ผมคิดว่าถ้าเราจะลดกำลังพลนะครับ อันดับแรก เราต้องเน้นการฝึกกำลังพลสำรองให้มากกว่านี้นะครับ ให้ดีกว่านี้ ถ้าให้ดีก็ใช้มาตรฐานของอิสราเอลในการฝึกไปเลย ถ้าทำให้กำลังพลสำรองของเรามีคุณภาพเท่าหรือเทียบเคียงได้กับอิสราเอล แต่ไม่ต้องถึงขนาดเค้าก็ได้ แล้วเราค่อยมาคุยเรื่องปรับลดกำลังพลจะดีกว่าครับ เพราะถ้าเกิดปรับลดกำลังพลแล้ว กำลังสำรองยังไม่ได้เรืองอย่างงี้ผมว่าอย่าลดเลยครับ เพราะถ้ากำลังพลหลักสูญเสียหมด ก็จะไม่ต่างอะไรกับการส่งทหารใหม่เข้าไปรบเลยครับ อยากให้ปรับหลักสูตรกำลังพลสำรองและมาตรฐานการยอมรับให้มากๆกว่านี้น่ะครับ
2.ถ้าจะปรับกำลังพล อันดับแรกเลย คือพวกนายพลทั้งหลาย ไม่รู้จะมีทำไมมากมาย แต่ให้เน้นไปทางนายทหารหรือทหารชั้นประทวนแล้วก็ทหารสัญญาบัตรร้อยตรี ให้มีคุณภาพมากขึ้นน่ะครับ
3.ยังไงซะ กำลังพลมากกว่าก็ยังข่มขวัญศัตรูได้ อยู่ดีนะครับทหารก็คือคนไม่ใช่เครื่องจักรต่อให้เก่งกล้าสามารถขนาดไหนถ้าพลาดโดนยิงแม้แค่นัดเดียวก็ตายกลายเป็นผีได้นะครับ
ไม่เห็นด้วยกับการปรับลด เพราะ
๑.ยอดกำลังพล มีผลต่อจิตรวิทยา ของฝ่ายตรงข้าม
๒.กำลังพลของเราขาดความพร้อมแบบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าลดลงก็เท่ากับเพิ่มจุดบอด แต่จำนวนมากสามารถ ลดจุดบอดได้ (หมายถึงเอาจำนวนเข้าว่า)
๓.ยอดกำลังพล ในปัจจุบัน (ผมไม่อยากพูดเลย) เป็นยอดลวงเท่านั้น ใบ กร.๔ ติดตามทหารหนีเพียบ ที่อยู่แค่รักษาการณ์เท่านั้น ไม่พร้อมรบ
๔.มีการฝึกยิงด้วยอาวุธจริงปีละครั้งเท่านั้น ยกเว้น ชก.ที่รับหน้าที่อารักษ์ขาเท่านั้นที่ได้ ฝึกยิงบ่อย
๕.อัตรายศ ถือเป็นกำนัลให้แก่กำลังพลที่เกษียณแล้วเพื่อเป็นกำลังใจยามชรา(ที่จริงเพื่อลวง) จำนวนยศชั้นสัญญาบัตรจริงที่มีสิทธิกุมระดับกำลังพลมีไม่กี่นาย
๖.การรับราชการทหารมีส่วนเสริมสร้างความเข้าใจกองทัพกับหลักความมั่นคง ก่อนผมเป็นทหาร ผมไม่สนับสนุนการจัดซื้ออาวุธ ไม่รู้จะไปรบกะใคร พอเป็นทหาร(ใกล้ ผู้บังคับบัญาระดับสูง ทำให้ทราบว่า มีการรบ หรือปะทะตลอดแนวชายแดน)
๗.ผมไม่เห็นด้วยกับการที่เห็นช้างขี้แล้วขี้ตามช้าง เราไม่เหมือน อิสราเอล หรือสิงคโปร์ หัดมองอย่าง พม่า หรือเวียดนามมั่ง ก็น่าจะดี
สุดท้าย การมีไม่ใช่เพื่อรบ แต่การมีก็เพื่อ จะได้ไม่ต้องรบเพราะเขากลัวเรา
อยากให้กองทัพไทยทั้ง 3 เหล่ารีบๆปรับลดกำลังพลลงซักกองทัพละครึ่งนึง เพื่อที่จะได้มีงบเหลือมาพัฒนาระบบอาวุธให้มีความล้ำสมัยกว่าเพื่อนบ้านในแถบนี้ อย่างกองทัพบกจะได้มีเงินเหลือมาซื้อรถถังรุ่นใหม่อย่าง M1A2 และฮ.ปราบรถถังดีๆ
กองทัพเรือจะได้มีเรือฟรีเกตStealth และเรือดำน้ำ รวมทั้งจะได้ติดตั้งอาวุธป้องกันตัวเองให้เรือจักรีฯให้สมบูรณ์รวมทั้งซื้อเครื่องบินขับไล่บนบกอย่างF18E/Fและบนเรืออย่างF35มาประจำการ
กองทัพอากาศก็จะมีเงินซื้อกริพเพ่นเพิ่มเติมอีกซัก 2-3 ฝูงเพื่อมาทดแทนเครื่องบินรบรุ่นเก่าที่มีอยู่ และจะได้มีเงินปรับปรุงช่วงครึ่งอายุการใช้งานให้แก่ F16 ที่มีอยู่ทั้งหมด
ขอร่วมด้วยคน จากที่โดนมา คือปรับประทวนลง แต่ไปเพิ่มเงินในส่วนของ นายทหารผู้ใหญ่ จะเรียกว่า คนทำงานแทบจะไม่ค่อยมี แต่ผู้ใหญ่เดินกันเต็มที่ทำงาน เห้อ แล้วเวลามีปัญหา เอาประทวนไปก่อน คนทำงานจะมีกำลังใจไหมนิ
จะเรียกว่าปรับก็ไม่เชิง เพราะเค้ามีโครงการหลายอย่างที่เห็นอย่างพวกเกษียณก่อนกำหนดให้เงินให้ยศเพิ่ม กี่ขั้นอะไรก็ว่ากันไป ส่วนใหญ่ก็ไปลดพวกผู้ใหญ่ลง (นายพันขึ้นไป เป็นหลัก) พวกที่อยู่ต่อจะได้ขยับกันขึ้นไปได้ แต่บางที่ก็ปิดตำแหน่งนั้นไป ก็มี ตรงนี้คือส่วนสนับสนุนนะครับ ไม่ใช่ในส่วนกำลังรบ
แต่เวลาบรรจุคนเข้ามาก็อะไรก็ไม่รู้ ส่วนใหญ่ก็เท่าที่รู้กัน ลูกคนใหญ่คนโต ถ้าเข้ามาทำงานก็ยังพอว่า แต่เจอบางคน พ่อก็ใหญ่ลุกก็ใหญ่ตามด้วย ไม่ค่อยจาทำไรเลย เจออย่างนี้ก็น่าเบื่อ วันๆ เดินแต่ไปช๊อปวะมากกว่า งานการทำค่อยจาทำ
ใจอยากให้เป็นเหมือนอย่าง อิสลาเอล หรือ ใกล้ๆ ก็สิงค์โปร์ ไต้หวัน เกาหลีใต้ นี้ละ ใกล้เราเลยไม่สนว่าคุณจะทำงานอาชีพไร ขอให้อายุคุณถึงเกณฑ์ เข้ารับการบรรจุ กองประจำการหมด ยกเว้นพวกสายที่จำเป็น/ขาดแคลน อาจจะไม่ต้องเท่าไร เรื่องตรงนี้มีความสำคัญในปัจจุบันมาก เพราะเราก็ไม่รู้ว่าวันใด เราจะเกิดเหตุต้องต่อตี ป้องกันบ้านเมืองเรา จากรอบข้างบ้านละจากไกลบ้านที่จะส่งมาหนุน ถ้าเราไม่ป้องกันก่อน แล้วไปรอ UN หรือ ... หวังไปก่อนนะ ว่าเค้าจาเข้ามา ต้องเกิดเหตุก่อนถึงจะเข้ามาช่วยได้ โอ้ ประเทศเราไม่แย่ลงไปกว่านี้แล้วเหรอ อีกอย่างบ้านเราอาจไม่มีอะไรให้เค้าขุดหรือค้นหามากอย่าง คูเวต ที่มีบ่อน้ำมัน อันนี้คงต้องทำใจ
พอดีกว่าเดี๋ยวจายาว
จากความรู้สึกเล็กๆ ที่ได้เจอกับตัว แต่ถ้าไม่ดีหรือไม่สมควรลบได้นะครับไม่ว่ากัน เพราะอาจจะแรงไป
ผมว่าปัญหา ไม่ได้อยู่ที่ การจะลดกำลังพล หรือไม่ลด
แต่ปัญหาอยู่ที่ "ระบบ การจัดการ" มากกว่าครับ
ถ้าหน่วยกำลังมาเห็นคำว่า ควร ปรับลดกำลังพล นั้น ทุกคนจะเห็นพ้องต้องกันว่า ไม่ควรลด เพราะปัจจุบันเองก็แถบจะปวดหัว เรื่องการจัดกำลังพล เพราะไม่พอกับงาน
มาถึงเรื่องงาน นั้น ถามว่า ปัจจุบัน ทบ. รับงานมากเกินไปใหม่ ทหารต้องทำตามคำสั่ง สั่งมายังไง ก็จะได้รับคำตอบว่า "ได้ครับ" และการแก้ปัญหาก็จะไล่ตามลำดับชั้น แต่ส่วนตัวเชื่ออย่างว่า ปัจจุบัน งานนอกนั้น บางทีอาจจะมากกว่า งานหลักในด้านการเตรียมกำลัง การฝึก เสียด้วยซ้ำ ทหารใหม่นั้น บางครั้งต้องเสียเวลาในการฝึกไปกับงานจร เสียเป็นส่วนมาก ซึ่งตรงนี้ผลมันก็มาจาก "ระบบการจัดการ"
ปัจจุบัน ทุกหน่วยต้องทำเหมือนกัน หลักๆคือ การฝึกตามวงรอบประจำ และการปฏิบัติงานสนาม ปชด.(ป้องกันชายแดน) และ จชต.(จังหวัดชายแดนภาคใต้) หากหน่วยไหน ต้องจัดทุกอย่าง คือ เร่งด่วนงานสนาม คือ ต้องส่งขึ้นทั้ง ปชด. และ จชต. ผลที่ออกมาคือ ในการฝึกตามวงรอบที่ไม่อาจละทิ้งได้(ด้วยปัจจัย ภารกิจ และ งบประมาณ) แต่คนที่เหลือในที่ตั้งปกตินั้นแถบจะไม่มี พอฝึกเป็นหน่วยขั้นสูง เช่น ภาคกองพัน นั้น แถบจะจัดฝึกแบบหย่อนๆสุด และปัญหาที่ตามมาคือ ผลที่ได้จากการฝึกที่ไม่เต็มที่ และปัญหา กำลังพลฝึกไม่ตรงตามตำแหน่ง หรือ ชกท. ตัวเอง เพราะกองพันไม่เหลือคน(ยกตัวอย่าง เจ้าหน้าที่ตามสายงาน อาจจะต้องลงมาฝึกในตำแหน่ง ผู้บังคับหมวด)
หน่วยที่ต้องจัด ปชด. และ จชต. ถ้าหากต้องเป็นหัว(หมายถึงต้องจัดตัวบก พันและร้อยบก. และ 2 กองร้อยอาวุธเบา) นอกจากกำลังพลที่ไม่พอแล้ว สิ่งที่ตามมาคือ ตัวพลทหาร ซึ่งจะเรียกได้ว่า จบจากหน่วยฝึกปุ๊บ ก็จับลงสนามรบจริงเลย ความชำนาญแถบไม่มี เพราะไม่ได้ผ่านการฝึกตามวงรอบมาก่อน สุดท้ายก็ต้องลำบากหน่วยรอง เพราะต้องทำงานไปด้วย และฝึกไปด้วยในสนามรบจริงในเวลาเดียวกัน แต่ถ้าไม่เอาลงก็ไม่ได้ เพราะไม่มีคน
ปัญหาที่ยกตัวอย่าง ล้วนมาจากปัญหา "การจัดการ" แถบทั้งสิ้น
ส่วนตัวแล้วเชื่อว่า ถ้าหากเราลองจัดลำดับความเร่งด่วนละ
เช่น ยกตัวอย่าง ระบบ กองพลน้อย
กองพลน้อย จะรวมทุกอย่างเบ็ดเสร็จภายในกองพลน้อยนั้น ทั้ง หน่วยรบ หน่วยสนับสนุนการรบ และหน่วยสนับสนุนการช่วยรบ ต่างๆ(เราทำได้โดยแถบไม่ต้องจัดตั้งหน่วยใหม่ เพียงแค่ เอาหน่วยที่มีอยู่เป็นตัวตั้ง แล้วกระจายเข้าสู่ กรมทหารราบที่มีอยู่ เราก็จะได้รูปแบบกองพลน้อยในแบบของเราเอง)
ถ้าเอา กรม ทหารราบทั้ง 3 กรมเป็นตัวตั้ง แล้วเอาหน่วย นขต. กองพลอื่นๆ มากระจายเข้ากรมทหารราบแล้ว ปรับเป็นกองพลน้อย เราก็จะได้ 3 กองพลน้อย
ต่อมา จัดลำดับความเร่งด่วนเป็นสามอย่างคือ
กองพลน้อยพร้อมรบอันดับ 1 มีหน้าที่จัดกำลังขึ้นงานสนามทั้งหมดไม่ว่าจะ ปชด. หรือ จชต.
กองพลน้อยพร้อมรบอันดับ 2 มีหน้าที่ เตรียมการพร้อมใช้งานเมื่อสั่งอยู่ในที่ตั้ง และ ฝึกขึ้นสูง (ภาคกองร้อย ภาคกองพัน และ ภาคกองพลน้อย)
สุดท้าย กองพลน้อยฟื้นฟู มีหน้าที่ ฟื้นฟูสำหรับ กำลังพลหลัก รวมถึงงานด้านการจัดตั้ง กองรักษาการณ์ และอื่นๆ สำหรับกำลังพล พลทหาร มีหน้าที่ ปลดฯ รับใหม่ และฝึกทหารใหม่ รวมไปถึงการฝึกเบื้องต้น เช่น สิบตรีกองประจำการ ชกท. หมู่ ตอน หมวด เป็นต้น
สุดท้ายมาอยู่ที่วงรอบ ว่าเราควรจะจัดวงรอบยังไง เช่น หกเดือน หน่วยที่ออกสนาม ก็ กลับมาฟื้นฟู จัดปรับ กำลังใหม่ และฝึกเบื้องต้น
หน่วยพร้อมรบอันดับ 2 เลื่อนขึ้นไปออกสนามเป็นพร้อมรบอันดับ 1
หน่วยที่ฟื้นฟูเดิม ขึ้นเป็นพร้อมรบอันดับสอง เตรียมในที่ตั้ง และฝึกเบื้องสูง
ทุกหน่วยจะได้รับการฝึกตามลำดับขั้น แบบเต็มที่ เพราะกำลังพลไม่มีไปไหน
สุดท้าย ปัญหาอาจจะเกิดสำหรับหน่วยที่มีที่ต้องหน่วยรอง กระจายอยู่หลายจังหวัด แต่เชื่อว่า สามารถจัดการได้
ส่วนเรื่องระเบียบการเกณฑ์ทหารนั้น
ส่วนตัวเชื่อว่า เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องปรับปรุง
เท่าที่เคยสัมผัสมา ปัญหา คือ คนที่พร้อมจริงๆ ทั้งร่างกาย สติปัญญา มักไม่ได้เข้าเป็นทหารประจำการ เพราะด้วยกฏหมายและช่องว่างต่างๆ
คนที่เข้าเป็นทหารกองประจำการ ส่วนมาก คือ ผู้ที่ด้อยโอกาสทางสังคม
ส่วนตัวรู้สึกสงสาร แต่ ทำอย่างไรได้ เมื่อเข้ามาแล้ว เราก็ต้องมีหน้าที่ฝึกเขาให้เต็มที่
ส่วนตัวเชื่อว่า ถ้าปรับปรุงตรงนี้น่าจะดีไม่น้อย เช่น ชายไทยทุกคน ที่ผ่านการตรวจสภาพร่างกายแล้วผ่าน ต้องเป็นทหารทุกคน ไม่มีข้อยกเว้น
แต่ตรงนี้ ปัญหาอาจจะเกิดที่ กองทัพไม่สามารถรองรับได้ทั้งหมด เพราะจำนวนคนคงจะมากกว่าอัตราของหน่วยที่มี
แต่ตรงนี้ มีแนวความคิดของสมาชิกท่านหนึ่งซึ่งผมมองว่า น่าสนไม่ใช่น้อย คือ ถ้ามองระบบเก่า สมัยยุคโบราณ เช่น ระบบไพร่ ละ ที่ทุกคนต้องมีเจ้าขุนมูลนาย หมุนเวียนกันมา ใครไม่สามารถมาได้ ต้องจ่ายส่วย
เช่น ชายไทยทุกคนที่อายุครบตามเกณฑ์ ต้องเป็นทหาร แต่มีระบบคัดกรองตามมาคือ หากจำนวนเกินอัตราที่หน่วยมี ให้มองไปที่ ใครไม่สามารถเข้าประจำการได้ ต้องจ่ายภาษีเพิ่มเติม (ภาษีของกลาโหมโดยเฉพาะ) และมีอัตราส่วน เช่น ครอบครัวใครมีรายได้ประจำปีมาก ก็ต้องจ่ายภาษีคิดเป็นอัตราเปอร์เซ็นต์ที่มาก ถ้าไม่อยากจ่าย ก็ต้องเข้าเป็นทหารประจำการ ใครมีรายได้น้อย ก็จ่ายในอัตราที่น้อยลงมา แต่ตรงนี้ ต้องแบ่งเป็นสัดส่วน เพื่อเกลี่ยคนทุกระดับชั้นสังคมเข้ามาในอัตราส่วนที่เหมาะสม ภาษีที่เก็บได้ตรงส่วนนี้จะเป็นของกระทรวงกลาโหมโดยเฉพาะ สำหรับใช้ในการพัฒนากองทัพ
ปัญหาสำคัญคือ ช่องว่างของกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย
ก็เป็นการยกตัวอย่างเฉยๆนะครับ
ผมว่าปัจจุบันนี้การลดกำลังพลดีที่สุดแล้วไปเพิ่มด้านยุทธปกรณ์แทน
ยกตัวอย่าง ทหารเกณฑ์บางคนใกล้ปลดแล้วไปรายงานตัวแค่เดือนละครั้งที่เงินเดือนยกให้กับผบ.ร้อย เซ็นรับไปเลย
และข้อที่ถูกใจมากที่สุด ก็การปรับลดระดับนายพล เพราะนายพลเงินเดือนแต่ละท่านสูงๆทั้งนั้นเอามาทำเบี้ยเลี้ยงกองร้อยดีกว่า ตำแหน่ง พล.อ.ในความคิดผมมีแค่ 1 พอแล้ว ปัจจุบันนายพลบางคนผมยังไม่รู้จักด้วยซ้ำไป อย่าเห็นกับเพื่อเป็นขวัญกำลังใจครับ เห็นกับประโยชน์ส่วนรวมดีกว่า
อย่างสิงคโปร์ยกตัวอย่างนะครับ ผบ.ทอ.ของเค้ายศแค่ พลจัตวา เป็นต้นนะครับ หรือประธานเสนาธิการร่วมของ นาโต้ก็พล.อ.แค่คนเดียว
งงกับคำว่า ทหารประจำการถาวร ครับ
เพราะถ้าตามความหมายดังกล่าวก็น่าจะหมายถึงข้าราชการประจำ ก็คือ ชั้นประทวนและสัญญาบัตร
ดังนั้นถ้าบอกว่า ควรปรับกำลังรบหลัก 10 กองพล ให้เป็น ทหารประจำการถาวร หมายถึงอย่างไรครับ หมายถึง ให้มีแต่ชั้นประทวนกับสัญญาบัตร หรือไม่ครับ
ถ้าถามถึงการให้เปลี่ยนการเกณฑ์ทหารให้เป็น แบบสมัครเข้ามา ส่วนตัวเชื่อว่า คงไม่สามารถทำได้ในเวลาอันสั้นนี้ ตราบใดที่แม้แต่การเกณฑ์เองก็ตาม ก็ยังมีส่วนมากที่อาศัยช่องว่างหลบเลี่ยง และตราบใดที่กองทัพเองก็ยังไม่สามารถมีผลประโยชน์ล่อตาล่อใจให้ สมัครเข้ามาได้ ตามจำนวนที่ต้องการ
การปรับลดกำลังพลนั้น ต้องมองดูเป็นส่วนๆไปครับ จะเหมาจากยอดรวมไม่ได้ ซึ่งนั้นแหละมันก็คือ "การจัดการ" ครับ
หุหุ ฟังคุณ vmbn แล้ว ผมขอตีตั๋วไว้ก่อนนะครับ เดี๋ยววางจากงานจะมาตอบนะครับ
ตอนนี้เอาสั้นๆว่า คนที่มาจากพลทหาร สอบเข้าโรงเรียนนายสิบได้ และ สอบเข้าโรงเรียนนายร้อย(มีโควต้าจากส่วนนี้อยู่) ได้อีก ถามว่าตอนนี้มีไหม คำตอบคือมีครับ เพื่อนรุ่นเดียวกับผมมีหลายคนเลยละ จบมาอายุปาเข้าไป 30 กว่า ตรงนี้จะบอกว่า ถ้าตาลลำดับอย่างที่คุณว่า ปัจจุบัน กองทัพก็เปิดโอกาสในโควต้า และอัตราส่วนอยู่ครับ แต่ถ้าถามว่าให้เป็นตามลำดับแบบนี้ทั้งหมดแล้ว คงจจะยากครับ เพราะช่วงว่างของเวลาไปเรียนนั้น ใครจะทำหน้าที่ ในหน่วยละครับ(ใช่เวลาไม่ใช่น้อยๆ)
ปัจจุบันถ้าเทียบชั้นยศแล้ว รร.ตท. ก็เหมือนพลทหาร โรงเรียนนายร้อยชั้นปีต้นๆ ก็เทียบชั้นนานสิบ ปีปลายๆเทียบชั้นจ่า ตรงนี้หมายถึงหากลาออกในช่วงระหว่างปี ถ้าจะเข้าเป็นทหารต่อ จะเทียบยศได้ตามดังที่กล่าวมาครับ(แต่ส่วนมากคนที่ออกทั้งหมด ทำงานอื่นหมด)
ขนาดปัจจุบัน พลทหารอายุต่ำๆคือ 21-22 ผมยังว่าเด็กเลยครับ เอา 18 มานี่ผมว่าคงไม่ดีมั้ง และเช่นกันถ้าพลทหารอายุ 35-40 ก็คงจะสร้างความปวดหัวให้ไม่ใช่น้อย ลำพังแค่กำลังพลก็แย่แล้วละครับ อย่าเพิ่มภาระมากกว่านี้เลยครับ