หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


เกี่ยวกับเรด้าร์ของgrippen

โดยคุณ : falcon4956 เมื่อวันที่ : 10/01/2010 15:51:13

ขอถามท่านผู้รู้หน่อยนะครับว่า คือ ว่าgrippenที่เราจัดหามาใช้ ใช้เรด้าร์ PS-05 /A รุ่น MK เท่าไหร่ครับ ใช่ MK.4รึป่าว  หวังว่าคงเป็นMK.4 นะครับ สาธุ ใครทราบช่วยบอกกันหน่อยนะครับ?

 

ติดตั้งเรด้าห์ N001VE และ N001VEP ใน MK2

Radar detect on JAS   --->ของ SU   : 100 Km +

ติดตั้งเรด้าร์น่าจะเป็นPS-05/A .กริฟเป้น
Radar detect on  SU ---> ของJAS  : 122 km++

ข้อมูลจากwikipedia ระยะของ AIM-120C-5: 105 km (65 miles)

ถ้ามันเปนอย่างข้อมูลข้างบนจริงๆ แล้ว กริฟเป้นของเราติดamraam-c-5 ไปก็อัดSu-30 ได้ก่อน กรีเป้นก็น่าจะเปนฝ่ายเหนือกว่า Su-30 ซิครับ แต่แน่นอนกรณีนี้ ผมกล่าวถึงกรณีที่ตัวต่อตัว ไม่มีAEW&CหรือAWACS คอย support

พี่ๆทั้งหลายคิดว่ายังไงกันครับ?





ความคิดเห็นที่ 1


เรดาร์ของ Gripen ผมก็ไม่ทราบว่ารุ่นไหนนะครับ แต่เรดาร์ของมันสามารถปิดได้ เมื่อปิดเรดาร์แล้ว ศัตรูก็ไม่เห็นเราในจอเรดาร์ ( เราก็ไม่เห็นมัน อิอิ ) แต่เราจะได้รับข้อมูลจากทางภาคพื้นมาครับ แล้วก็ยิงมันล่วงเลยครับ สบายๆ
โดยคุณ thunderbirds เมื่อวันที่ 02/01/2010 22:24:47


ความคิดเห็นที่ 2


คือมีระบบ Data Link ในตัว เช่น สมมุติว่าเข้าโจมตี 4 เครื่อง ก็จะให้เครื่องหนึ่งเปิด เรดาร์เป็นตัวล่อ อีก 3 เครื่องปิด ข้าศึกก็จะทราบว่ามา 1 เครื่อง จากนั้นฝ่ายเราก็เข้าโจมตีทุกทิศทางเลยครับ เพราะมี Data Link อยู่ ก็สามารถรู้ได้ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน เหมือนกับ เอฟ-16 ฝูง102 ครับ

โดยคุณ f-16gundam เมื่อวันที่ 03/01/2010 03:27:27


ความคิดเห็นที่ 3


 

   เรด้าร์ของ SU-30 ไม่ได้ด้อยกว่า jas-39 หรอกครับ   เหนือกว่ามากด้วย   และจรวด R-77 รุ่นล่าสุดก็ยิงไกลกว่า amraam C-5 เป็นเท่าตัวด้วย    นอกจากนี้ก็มีระบบ datalink ที่ทรงประสิทธิภาพไม่ด้อยกว่า    ระบบสงครามอิเลคทรอนิคที่มากกว่า    สามารถปิดเรด้าร์แล้วทำการรับข้อมูลจากเครื่องอื่นหรือจาก AWAC ได้เหมือน jas-39    และที่มีมากกว่าแต่ Jas-39 ไม่มีก็คือระบบ IRST  ซึ่งจะคอยตรวจจับเครื่องบินข้าศึกด้วยระบบอินฟาเรดในกรณีที่ SU-30 ปิดระบบเรด้าร์   โดยสามารถจับท้ายเครื่องบินขับไล่ได้ที่ระยะ 90 กม.  และด้านหน้าที่ระยะประมาณ 50 กม. 

    แต่ที่เพื่อนๆเห็นว่ามันสามารถตรวจพบได้ก่อน   เป็นเพราะหน้าตัดเรด้าร์ของ SU-30 ใหญ่กว่า Jas-39 มากๆครับ    jas-39 จึงเห็นก่อน    แต่ระยะต่างกันแค่ 10-20 กม.  ก็ถือว่าแทบจะไม่มีข้อแตกต่างมากอะไร    ก็ถือว่าฟัดกันได้    

    ถ้าดูสเปกจริงๆแล้ว jas-39 ประสิทธิภาพน้อยกว่า SU-30 พอควร    แต่เราชดเชยมันด้วยเครื่อง saab-340 AEW&C ที่เป็ฯหูและตาให้    แต่ถ้าSU-30 มีตัวช่วยด้วยเครื่องคล้ายๆกัน   ความได้เปรียบนี้ก็จะหมดไปทันทีกลายเป็นรองอย่างมากด้วย    เพราะ R-77 รุ่ล่าสุดยิงได้ไกลราวๆ 200 กม. ทีเดียว   R-74 ที่กำลังออกมาก็มีประสิทธิภาพสูงมากๆยังกะไพธ่อน-5

    แต่ข้อดีของมันที่ทอ.ชอบที่สุดคือค่าใช้จ่ายในการปฎิบัติการและค่าบำรุงรักษาซึ่งต่ำกว่ากันอย่างกะรถสปอร์ตกับโตโยต้าวีออสและความเข้ากันได้กับระบบของเราที่มีครับ

 

โดยคุณ neosiamese เมื่อวันที่ 03/01/2010 09:20:30


ความคิดเห็นที่ 4


แน่นอน SU ดีกว่าเราทุกด้านอันนี้ ผมยอมรับ 
แต่ของแบบนี้ต้องดูการยืนระยะ ของ ทั้ง2ค่าย

ถ้าจำไม่ผิดเมื่อ 10ปีก่อน ตอนมาเลย์ ซื้อ MIG29
นักการเมืองไทยเราถึอเป็นประเด็น ว่า เราซื้อ F16 ของเก่า ๆ ห่วยๆ 


สิบปีต่อมา F16 เก่า ๆห่วย ๆ ยังบินดีอยู่ แต่ Mig29 ตอนนี้ รอวันปลดประจำการ

เชื่อว่า JAS เราน่าจะ อยู่อีกนาน แต่ พี่ SU เนี่ย ไม่แน่ใจ ^^
โดยคุณ u3616234 เมื่อวันที่ 03/01/2010 11:05:51


ความคิดเห็นที่ 5


เห..เหตุที่มาเลย์ ปลด MIG-29N ไปเพราะต้องการนักบินจากเครื่อง มิก-29 เข้ามาบินกับเครื่อง ซู-30 หรือเปล่าครับ เพราะเกิดสภาพขาดนักบินที่บินกับบ.รัสเซีย แล้วมิก-29 ก็ยังสามารถปฏิบัติการได้อยู่้ อันนี้ผมไม่รู้ข้อมูลเชิงลึกน่ะครับ ท่านผู้ใดรู้ช่วยยืนยันทีครับ ^^
โดยคุณ KoHZaNoVSkI เมื่อวันที่ 03/01/2010 14:18:08


ความคิดเห็นที่ 6


ที่ว่าเครื่องนึงเปิดเรดาร์ไว้ เครื่องอื่นๆในหมู่บินปิดเรดาร์ ใช้ดาต้าลิงค์ส่งต่อข้อมูลกัน เครื่องบินข้าศึกก็จะเห็นฝ่ายเราแค่เครื่องเดียว

ที่ผมสงสัยก็คือเรดาร์เครื่องบินข้าศึกจะไม่สามารถตรวจจับเครื่องบินที่ปิดเรดาร์ได้เลยเหรอครับ แบบนี้ถ้าข้าศึกมาแบบเดียวกัน เราก็จะเห็นเครื่องบินข้าศึกแค่เครื่องเดียวเหมือนกันใช่ไหม
โดยคุณ phongrapee เมื่อวันที่ 03/01/2010 23:04:03


ความคิดเห็นที่ 7


 ถามคุณ neosiamese  ครับ saab-340 AEW&C มีอาวุธป้องกันตัวหรือเปล่าวครับ หรือว่าเวลา   SAAB-340 AEW&C ขึ้นบินต้องมีเครื่องคุ้มกันครับ คือถ้าผมเป็นนักบินฝ่ายตรงข้าม(SU-30+R77)ผมก็ไปจัดการ SAAB-340 AEW&C ก่อนครับ คือว่าไปปิดหูตาของฝ่ายตรงข้ามก่อนครับ (ไม่รู้ผมถามซื่อเบื่อหรือเปล่าวไม่รู้ครับ)


โดยคุณ Sandee เมื่อวันที่ 04/01/2010 02:17:13


ความคิดเห็นที่ 8


AEW&C  อยู่ในระยะที่ไกลพอสมควร คิดว่าถ้าตรวจพบ Su-30 ก่อนเข้าระยะยิงของ Su นั้น AEW&C คงบินหนี แน่ๆเลย

 

ปล. ถ้า Flare กับ ชาร์ฟ ปล่อยซัก 100-200ลูกมันจะทำ Radar งงไหมเนี่ย

ฮ่าๆ

โดยคุณ TUP2913 เมื่อวันที่ 04/01/2010 06:00:19


ความคิดเห็นที่ 9


ปัจจัยการรบจริงๆ มีสารพัดจะกล่าวได้ครับ เรื่องตัวเลขหลายอย่างก็อย่ายึดติดมากครับ
F-5 ของทอ. ซ้อมรบ (ขอเพื่อนสมาชิกยืนยันปีและสถานที่ด้วยครับ) ยังสามารถล๊อคเป้า F-15 ได้เลย นักบินประมาทเสี้ยววินาทีก็เสียความได้เปรียบหรืออาจจะโดนยิงตกก่อนก็ได้ Machine Error ควบคุมได้ง่ายกว่า Human Error
ครับ
โดยคุณ yaiterday เมื่อวันที่ 05/01/2010 01:28:06


ความคิดเห็นที่ 10


การรบอยู่ที่การฝึกซ้อมและจำลองสถานการณ์การรบครับ อย่างน้อยเราต้องประเมิณสถานการณ์และประสิทธิภาพของอาวุธฝ่ายตรงข้ามออกครับ และการข่าว การปะทะกันระหว่างเครื่องบินรบรอบ(อาเซียน)น้อยครับยังไม่เคยเห็น
การที่มาเลเซียเสริมเรือดำน้ำกับเครื่องบินรบจำนวนมาก สาเหตุสำคัญคงมาจากจีนมากกว่าครับ (มาเลเซียไม่ชอบอเมริกาและเกลียดชนชาวจีน)
ผมว่าซื้อกริเพนนะดีแล้วเราได้อะไรมาหลายอย่างนอกจากเครื่องบินรบ อยากให้โครงการะยะที่สองออกมาเร็วๆ และถ้าเป็นไปได้ก็มาทดแทน F-16 ไปเลย
โดยคุณ sam เมื่อวันที่ 05/01/2010 05:46:03


ความคิดเห็นที่ 11


ผมว่า การสะสมอาวุธใน อาเซียน ส่วนใหญ่ ต้องการคานอำนาจซึ่งกันและกัน ไม่ได้มีไว้เพื่อรบกัน...... ส่วนเวียดนามและมาเลเซีย เอง ประเด็นหลักแล้วเค้าต้องการมีไว้ต่อรอง หมู่เกาะ สแปรรีย์ มากกว่า.......

กรณี กับประเทศไทยแล้ว ผมว่า เราเหมาะสมที่จะใช้ JAS-39 ที่สุดครับ ด้วยภาวะเศรษฐกิจ แบบนี้ หาเครื่องบิน ที่ประหยัดค่าใช้จ่ายในการฝึกคงดีที่สุด ครับ
โดยคุณ tantongs เมื่อวันที่ 09/01/2010 02:25:05


ความคิดเห็นที่ 12


ทั้ง แอมแรม และ อาร์ ๗๗  มีระยะยิงหวังผล ใกล้เคียงกันครับ คือ ประมาณ ๒๐ กม.  (ระยะที่เรดาห์บนหัวจรวดล้อคเป้าได้) เท่านั้นเอง แต่อาร์ ๗๗ มีระยะยิงไกลสุดมากกว่า อัมแรมเล็กน้อย เนื่องมาจากมันมีขนาดยาวกว่าหน่อย ครับ แต่ เรดาห์ที่หัวจรวด ของทั้งสองตัวมี พท.หน้าตัด ขนาดเท่าลูกฟุตบอล เท่าๆกันครับ ดังนั้น  ระยะยิงหวังผลของมันทั้งคู่จึงไม่ต่างกันครับ (ต่างกันตรงระยะยิงไกลสุดเท่านั้นเอง)

ที่สำคัญคือ ที่ระยะยิงไกลสุดของแอมแรม เราสามารถปล่อย แอมแรมออกไปได้โดยการนำวิถีเริ่มแรกจากเครื่องอิริอายได้ครับ โดยทำการป้อนข้อมูลของตำแหน่งเป้าหมายให้จรวดเดินทางไปเอง ได้ โดยเครื่องกริปเป้นไม่ต้องเปิดเรด้าห์ เลย และเมื่อจรวดเข้าใกล้เป้าในระยะ ๒๐ กม. สุดท้าย จรวดจะเริ่มนำวิถีด้วยตัวเองครับ

สรุปคือ แม้ว่าซู ๓๐ จะมีเรดาห์ที่จับเป้าหมาย ได้ไกลกว่ากริเป้นก้จริงแต่เวลายิงทั้งคู่ก็ต้องเข้ามาสู๋ระยะยิงไกลสุดของจรวด อยู่ดีครับ ซึ่งก้ไม่ใช่ระยะหวังผลอยูดีครับ ดังนั้นโอกาสของ เครื่องบินทั้งสองแบบในการรบก็จะใกล้เคียงกัน ทั้งคู่ครับ ยกเว้น อีกฝ่าย มีอิริอาย หรือ เครื่องบิน เอแวค แบบอื่นๆเป็นตัวช่วย ซึ่งก็ จะเป็นข้อได้เปรียบเสียเปรียบ อย่างสำคัญในการรบครับ อีกอย่าง เทคโนโลยี่ของ เครื่องบินรบ ในการ รบกวนการทำงานของจรวด พวก แจมมิ่งเรด้าห์  แฟลร์ หรือ ชาร์ป  หรือ ความคล่องตัวของเครื่องบิน และ ประสบการณ์ของนักบินในการรับมือกับจรวดในระยะ ที่พอจะรับมือไหว ก์มีส่วนสำคัญในการอยู่รอดครับ

 

โดยคุณ data เมื่อวันที่ 10/01/2010 04:51:12