีอายุแค่ 1 เดือน จึงไม่คุ้มที่จะไปรับจ้างทำงานตามระยะเวลาที่กำหนด

 แต่บางคนก็รับสารภาพว่ามีชาวเขมรมุสลิมมาทำพาสปอร์ตและขอวีซ่าให้ฟรีๆ โดยพวกเขาไม่ต้องไปทำด้วยตนเอง จึงทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเข้มงวดกวดขันมากขึ้น เพราะยังไม่รู้แน่ชัดว่า ต้นตอของเงินที่มาสนับสนุนให้คนเหล่านี้เดินทางลงชายแดนภาคใต้นั้นมาจากแหล่งไหนกันแน่

 พ.อ.ไชยชัยยันห์ เผยข้อมูลอันน่าวิตกด้วยว่า ในช่วงเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมานี้ มีชาวเขมรมุสลิมเดินทางไปชายแดนภาคใต้แล้วกว่า 2 หมื่นคน แต่พบว่าเดินทางกลับมาแค่ประมาณ 20% เท่านั้น

 ทุกวันนี้ชาวเขมรมุสลิมยังคงเดินทางเข้ามาเลเซีย และสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกวัน เฉลี่ยวันละประมาณ 20-80 คน โดยจะเช่ารถตู้จากด่านชายแดนอรัญประเทศไปส่งที่ชายแดนด้าน อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เที่ยวละ 12,000-15,000 บาท โดยจะบรรทุกคันละ 10-12 คน ซึ่งบางวันจะมีรถตู้วิ่งไปส่งถึง 6 คัน

 ส่วนมาตรการป้องปรามเท่าที่ทำได้นั้น ทางทหารพรานก็จะมีการตรวจค้นสิ่งของสัมภาระอย่างเข้มงวด และทำการถ่ายรูปทำประวัติบุคคลต้องสงสัยไว้แล้วส่งข้อมูลไปยังกองทัพภาคที่ 4

 ขณะที่ พ.ต.ท.สุบิน บุญเล็ก รอง ผกก.หน.กสส.ภ.จว.สระแก้ว เผยว่า ตำรวจได้ประสานความร่วมมือกับผู้ประกอบการรถตู้รับจ้างที่นำชาวเขมรมุสลิมเช่าเดินทางลงชายแดนภาคใต้ให้นำพาสปอร์ต และวีซ่าถ่ายสำเนามาให้ตำรวจ สภ.ต.คลองลึก เป็นผู้เก็บรวบรวมไว้สำหรับทำการตรวจสอบประวัติ

 "คนพวกนี้จะนั่งรถโดยสารในตลาดโรงเกลือเพื่อเข้ากรุงเทพฯ จากนั้นก็จะต่อรถไปลงภาคใต้ ซึ่งวิธีนี้จะสามารถหลบเลี่ยงการถูกตรวจสอบ ดีกว่าการนั่งรถตู้เป็นกลุ่มๆ"

 พ.ต.ท.สุบิน ระบุว่า ตามปกติวีซ่าประเภทนี้จะอยู่ในประเทศไทยได้เพียง 1 เดือนเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่กลับเข้ามาอยู่ครั้งละ 6 เดือนถึง 1 ปี หรือมากกว่านั้น โดยเมื่อเดินทางถึงชายแดนภาคใต้ก็จะทิ้งพาสปอร์ต และหลบหนีเข้าไปทำงานแถวๆ ชายแดนภาคใต้ และชายแดนมาเลเซีย

 เมื่อต้องการเดินทางกลับประเทศเขาก็จะยอมให้เจ้าหน้าที่จับในข้อหาหลบหนีเข้าเมือง แล้วนำมาผลักดันกลับที่ชายแดนอรัญประเทศ จากนั้นก็จะไปทำพาสปอร์ตใหม่ โดยการเปลี่ยนชื่อ

 เพื่อให้เกิดความกระจ่างในประเด็นนี้ ทีมข่าว "คม ชัด ลึก" จึงเดินทางลงพื้นที่ด่าน ตม.อรัญประเทศ เพื่อสังเกตการณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่ และสัมภาษณ์ชาวเขมรมุสลิมที่จะลงไปจังหวัดชายแดนภาคใต้

 โดยขั้นตอนการทำงานของการตรวจสอบนั้น เจ้าหน้าที่ ตม. จะสุ่มเลือกจากบุคคลที่ระบุในพาสปอร์ตว่าจะลงไปทำงานในมาเลเซีย หรือสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จากนั้นจะส่งให้ทหารพรานตรวจค้นสิ่งของสัมภาระและถ่ายรูปทำประวัติบุคคลต้องสงสัยไว้ให้ทางการตรวจสอบอีกครั้ง

 เจ้าหน้าที่ระดับสูงรายหนึ่งใน ตม.บอกว่า เหตุที่ต้องสุ่มเช่นนี้ เพราะระยะหลังชาวเขมรมุสลิมมักจะไม่ระบุศาสนาของตนเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ บางรายถึงขั้นโกหกว่าเป็น "พุทธ"

 นายตรี ซโลนอัต วัย 22 ปี จาก จ.ไปรเวง (ติดกับ จ.กัมปงจาม) ประเทศกัมพูชา บอกกับเราผ่านล่ามทหารพรานว่า เขาพร้อมเพื่อนอีก 5 คน ซึ่งมีอายุระหว่าง 22-30 ปี จะลงไป "เที่ยวเล่น" ที่ จ.ปัตตานี โดยตั้งใจจะไปแค่ 2-3 วัน เพราะพี่ชายที่อยู่ จ.ปัตตานี โทรศัพท์มาชวนให้ไปเยี่ยม

 ถามว่าไม่กลัวเหตุการณ์ทางโน้นหรือ ตรี  ตอบว่า "ไม่กลัว แค่ไปเล่นเฉยๆ คงไม่ตายหรอก"

 แต่เมื่อถามว่า เอาเงินติดตัวไปเท่าไร ตรี ก็มีท่าทีอึกอัก แต่ก็ยอมเปิดกระเป๋าสตางค์ให้ดู ซึ่งพบว่ามีเงินอยู่ในกระเป๋าเพียง 100 บาทเท่านั้น สำหรับการ "เที่ยวเล่น" ที่ จ.ปัตตานี 2-3 วัน

 เรื่องแปลกๆ ยังไม่จบแค่นั้น เพราะหลังจาก ตรี มีอาการตื่นๆ กับคำถาม นายจัน โซมเมือน วัย 47 ปี ซึ่งเป็นคนพาวัยรุ่นกลุ่มนี้ไปเที่ยว ก็แก้สถานการณ์ให้ด้วยการยื่นแบงก์พันบาทให้ตรี และพรรคพวกที่เหลือทั้งหมดเพื่อยืนยันว่า คนพวกนี้มีเงินพอที่จะลงไปใต้แน่นอน

 จัน ยิ้มกว้าง ก่อนจะตอบคำถามเหมือนกับคนอื่นๆ คือ เขาและญาติๆ จะลงไปเที่ยวที่ จ.ปัตตานี โดยตั้งใจจะลงไปแค่ 2-3 วัน เพราะมีญาติทำงานโรงงานปลากระป๋องอยู่ที่นั่น

 ทว่า เมื่อถามถึงเส้นทางเงินที่นำมาทำพาสปอร์ต วีซ่า รวมทั้งค่ากินอยู่ และค่าเดินทางในรอบนี้ เขาก็เลี่ยงที่จะตอบคำถาม และบอกแค่ว่าญาติที่ จ.ปัตตานี ส่งเงินมาให้

 ส่วนเรื่องที่จะมีชาวเขมรมุสลิมเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ทางภาคใต้หรือไม่นั้น จัน ก็ตอบว่า ไม่รู้ และคิดว่าคงไม่มีใครทำอะไรแบบนั้น

 ตลอดการพูดคุยกับหนุ่มเขมรมุสลิมกลุ่มนี้ สิ่งที่พบก็คือ ลักษณะการตอบคำถามจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันหมด แต่จะไม่ตอบคำถามเกี่ยวกับเส้นทางการเงิน และสถานการณ์ทางภาคใต้อย่างเด็ดขาด

 สิ่งที่เป็นจุดร่วมอีกประการก็คือ แต่ละกลุ่มจะมีผู้นำ 1 คน คอยจัดการเรื่องพาสปอร์ต วีซ่า หาเงินทอง และคอยชี้แจงประเด็นข้อซักถามต่างๆ ของเจ้าหน้าที่

 ที่น่าสนใจอีกข้อก็คือ บางกลุ่มแม้จะยืนยันว่าตัวเองเป็นพุทธ แต่ในกระเป๋าสัมภาระกลับพก "กะปิเยาะห์" (หมวกของผู้ชายมุสลิม)

 ถึงกระนั้น แม้จะพบข้อสงสัยมากมาย แต่เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะไม่มีกฎหมายรองรับ และบุคคลที่ถูกตรวจค้นก็ไม่ได้พกพา หรือกระทำสิ่งผิดกฎหมาย

 จากข้อมูลของต่างๆ เหล่านี้ จึงประเมินได้เพียงว่า มีชาวเขมรมุสลิมนับหมื่นๆ คนยอมทิ้งพาสปอร์ตกลายเป็น "ประชากรแฝง" ในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบการเคลื่อนไหวได้เลย

 น่าสนใจก็ตรงที่ การอพยพเคลื่อนย้ายอันเต็มไปด้วยข้อพิรุธ ภายใต้ข้ออ้างว่า "เยี่ยมญาติ" หรือ "เที่ยวเล่น" เป็นเหตุผลที่ผ่านด่านชายแดน และผ่านด่านความมั่นคง และสาบสูญไปในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างต่อเนื่อง ราวกับว่า นี่เป็นเรื่องปกติ ทั้งที่สถานการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คุกคามความมั่นคงอย่างรุนแรง

////////////////////////////////

ชัชวาลย์ โสภาพันธ์ ,อาคม ไชรศร

ที่มาhttp://www.komchadluek.net/2007/04/mili/u001_103759.php?news_id=103759




ความคิดเห็นที่ 1


เคยเห็นข่าวเขมรมุสลิมเมื่อหลายปีก่อน แต่พึ่งเห็นข่าวชาวอารกันเลยเอามาให้อ่านกันดู

 

สงสัยอย่างนึงครับ เคยมีข่าวจับได้ในพื้นที่3จังหวัดบ้างไหมครับ หรือว่าพวกนี้มาเพื่อผ่านไปประเทศที่สาม

โดยคุณ seekmen เมื่อวันที่ 11/04/2007 09:32:16


ความคิดเห็นที่ 2


 น่าสงสัย ดูเหมือนมีเงื่อนงำอะไรสักอย่าง

โดยเฉพาะกลุ่มมุสลิมที่เป็นทหารรับจ้างมาเพิ่มจำนวนในตอนนี้ยิ่งน่าสงสัยเข้าไปใหญ่

โดยคุณ TigerOod เมื่อวันที่ 11/04/2007 10:31:45


ความคิดเห็นที่ 3


คิดจะมาทำสงครามศาสนาในภาคใต้เรารึไง หวังจะชะฮีดผิดๆรึเปล่าหว่าเหอๆๆๆๆๆ

โดยคุณ BloodRoyal เมื่อวันที่ 11/04/2007 10:49:17


ความคิดเห็นที่ 4


คงต้องเพิ่มงบให้หน่วยข่าวกรองให้มากขึ้นกว่าเดิม เหมือนประเทศใหญ่ๆที่งบส่วนหนึ่งต้องนำมาใช้การนี้โดยเฉพาะ รวมถึงอุปกรณ์เทคโนสื่อสารใหม่ๆที่ช่วยในการ สอด,แหนม เพื่อนำไปขายต่ออีกที.............
โดยคุณ tik เมื่อวันที่ 11/04/2007 12:21:14


ความคิดเห็นที่ 5


อันนี้ยืนยันว่ามีชาวมุสลิมจากเขมร มาไทยเยอะจริงๆครับ ทางจ.ตราด เอง ตอนนี้ชาวมุสลิมหนาตาขึ้นมาก ไม่แน่ใจว่า เข้ามาทำงาน หรือด้วยจุดประสงค์อื่น

โดยคุณ icy_nominee เมื่อวันที่ 11/04/2007 12:31:33


ความคิดเห็นที่ 6


น่าสงสัย ยิ่งถ้ามีการสวมบัตรประชาชนคนไทยด้วยแล้วก็น่ากลัว

เท่าที่เคยคุยกับลูกน้องคนงานพม่า พวกมุสลิมในพม่าก็มีปัญหาในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นเหมือนกันนะ แต่ประเทศนี้จะไม่สนอะไรทั้งนั้นเรียกว่าซ่าไม่ได้ตายลูกเดียว คนมุสลิมในพม่าไม่มีใครเขาเอาไม่ว่าพม่าเองหรือคนในชนกลุ่มน้อย  

โดยคุณ wap เมื่อวันที่ 11/04/2007 15:50:06