ขอถามท่านผู้รู้หน่อยนะครับว่า คือ ว่าgrippenที่เราจัดหามาใช้ ใช้เรด้าร์ PS-05 /A รุ่น MK เท่าไหร่ครับ ใช่ MK.4รึป่าว หวังว่าคงเป็นMK.4 นะครับ สาธุ ใครทราบช่วยบอกกันหน่อยนะครับ?
ติดตั้งเรด้าห์ N001VE และ N001VEP ใน MK2
Radar detect on JAS --->ของ SU : 100 Km +
ติดตั้งเรด้าร์น่าจะเป็นPS-05/A .กริฟเป้น
Radar detect on SU ---> ของJAS : 122 km++
ข้อมูลจากwikipedia ระยะของ AIM-120C-5: 105 km (65 miles)
ถ้ามันเปนอย่างข้อมูลข้างบนจริงๆ แล้ว กริฟเป้นของเราติดamraam-c-5 ไปก็อัดSu-30 ได้ก่อน กรีเป้นก็น่าจะเปนฝ่ายเหนือกว่า Su-30 ซิครับ แต่แน่นอนกรณีนี้ ผมกล่าวถึงกรณีที่ตัวต่อตัว ไม่มีAEW&CหรือAWACS คอย support
พี่ๆทั้งหลายคิดว่ายังไงกันครับ?
คือมีระบบ Data Link ในตัว เช่น สมมุติว่าเข้าโจมตี 4 เครื่อง ก็จะให้เครื่องหนึ่งเปิด เรดาร์เป็นตัวล่อ อีก 3 เครื่องปิด ข้าศึกก็จะทราบว่ามา 1 เครื่อง จากนั้นฝ่ายเราก็เข้าโจมตีทุกทิศทางเลยครับ เพราะมี Data Link อยู่ ก็สามารถรู้ได้ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน เหมือนกับ เอฟ-16 ฝูง102 ครับ
เรด้าร์ของ SU-30 ไม่ได้ด้อยกว่า jas-39 หรอกครับ เหนือกว่ามากด้วย และจรวด R-77 รุ่นล่าสุดก็ยิงไกลกว่า amraam C-5 เป็นเท่าตัวด้วย นอกจากนี้ก็มีระบบ datalink ที่ทรงประสิทธิภาพไม่ด้อยกว่า ระบบสงครามอิเลคทรอนิคที่มากกว่า สามารถปิดเรด้าร์แล้วทำการรับข้อมูลจากเครื่องอื่นหรือจาก AWAC ได้เหมือน jas-39 และที่มีมากกว่าแต่ Jas-39 ไม่มีก็คือระบบ IRST ซึ่งจะคอยตรวจจับเครื่องบินข้าศึกด้วยระบบอินฟาเรดในกรณีที่ SU-30 ปิดระบบเรด้าร์ โดยสามารถจับท้ายเครื่องบินขับไล่ได้ที่ระยะ 90 กม. และด้านหน้าที่ระยะประมาณ 50 กม.
แต่ที่เพื่อนๆเห็นว่ามันสามารถตรวจพบได้ก่อน เป็นเพราะหน้าตัดเรด้าร์ของ SU-30 ใหญ่กว่า Jas-39 มากๆครับ jas-39 จึงเห็นก่อน แต่ระยะต่างกันแค่ 10-20 กม. ก็ถือว่าแทบจะไม่มีข้อแตกต่างมากอะไร ก็ถือว่าฟัดกันได้
ถ้าดูสเปกจริงๆแล้ว jas-39 ประสิทธิภาพน้อยกว่า SU-30 พอควร แต่เราชดเชยมันด้วยเครื่อง saab-340 AEW&C ที่เป็ฯหูและตาให้ แต่ถ้าSU-30 มีตัวช่วยด้วยเครื่องคล้ายๆกัน ความได้เปรียบนี้ก็จะหมดไปทันทีกลายเป็นรองอย่างมากด้วย เพราะ R-77 รุ่ล่าสุดยิงได้ไกลราวๆ 200 กม. ทีเดียว R-74 ที่กำลังออกมาก็มีประสิทธิภาพสูงมากๆยังกะไพธ่อน-5
แต่ข้อดีของมันที่ทอ.ชอบที่สุดคือค่าใช้จ่ายในการปฎิบัติการและค่าบำรุงรักษาซึ่งต่ำกว่ากันอย่างกะรถสปอร์ตกับโตโยต้าวีออสและความเข้ากันได้กับระบบของเราที่มีครับ
AEW&C อยู่ในระยะที่ไกลพอสมควร คิดว่าถ้าตรวจพบ Su-30 ก่อนเข้าระยะยิงของ Su นั้น AEW&C คงบินหนี แน่ๆเลย
ปล. ถ้า Flare กับ ชาร์ฟ ปล่อยซัก 100-200ลูกมันจะทำ Radar งงไหมเนี่ย
ฮ่าๆ
ทั้ง แอมแรม และ อาร์ ๗๗ มีระยะยิงหวังผล ใกล้เคียงกันครับ คือ ประมาณ ๒๐ กม. (ระยะที่เรดาห์บนหัวจรวดล้อคเป้าได้) เท่านั้นเอง แต่อาร์ ๗๗ มีระยะยิงไกลสุดมากกว่า อัมแรมเล็กน้อย เนื่องมาจากมันมีขนาดยาวกว่าหน่อย ครับ แต่ เรดาห์ที่หัวจรวด ของทั้งสองตัวมี พท.หน้าตัด ขนาดเท่าลูกฟุตบอล เท่าๆกันครับ ดังนั้น ระยะยิงหวังผลของมันทั้งคู่จึงไม่ต่างกันครับ (ต่างกันตรงระยะยิงไกลสุดเท่านั้นเอง)
ที่สำคัญคือ ที่ระยะยิงไกลสุดของแอมแรม เราสามารถปล่อย แอมแรมออกไปได้โดยการนำวิถีเริ่มแรกจากเครื่องอิริอายได้ครับ โดยทำการป้อนข้อมูลของตำแหน่งเป้าหมายให้จรวดเดินทางไปเอง ได้ โดยเครื่องกริปเป้นไม่ต้องเปิดเรด้าห์ เลย และเมื่อจรวดเข้าใกล้เป้าในระยะ ๒๐ กม. สุดท้าย จรวดจะเริ่มนำวิถีด้วยตัวเองครับ
สรุปคือ แม้ว่าซู ๓๐ จะมีเรดาห์ที่จับเป้าหมาย ได้ไกลกว่ากริเป้นก้จริงแต่เวลายิงทั้งคู่ก็ต้องเข้ามาสู๋ระยะยิงไกลสุดของจรวด อยู่ดีครับ ซึ่งก้ไม่ใช่ระยะหวังผลอยูดีครับ ดังนั้นโอกาสของ เครื่องบินทั้งสองแบบในการรบก็จะใกล้เคียงกัน ทั้งคู่ครับ ยกเว้น อีกฝ่าย มีอิริอาย หรือ เครื่องบิน เอแวค แบบอื่นๆเป็นตัวช่วย ซึ่งก็ จะเป็นข้อได้เปรียบเสียเปรียบ อย่างสำคัญในการรบครับ อีกอย่าง เทคโนโลยี่ของ เครื่องบินรบ ในการ รบกวนการทำงานของจรวด พวก แจมมิ่งเรด้าห์ แฟลร์ หรือ ชาร์ป หรือ ความคล่องตัวของเครื่องบิน และ ประสบการณ์ของนักบินในการรับมือกับจรวดในระยะ ที่พอจะรับมือไหว ก์มีส่วนสำคัญในการอยู่รอดครับ